jatung_32@yahoo.com
ไม่รู้ว่า มีใครเป็นเหมือนอ้วนหรือเปล่า? เวลาได้ยินคนพูดถึงละครหลังข่าวของวิกหลายสี แล้วสงสัย ไม่รู้ว่า มุมคิดของคนทำละคร ต้องการนำเสนออะไรให้กับคนดู..
คืนกำไร หรือสร้างกระแสให้กับละครหรือนักแสดง ด้วยการให้ตัวเอกฝ่ายหญิงใส่เสื้อผ้าสั้นๆ วับๆ แวบๆ โชว์เนื้อหนังมังสาเยอะๆ
รู้แค่ว่า ตอนนี้สาววัยไหนก็นิยมใส่กระโปรงสั้นๆ กันเกลื่อนเมือง
ภาพทะเลาะตบตีกันอย่างเมามันโดยมีสาเหตุมาจากผู้ชายคนเดียว หรือฉากที่ผู้หญิงพยายามหาแฟนด้วยการเชิญชวนยั่วยวนผู้ชายได้ยิ่งกว่าเซลล์ขายของ เป็นที่มาของคอนเม้นต์ว่า “ขอให้หล่อ รวย เสียอย่าง” อยู่เฉยๆ เดี๋ยวสาวๆ ก็วิ่งเข้ามาหาเอง
ละครเรื่องนี้บ่งบอกอะไรบ้างไหมคะ? สะท้อนภาพความเป็นจริงในสังคมไทยเราหรือเปล่า? ว่าเราอยู่ในสังคมที่อยู่กับแบบฉาบฉวย? เราอยู่ในสังคมที่มีพื้นที่ว่าง ที่มีความแตกต่างกันค่อนข้างมากใช่ไหม?
สังคมคนร่ำรวยก็มีพร้อมมากเกินไปจนล้น ส่วนคนที่ขาดแคลนก็ขาดเสียจน.. น่ากลัว เราอยู่ในสังคมที่เกิดช่องว่างของการศึกษา
“การศึกษาที่อยู่บนฐานของความเป็นจริง ไม่ใช่การศึกษาในทฤษฎี ที่ไม่สามารถทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้บนโลกของความเป็นจริง อย่างเป็นสุข”
เราจะสรุปสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมในคำพูดสั้นๆ แบบไหนดี ที่จะครอบคลุมความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในสังคมปัจจุบันได้ทั้งหมดคะ
กลับมาที่..เกิดอะไรขึ้นในสังคมปัจจุบัน สังคมที่ต้องการความเร่งรีบ รวดเร็ว จนวุ่นวาย เราพบเห็นคนในสังคมที่ยึดติดแต่เพียงวัตถุ, สิ่งของ, การบริโภค, รูปลักษณ์ภายนอก หรือเงินทองมากกว่าเรื่องอื่นๆ? บางข่าวสะท้อนภาพบางอย่างที่ทำให้เราเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมได้ชัดเจนขึ้น เช่น ข่าว เด็กวัยสิบขวบตั้งท้องถึง 60 คน ในช่วงปีพ.ศ. 2544-2550 ที่ผ่านมา
ถามความรู้สึกแรกที่เกิดขึ้น เมื่อได้รับรู้ข้อมูลนี้
อ้วนขอตอบคนแรกว่า “อึ้ง และอึ้ง”
เพราะย้อนไปคิดถึงตัวเองในวัยสิบขวบ เรายังอยู่ชั้นประถมสี่ เป็นช่วงเวลาของวัยสนุกสดใส เป็นเด็กที่เมื่อว่างจากการเรียน ก็วิ่งเล่นตามประสาเด็ก เล่นกระโดดยาง เป่ากบ หมากเก็บ ปั้นดิน ปั้นทราย ไปเรื่อยเปื่อย เพื่อนร่วมชั้นเรียนที่เป็นผู้ชาย ก็ไม่สนิท เพราะคุยกันไม่รู้เรื่อง มีแต่จะทะเลาะกันตลอด จนจำชื่อเพื่อนๆไม่ได้สักคน ถ้ากลับมาเจอกันใหม่ตอนนี้ ก็คงจำกันไม่ได้แล้วแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับเด็กวัย 10 ขวบในปัจจุบันนี้
ภาวะโภชนาการของไทยดีมากอย่างนั้นหรือค่ะ หรือว่าเพราะทาน “ไก่” เร่งโต จนเด็กโตแบบไก่
“ไก่” ที่มีอายุ 45 วันก็ต้องตาย เพื่อเป็นอาหารให้เราได้ทานกัน? สมมุติฐานเรื่อง “ไก่” เป็นผลทำให้เด็กโตเร็ว จริงหรือ? คุณเชื่อไหม?
