Art Eye View

ฝันถึงบ้านบนดอย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม

Pinterest LinkedIn Tumblr

คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม

ในเวลาที่ไม่มีนิทรรศการ และไม่ได้นำงานลงมาขาย ฉันและเพื่อนใจของฉันในขณะนั้นช่างอยู่ห่างไกลกัน

ระหว่างเชียงใหม่กับกรุงเทพฯ จึงมีเพียงเสียงทางสายโทรศัพท์ ที่เราติดต่อสื่อสารกัน สำหรับฐานะของช่างปั้นที่มีภาระรับผิดชอบในหลายสิ่ง หลายอย่าง ค่าโทรศัพท์ที่ใช้โทรหากัน ในบางครั้งบางคราว จึงถือว่าเป็นราคาที่สูงลิบลิ่ว

ส่วนฉันเอง ก็ทำงานประจำเช้าจรดค่ำ วนเวียนอยู่เช่นเดิม เจ็ดปีของชีวิตที่ต้องเคยชินกับสิ่งที่ซ้ำๆเดิมๆในเมืองหลวง ฉันเริ่มฝันถึงการได้อยู่บ้านบนดอย ใช้ชีวิตในแบบที่เป็นอิสระ แตกต่างออกไป และได้อยู่ร่วมกับคนรัก


เชียงใหม่สำหรับฉันในสมัยนั้น ไม่ได้เป็นเมืองที่จะได้ไปมาบ่อยนัก เพียงแต่เคยไปเที่ยวกับคณะของทางธนาคารและนั่งรถทัวร์ขึ้นไปเที่ยวหาเพื่อนใจในวันหยุดทำงานเเท่านั้น

ภาพฝันถึงเมืองเชียงใหม่ในใจ ณ ขณะนั้น คือการนึกถึงดงดอยและทิวเขาอันสวยงาม ขึ้นมาก่อนสิ่งอื่นใด..

ฉันเริ่มคิดถึงการย้ายตัวเองไปอยู่และทำงานยังธนาคารสาขาที่นั่น…

จึงลาพักร้อนแล้วเดินทางขึ้นเหนือ เพื่อติดต่อขอย้ายตัวเอง..จากกรุงเทพขึ้นไปอยู่เชียงใหม่ โดยไม่ได้มีการวางแผนหรือหาข้อมูลล่วงหน้ามาก่อน

สาขาแรกที่สุ่มไปคือ สาขาสารภี ด้วยเห็นว่าเป็นสาขาที่อยู่ชานเมืองเชียงใหม่อาจจะมีโอกาสและโชคดีได้ย้าย มากกว่าสาขาอื่นๆ ที่อยู่ใจกลางเมือง แต่ทันทีที่ไปถึงก็ได้ข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ที่นั่นว่า เป็นช่วงเวลาที่ผู้จัดการสาขาต่างๆส่วนใหญ่ของเชียงใหม่ ต่างไปประชุม การสุ่มไปของฉันครั้งนั้นจึงเป็นการพลาดที่จะได้พบกับผู้จัดการสาขา เพื่อจะได้เแจ้งความจำนงขอย้ายดังใจปราถนา

จากนั้น ฉันและเพื่อนใจจึงสุ่มเดินทางไปยังสาขาแม่ขะจาน อันเป็นสาขาในเขตท้ายสุดของเชียงใหม่ ก่อนจะเริ่มเข้าสู่เขตจังหวัดเชียงราย และเราก็โชคดีที่ได้พบกับผู้จัดการสาขาของที่นั่น

ผู้จัดการสาขาผู้มีหน้าตาใจดีผู้นั้นได้นั่งคุยและ รับฟังฉันเป็นอย่างดี ก่อนจะกล่าวกับฉันว่า ที่นี่เรามีพนักงานทั้งหมดอยู่เพียงเจ็ดคน เป็นสาขาเล็กๆ ที่เรียกว่าสาขาย่อย อยู่ในชุมชนเล็กๆ อันห่างไกลและเป็นเมืองผ่าน

เวลาจะซื้อหาน๊อตสักตัวยังต้องเข้าไปหาถึงตัวเมืองเชียงใหม่ ขนาดคนที่อยู่เพชรบูรณ์ ซึ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ ก็ยังอยู่ได้เพียงสามเดือน จากนั้นต้องขอย้ายตัวเองไป  เพราะทนอยู่กับความเงียบเหงาไม่ได้ แล้วฉันนั้นซึ่งเป็นสาวที่มาจากกรุงเทพฯ กับบรรยากาศเมืองเช่นนี้ จะอยู่ได้หรือ

ฉันตอบด้วยความมั่นใจว่า “ฉันอยู่ได้ค่ะ” ท่านผู้จัดการสาขาท่านนั้น จึงบอกให้ฉันกลับไปรอที่กรุงเทพฯ

ก่อนกลับฉันยังได้มอบตุ๊กตาดินเผารูปช้างรูปช้าง ฝีมือลูกศิษย์ชาวบ้านของเพื่อนใจของฉันให้เป็นที่ระลึกกับท่านผู้จัดการสาขาไว้หลายต่อหลายตัว แล้วลากลับ..


