โดย นพ.กฤษดา ศิรามพุช
โฉมงามนางหนึ่งปรารถนาอยากลิ้มรส “ลิ้นจี่สด” จากสถานที่ที่อยู่ไกลบ้านนับพันกิโล ซึ่งลิ้นจี่นั้นก็ถูกนำมาให้ตามความปรารถนาอย่างรวดเร็วราวลัดนิ้วมือ โดยลิ้นจี่ยังคงความสดเหมือนเพิ่งปลิดจากต้น
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อราว 1,300 ปีก่อน
ส่วนยอดหญิงคนงามท่านนี้คือ พระสนม “หยางกุ้ยเฟย” ผู้เป็นจอมใจจักรพรรดิถังเสวียนจงแห่งราชวงศ์ถัง ซึ่งถ้าไม่นับจุดจบที่น่าเศร้าของพระสนมผู้งามล้ำ
ลิ้นจี่นี้ถือเป็นผลไม้แห่งความรักของคนจีน
ไม่ต่างกับดอกกุหลาบที่เป็นสัญลักษณ์แห่งวาเลนไทน์ของฝรั่ง
ลิ้นจี่มีเทือกเถาเหล่ากออยู่ที่เมืองจีนแถบกว่างตงและฝู่เจี้ยน มีหลักฐานชัดเจนสุดว่ามาเมืองไทยครั้งแรกในราวต้นรัตนโกสินทร์ ว่ากันว่ามาแต่ครั้งแผ่นดินพระพุทธยอดฟ้าฯ
เชื่อว่านายวานิชชาวจีนได้นำพันธุ์เข้ามาปลูก
ลิ้นจี่ก็เช่นเดียวกับผลไม้หลายชนิดที่ไม่มีทุกฤดู บรรพบุรุษของมันอยู่เมืองหนาวมา จึงมีเฉพาะในบางหน้าที่อากาศกำลังสบายก็จะได้ทานลิ้นจี่กันอย่างฉ่ำใจอย่างในหน้านี้
แต่ถ้าหาไม่ค่อยมีก็พอจะมีผลไม้ที่เป็นญาติสนิทกับลิ้นจี่อย่าง “เงาะ” และ “ลำใย” ให้รับประทานกันสมเป็นเมืองไทย อันอุดม โดยลิ้นจี่มีของดีดังต่อไปนี้
– น้ำ
– น้ำตาล
– ใยอาหาร
– สารต้านอนุมูลอิสระและแร่ธาตุต่างๆ
สรรพคุณลิ้นจี่
ลิ้นจี่ลูกกลมฉ่ำน้ำชื่นใจนี้มีประโยชน์มหาศาล ไม่ว่าจะพันธุ์เมื่อก่อนอย่างพันธุ์ค่อม จนต่อมามีกิมเจ็ง, ฮงฮวย หรือที่ลูกโตสวยสมัยนี้คือ “จักรพรรดิ” นั้นมีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพที่อัดแน่นอยู่ดังนี้ครับ
1) มีสารต้านมะเร็ง ในลิ้นจี่มีสารเคมีพระเอกต้านอนุมูอิสระและมะเร็งอยู่คือ “ฟลาโวนส์”, “เคอซิทิน” และ “เคมเฟอรัล” ซึ่งเป็นสารทรงพลังในลิ้นจี่ (Litchi Fruit Pericarp) ที่ช่วยยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งและยังช่วยต้านเซลล์มะเร็งเต้านมได้อย่างน่าประทับใจ
2) คุมความดันและหัวใจ ลิ้นจี่เป็นผลไม้สีแดงสดเหมาะกับระบบเลือดและหัวใจที่ทำงานปั๊มพ์เลือดตลอดเวลา ด้วยสาร “โพลีฟีนอลส์” ที่ดีต่อหัวใจช่วยต้านการอักเสบ และยังมีแร่ธาตุโพแทสเซียมช่วยลดความดันโลหิต และคุมการเต้นกล้ามเนื้อหัวใจด้วย
3) ช่วยกระเพาะและลำไส้ ด้วยลิ้นจี่มีน้ำมากในเนื้อและยังมีใยอาหารชนิดที่เป็นวุ้นช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ได้ดี ท่านที่มีปัญหาเรื่องการขับถ่ายหรือท้องผูกบ่อยอาจรับประทานลิ้นจี่ช่วยได้เพราะเส้นใยของมันช่วยให้กากอาหารนุ่มขึ้นขับถ่ายง่าย (Bulk forming)
4) ให้พลังกับนักกีฬา โดยการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติกรุงโซลชี้ว่า นักออกกำลังที่ได้รับสารสกัดลิ้นจี่เมื่อเทียบกับคนที่ได้รับวิตามินซีหรืออีบำรุงแล้วพบว่า คนที่ได้สารสกัดลิ้นจี่มีผลการออกกำลังที่ดีกว่าอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งการศึกษานี้เชื่อว่ามาจากสาร “โพลีฟีนอลส์” ที่ช่วยเพิ่มความอึดให้ได้ด้วย
5) เป็นแหล่งวิตามินซี โดยลิ้นจี่เพียง 1 ถ้วยตวงก็มีวิตามินซีมากพอที่ร่างกายจะได้รับต่อวัน โดยวิตามินซีนี้จะช่วยให้หลอดเลือดแข็งแรง ป้องกันช้ำ เลือดออกง่าย และช่วยสร้างคอลลาเจน ซึ่งท่านที่รับประทานอาหารเสริมพวกคอลลาเจนอยู่ ก็ควรทานลิ้นจี่ให้ได้วิตามินซีจากธรรมชาติด้วยนะครับ
6) เป็นแหล่งวิตามินบี เป็นวิตามินที่เป็นตัวผู้ช่วย (Co-factor) ของสารในระบบประสาทของร่างกาย ในลิ้นจี่เป็นแหล่งของหลายวิตามินบี อย่างตัวหนึ่งคือ “โฟลิก” ที่เป็นวิตามินบีช่วยลดไขมัน (ผ่านกระบวนการเมทิลเลชั่น) และช่วยสร้างเม็ดเลือดแดงได้
7) สารต้านอนุมูลอิสระพิเศษ ที่เป็นตัวเด่นของลิ้นจี่คือ “โอลิโกนอล (Oligonol)” โดยมีการศึกษาจากญี่ปุ่นเจาะลึกสารนี้ จนรู้ว่ามันมีมากในลิ้นจี่และเป็นตัวหนึ่งที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ และต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ นอกจากนั้นยังช่วยปกป้องผิวพรรณจากรังสียูวีที่มารอนราญได้ด้วย
ทั้งหมดก็คือ ความดีของลิ้นจี่ที่มีส่วนช่วยมนุษย์มากนอกจากความอร่อย แต่ลิ้นจี่ก็มี “น้ำตาล” กับแร่ “โพแทสเซียม” ที่ค่อนข้างสูงจึงต้องระวังในท่านที่มีเบาหวาน, โรคไต, เด็กที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อในสมอง (Encephalitis) และมีโอกาสเกิดร้อนในง่าย
ด้วยประโยชน์ที่มากมายไม่แพ้ผลไม้ฝรั่งของลิ้นจี่นี้เอง ที่ส่งให้มันได้รับการตีตราว่าเป็น “ซุปเปอร์ฟรุต” ซึ่งเป็นฉายาของผลไม้ที่ให้สารต้านอนุมูลอิสระทรงพลัง
ได้ประโยชน์จังๆ แถมอร่อยด้วย
>> อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net
Comments are closed.