อ้วนรู้แค่ว่า เด็กรุ่นใหม่เติบโตเร็วอย่างที่น่าตกใจมาก เพราะเคยเห็นเด็กมัธยมต้นอายุไม่เกิน 13 ปี กรีดอายเลนเนอร์ เดินในห้างฯ แถมมีจริตจก้านแบบหญิงสาว เวลาที่เด็กเหล่านี้พบเห็นหนุ่มๆ
การที่ร่างกายเติบโตเร็วแบบนี้ ส่งผลไปถึงฮอร์โมนทางเพศของเด็กผู้หญิง จนทำให้เกิดความสัมพันธ์ทางเพศระหว่างหญิงชายเร็วขึ้นด้วย อย่างนั้นหรือ?
เมื่อเกิดปรากฎการณ์เช่นนี้ขึ้นในสังคมไทยแล้ว สถาบันครอบครัวควรทำอย่างไร สถาบันโรงเรียนควรทำอย่างไร สถาบันสื่อ โดยเฉพาะสื่อสารสาธารณะต่างๆ ควรทำอย่างไร ภาครัฐควรขับเคลื่อนแนวนโยบายรัฐแบบไหน ที่สำคัญ เราควรแก้ไขกฎหมายให้สอดคล้องกับปัญหาที่เกิดขึ้นไหม?
แล้วจำเป็นไหม ที่เราจะต้องเร่งรีบสอนเรื่องเพศศึกษาให้เด็กได้รับรู้ รับทราบ ตั้งแต่อายุน้อยกว่าสิบขวบ?
รู้ไหมคะว่า แม้เด็กให้ความยินยอม แต่ถ้าอายุของเด็กไม่เกิน 15 ปี คนที่มีความสัมพันธ์ทางเพศกับเด็ก ก็ผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี มีโทษจำคุกตั้งแต่ 4 ปีถึง 20 ปี
ยิ่งถ้าเด็กอายุไม่ถึง 13 ปี โทษจำคุกก็จะเพิ่มขึ้นเป็นตั้งแต่ 7 ปีถึง 20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และความผิดนี้ ไม่อาจยอมความได้นะคะ
ขอถามต่อ คุณเชื่อไหมว่า การมีอาชีพขายบริการหรือโสเภณีอย่างถูกกฎหมายแล้ว จะช่วยลดคดีข่มขืนลงได้
ตอบตามตรง อ้วนไม่เชื่อในทฤษฎีนี้
เพราะแม้ว่าเมืองไทยไม่มีอาชีพขายบริการหรือโสเภณีที่ถูกกฏหมาย แต่ทุกวันนี้ถ้าถามผู้ชายโดยส่วนใหญ่ก็รู้ว่า ถ้าต้องการซื้อบริการทางเพศ ตนเองก็สามารถหาซื้อได้จากที่ไหนบ้าง? และมีราคาเท่าไร? ข้อมูลเหล่านี้หาได้ไม่ยากเลย จริงไหมคะ?
ขนาดว่า เราเป็นผู้หญิงยังรู้เลยว่า เงินหลักร้อยก็หาซื้อบริการทางเพศแถวรอบๆ สนามหลวงได้แล้วไม่ใช่หรือคะ?