นับจากนั้นฉันก็กลับมาทำงานต่อที่กรุงเทพฯ ด้วยใจที่มีความหวัง เวลาผ่านไปหลายต่อหลายเดือน เห็นจะมีแต่ความเงียบงัน ฉันจึงเลิกรอและตัดสินใจโทรศัพท์กลับไปถามผู้จัดการสาขาท่านนั้น

ปลายสายจากแม่ขะจานได้ถามว่า “สบายดีไหม” ฉันตอบว่า “สบายดีค่ะ”

“สบายดีก็อยู่ที่เดิมต่อไป” พร้อมกับเสียงหัวเราะอารมณ์ดี ฉันจึงวางสาย เพราะเข้าใจความหมายของผู้จัดการสาขาท่านนั้นอย่างแจ่มชัด
 

แต่ด้วยฝันอันมีสีชมพู การฝันได้อยู่กับคนรักในบ้านบนดอยที่อากาศดี และมีอิสระ ในที่สุดฉันจึงคิดถึงการลาออก ซึ่งก่อนหน้านี้เพื่อนใจของฉันก็ได้เคยเอ่ยปากชวนให้ลาออกไปอยู่ด้วยกันตลอดมา ติดแต่ฉันนั่นเองที่อยากจะลองทำการขอย้ายดูก่อน

ด้วยฉันเริ่มเห็นในวิถีทางอันน่าชื่นชมของคนผู้ทำงานดินปั้น นั่นคือเพื่อนใจของฉัน ผู้ซึ่งไม่ได้แต่งกายน่าดูหรูหรา แต่มีจิตใจที่แสนอารีย์ งดงาม และมีความรักต่อฉัน อีกยังเห็นถึงการงานอันเป็นอิสระและเต็มไปด้วยบุคคลผู้มีจิตใจอันน่ารักและเอื้อเฟื้อหลายต่อหลายคนที่ให้ความชื่นชอบและคอยสนับสนุน ขณะที่สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับฉันคือ การได้อยู่กับคนรักและมีชีวิตที่เป็นอิสระ


เมื่อถึงคราวที่ความฝันรุมเร้า ฉันจึงได้ตัดสินใจเขียนใบลาออก แล้วนำไปยื่นในห้องผู้จัดการ

ท่านผู้จัดการประจำสาขาของฉันที่กรุงเทพฯ ได้อ่านใบลาออกแล้วถามว่า ลาออกไปแล้วจะไปทำงานอะไร มีรายได้อย่างไร เดือนละเท่าไหร่ ฉันได้ตอบไปว่าจะไปอยู่เชียงใหม่ ทำงานปั้นดิน แต่ไม่มีคำตอบเรื่องรายได้

ท่านผู้จัดการจึงบอกให้ฉันกลับไปคิดทบทวนดูใหม่ให้ดี แล้วค่อยมาคุยกัน และยื่นใบลาออกส่งคืนมาให้ฉัน โดยยังไม่ได้เซ็นอนุมัติ
สองสามวันผ่านไป ฉันก็นำใบลาออกใบเดิมนั้น ไปวางไว้ในห้องผู้จัดการดังเดิมอีก…

ก็ยังได้รับคำตอบดังเดิมจากท่านผู้จัดการว่า อยากให้ฉันกลับไปคิดทบทวนให้ดีอีกครั้ง ท่านกลัวฉันจะออกไปลำบาก..

ฉันจึงได้นำใบลาออกกลับออกมา…แล้วอีกสองสามวันฉันก็นำกลับไปวางไว้ในห้องผู้จัดการอีกเป็นครั้งที่สาม….ซึ่งในครั้งนี้ท่านผู้จัดการได้เซ็นอนุมัติการลาออกให้ฉันอย่างสมใจ

เหตุการณ์ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ฉันรีบเก็บเสื้อผ้าและของใช้อันจำเป็นใส่ในรถยนตร์ของฉัน และรถปิคอัพเก่าๆ ของเพื่อนใจ
 

 เราขนของกันไปเต็มคันรถ แล้วขับตามกันไปช้าๆ เพื่อเดินทางขึ้นเหนือ ตามความฝันของฉัน..การได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขที่บ้านบนดอยที่อากาศดี และเป็นอิสระ

ฉันในชุดเสื้อแขนยาวและมีหมวกปกปิดใบหน้ามิดชิดเพื่อป้องกันแสงแดด ได้ขับรถขึ้นเชียงใหม่ด้วยใจอันลิงโลด

เราขับตามกันไปเรื่อยๆ จอดพักบ้างเป็นระยะๆ และค่อยๆ ไปต่อ  จนกระทั่งถึงเชียงใหม่

ถ่ายภาพโดย : นายดี , มณีดิน และ เกรียงไกร ไวยกิจ

รู้จัก… องุ่น เกณิกา สุขเกษม

จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี

ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด

ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี

เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า

“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ

รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข

ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”

ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW

ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW เซกชัน Celeb Online www.astvmanager.com และ M-Art eye view เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com

และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews

Comments are closed.

Pin It