คิดดูว่า ขนาดไม่ถูกกฎหมายยังหาซื้อบริการทางเพศได้ง่ายดายขนาดไหน แล้วก็ยังมีคดีข่มขืนฯ อยู่เหมือนเดิม และข้อมูลสถิตของการถูกข่มขืน โดยส่วนใหญ่ผู้กระทำผิด ก็มาจากคนใกล้ตัว คนรู้จัก คนที่พักอาศัยอยู่ในระแวกใกล้เคียงกันทั้งนั้น
การที่ผู้ร้ายคดีข่มขืนฯ อ้างว่า “เกิดอารมณ์ทางเพศ ก็เลยข่มขืน” เป็นเหตุผลที่อ้วนยอมรับได้ แต่มันเชื่อมโยงให้ต้องมีโสเภณีถูกกฎหมายได้อย่างไรคะ
ในเมื่ออารมณ์ทางเพศ เป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น เช่น ถ้ามีผู้ชายเข้าปลุกปล้ำข่มขืนอ้วน แล้วอ้วนบอก “หยุดก่อน อย่าข่มขืนอ้วนเลย เดี๋ยวอ้วนให้เงิน เอาไปซื้อบริการจากผู้หญิงคนอื่น”
คุณคิดว่า ผู้ชายคนนั้นจะยอมหยุดไหม? ถ้าเขามีสติควบคุมตัวเองได้พอสมควร ก็อาจจะยอมหยุดนะ แต่ถ้าไม่ใช่ล่ะ อ้วนก็คงต้องเสียทั้งตัวและเงิน เป็นแน่ !!
แล้วถ้าผู้ร้ายคดีข่มขืนฯ อ้างว่า “เกิดอารมณ์ทางเพศ ก็เลยข่มขืน แล้วก็ไม่มีเงินไปซื้อบริการทางเพศด้วย” เราก็คงต้องตั้งหน่วยงานหรือองค์กรที่มอบเงินให้ผู้ชายที่เกิดอารมณ์ทางเพศได้นำเงินไปใช้ซื้อบริการได้ ถ้าคิดวิธีการแก้ปัญหาได้แค่นี้
คุยเรื่องเครียดๆ มาก็เยอะ ในโอกาสที่อีกไม่กี่วันก็จะสิ้นปีเก่าแล้ว เรามาคุยในเรื่องที่ทำให้ชีวิตผ่อนคลายและปล่อยวางได้บ้าง เช่น การปฏิบัติธรรม กันดีไหมคะ
การปฏิบัติธรรมในที่นี้ คือ การมีสติอยู่กับปัจจุบัน ควบคู่ไปกับการรักษาศีล 5 ซึ่งเป็นศีลขั้นพื้นฐานของมนุษย์ เพื่อให้การอยู่ร่วมกันในสังคมมีความสงบสุข
อย่าคิดว่าศีล 5 เป็นเรื่องตลก หรือ เป็นเรื่องที่ยุ่งยากในชีวิตนะคะ
ลองทำดู สักวัน แล้วขยับเพิ่มขึ้นเป็นสักอาทิตย์ เดี๋ยวก็เป็นเดือน เป็นปี
เรื่องง่ายๆ แค่ ไม่ฆ่าสัตว์, ไม่ลักทรัพย์, ไม่ประพฤติผิดในกามไปแย่งชิงสามีภรรยาคนอื่น, ไม่พูดโกหก และไม่เสพของมึนเมาที่ทำให้ขาดสติ
รู้ไหมคะ ศีล 5 เป็นเครื่องบ่งบอกว่า คุณเป็นคนที่เคารพในสิทธิของคนอื่นแค่ไหน
เพราะทุกชีวิตมีสิทธิบนเนื้อตัวร่างกายของเขาเอง แล้วเรามีสิทธิที่จะไปฆ่า ไปทำลายเขาตั้งแต่เมื่อไร
เพราะทุกชีวิตมีสิทธิในความเป็นเจ้าของทรัพย์สินของตนเอง แล้วเรามีสิทธิอะไรที่จะแย่งชิง ลักขโมยทรัพย์สินของคนอื่น
เพราะทุกชีวิตมีความผูกพันรักใคร่ในคู่ชีวิตของตน แล้วเรามีสิทธิอะไรที่จะไปแย่งชิงคู่ชีวิตของคนอื่น ทำให้เขาเกิดความทุกข์ใจอย่างนั้นด้วย
เพราะทุกชีวิตอยู่ในสังคมเดียวกัน การสื่อสารบนความจริงจึงควรเกิดขึ้น แต่หากทุกคนต่างโกหกกัน ย่อมไม่มีความน่าเชื่อในคำพูดของแต่ละคน แล้วจะเกิดอะไรขึ้น
และสุดท้าย “สติ” เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่ทำให้คนเราสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างปกติสุข ดังนั้นการเสพของมึนเมา ที่ทำให้ขาดสติ ขึ้นไม่ควรเกิดขึ้น เพราะเมื่อไรที่ร่างกายขาดสติ นั้นหมายความว่า ความดีงามที่มนุษย์ควรจะมี ก็หลุดหายไปด้วยเช่นกัน
ที่สำคัญ ต้องรู้จัก “การเอาใจเขามาใส่ใจเรา”
ถามว่า ถ้าการกระทำนั้นเกิดขึ้นกับเราบ้าง เราจะรู้สึกอย่างไร และคนอื่นที่เขาถูกกระทำเช่นนั้น ก็ย่อมรู้สึกได้เช่นเดียวกัน
ดังนั้นการปฏิบัติธรรมที่ทำให้ “สติ” อยู่กับตัวเองได้ตลอดเวลาจึงมีความสำคัญมาก ทำอย่างไรที่จะทำให้เรารู้สึกตัวตลอดเวลา เห็นหรือรู้ความคิดที่เกิดขึ้นในตัวเอง อย่าลืมว่า ทุกการเคลื่อนไหว ทุกการกระทำ ทุกคำพูดที่หลุดออกจากปาก ล้วนมี “คิด” เป็นตัวขับเคลื่อนให้เกิดขึ้นมาทั้งนั้น
เพียงแต่ว่า เรามี “สติ” ที่เข้มแข็ง และรู้สึกตัวเท่าทันกับสิ่งที่ “คิด” และหยุดยั้งในสิ่งที่ไม่ดี, ในสิ่งที่ไม่ควรปฏิบัติ ได้ทันหรือไม่ เท่านั้นเอง
สติที่เข้มแข็ง ต้องเกิดจากการมีสมาธิ ที่ไม่ฟุ้งซ่านกับเรื่องต่างๆ สามารถอยู่กับปัจจุบันทุกขณะได้อย่างแท้จริง ไม่เอาใจไม่ผูกติดกับอดีตที่ผ่านมาแล้ว หรืออนาคตที่ยังมาไม่ถึง
ปีใหม่นี้ หากไม่สะดวกกับการไปวัด เพื่อปฏิบัติธรรม “ฝึกให้สติรู้เท่าทันความคิด”
ก็ลองหาที่สงบอื่นๆ ที่พอจะทำให้เราอยู่กับตัวเองได้จริงๆ อยู่นิ่งๆ เพื่อเปิดโอกาสให้เราได้พิจารณาเรื่องราวต่างๆ ให้เราได้นั่งดูความคิด นั่งดูอารมณ์ของตัวเอง
ดูเฉยๆ โดยไม่หวั่นไหวอะไรกับความคิดที่เกิดขึ้น ดูไปเรื่อยๆ คิดสิ่งไม่ดีก็รู้ คิดสิ่งดีๆ ก็รู้ แล้วเราจะเห็นความจริงที่เป็นสัจธรรมแท้ๆ ว่า ไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นแล้วอยู่กับเราได้ยาวนาน เดี๋ยวมันก็หายไป วนเวียนแบบนี้ไปเรื่อยๆ ลองสังเกตจากสิ่งที่รอบตัวเราก่อน เช่น ตาไปมองเห็นอะไร แล้วมันเกิดความรู้สึกยังไง ความรู้สึกแบบนั้นคงอยู่ยาวนานแค่ไหน แล้วมันหายไปตอนไหน มันหายไปเพราะอะไร เป็นต้น
ธรรมะสอนให้ทุกคนมองทุกสิ่งอย่างมีเหตุ มีผล
สอนให้เรารู้ว่า “ผล” ที่เกิดขึ้น ย่อมมาจาก “เหตุปัจจัย” ที่ทำให้เกิดผลแบบนั้น เช่นเดียวกัน เมื่อเรามีสติ มีปัญญามากพอ เราก็จะค้นหาคำตอบที่ถูกต้องได้ว่า “ชีวิตเราทุกข์เพราะอะไร เหตุแห่งความทุกข์ในชีวิตเราคืออะไร และเมื่อเราทราบเหตุแห่งความทุกข์แล้ว เราก็ย่อมหาทางออกจากทุกข์นั้นได้”
ปีใหม่นี้ อ้วนก็หวังว่า ท่านผู้อ่านทุกคนค้นหาทางออกจากทุกข์ของตนเองได้นะคะ ?
Comments are closed.