คงไม่มีอะไรสามารถอธิบายถึงความยิ่งใหญ่ของดีไซเนอร์ผู้ล่วงลับ “อเล็กซานเดอร์ แม็คควีน” ได้ดีไปมากกว่าผลงานของเขาอีกแล้ว ความสามารถและพรสวรรค์ของแม็คควีนส่วนหนึ่งถูกถ่ายทอดลงในแต่ละคอลเลกชั่นของเขา แต่อีกส่วนหนึ่งและต้องถือเป็นส่วนที่แม็คควีนได้นำเสนอจินตนาการอันไร้ขอบเขตก็คือบนรันเวย์งานแฟชั่นโชว์นั่นเอง
ทุกรันเวย์ของแม็คควีนจะมีกิมมิคพิเศษให้ผู้ชมได้ตื่นเต้นชวนให้คอยติดตามตั้งแต่ “เฟิร์ส เฟซ” ไปจนถึง “ฟินาเล่” ได้ทุกครั้ง เราจึงขอย้อนเวลาให้ทุกท่านกลับไปสัมผัสกับสุดยอดแฟชั่นโชว์เหนือจินตนาการของ “อเล็กซานเดอร์ แม็คควีน” อีกครั้งเพื่อคาราวะและแสดงความอาลัยให้กับการสูญเสียพรสวรรค์อันยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งของโลกแฟชั่น
Spring Summer 1997
ความอลังการที่แม็คควีนเนรมิตให้รันเวย์ของเขาถูกปกคลุมไปด้วยผืนน้ำ ไม่เพียงเท่านั้นการให้ความสำคัญในเรื่องดนตรีประดอบ การจัดแสง ทำให้แฟชั่นโชว์ของแม็คควีนนั้นราวกับการได้ชมละครเวทีชั้นยอด แต่ที่เหนือไปกว่านั้นคือเหล่านางแบบทุกคนที่ยอมเดินแฟชั่นบนผืนน้ำนั้นเป็นเครื่องการันตีว่า แม็คควีน คือสุดยอดดีไซเนอร์คนหนึ่งของโลก
Spring Summer 1997
แม็คควีนยังคงให้น้ำเป็นตัวชูโรงในรันเวย์ปีถัดมาในคอนเซ็ปต์ “Golden Shower” การนำเสนอรูปแบบเสื้อผ้าในแนวคิด Minimalism นั้นสุดยอดอยุ่แล้วแต่ที่เรียกเสียงฮือฮาไปกว่านั้นก็คือระหว่างการเดินแบบของบรรดานางแบบนายแบบทั้งหลาย แม็คควีนก็ปล่อยฝนจำลองลงมาประพรมรันเวย์เป็นทางยาวเสื้อผ้าอันเปียกปอนจากสายฝนที่โปรยปรายแสดงให้เห็นถึงวิถีแห่งจินตนาการของดีไซเนอร์ผู้นี้เป็นอย่างดี
Fall Winter 1998
ในปีเดียวกันหลังจากสิ้นสุดโชว์ของฤดูร้อน แม็คควีนก็หันหลังให้กับผืนน้ำและสายฝน แต่เขากลับเลือกใช้ลูกเล่นกับสิ่งตรงกันข้ามก็คือเปลวไฟ คอลเลกชั่นฤดูหนาวปี 1998 แม็คควีนได้รับแรงบันดาลใจมากจากวรรณกรรมประวัติศาสตร์ Joan of Arc ที่ถ่ายทอดออกมาให้หญิงสาวดูแข็งกร้าวแต่ก็คงความเซ็กซี่ไว้ แต่เรื่องน่าทึ่งที่สุดก็คือ ชุดฟินาเล่ ที่นางแบบออกมายืนโพสท์อยู่กึ่งกลางของวงแหวนแห่งเปลวเพลิง
Spring Summer 1999
ดูเหมือนแม็คควีนจะติดใจจากโชว์ฟินาเล่ฤดุกาลก่อนหน้ากับการให้นางแบบโพสต์กึ่งกลางรันเวย์สำหรับโชว์กิมมิก ถึงแม้แนวคิดจะไม่แตกต่างแต่จินตนาการของแม็คควีนก็เหลือหลาย เขาทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดถึงด้วยคอนเซ็ปต์ “Model meet Machine” เมื่อแม็คควีนให้นางแบบสาว ชาร์ลอม แฮร์โรว เดินออกมาในชุดเดรสสีขาวล้วนก่อนที่จะมาหยุดตรงกึ่งกลางรันเวย์บนพื้นที่สามารถหมุนได้รอบ จากนั้นเครื่องพ่นสีที่นิ่งสงบอยู่ทั้งสองข้างของนางแบบก็เริ่มทำงานและค่อยๆ พ่นสีออกมาละเลงลงบนทั้งชุดและตัวนางแบบที่ค่อยๆ หมุนไปอย่างช้าๆ
Spring Summer 2001
รันเวย์โชว์ครั้งนี้ของแม็คควีนนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่โชว์ของเขาและเหล่านางแบบอีกต่อไปแล้ว คราวนี้แม็คควีนให้ผู้ชมมีส่วนร่วมตั้งแต่เริ่มต้น ด้วยการจัดเวทีโชว์ใน กล่องกระจกขนาดยักษ์ โชว์นี้อาจจะเริ่มต้นด้วยความอึดอัดของบรรดาแขกผู้ชมที่ต้องนั่งโดยที่มีกระจกอยู่รายล้อม แต่เมื่อโชว์เริ่มต้นขึ้นผนังกระจกเหล่านั้นก็แปลงสภาพเผยให้เห็นเหล่านางแบบที่เตรียมพร้อมอยู่เบื้อหลังในชุดของอเล็กซานเดอร์ แม็คควีน ที่แต่งหน้าทำผมให้นางแบบเหล่านั้น ละม้ายลูกนกพึ่งเกิด ก่อนทีบรรดานางแบบจะค่อยๆ ก้าวเดินออกมาตามรันเวย์
และแน่นอนความอลังการไม่ใช่รันเวย์แบบกล่องกระจกยักษ์ หรือชุดในธีมพิเศษ แต่ยังคงอยู่ที่ฟินาเล่ ที่เรียกอาการช็อกให้กับทุกคนด้วยนางแบบร่างกายเปลือยเปล่าสวมหน้ากากกำลังนอนพิงอยู่บนโซฟาพร้อมเครื่องหายใจแบบโบราณ ความอลังการ ผสมกับการสร้างแรงช็อกให้คนดู ทำให้แฟชั่นฤดูกาลนี้กลายเป็นแฟชั่นที่ยอดเยี่ยมที่สุดของแม็คควีนไปโดยปริยาย
Fall Winter 2001
เทพนิยาย และภาพยนตร์จากอดีต ยังคงเป็นแรงบันดาลใจหลักของ แม็คควีน ในฤดูกาลนี้แฟชั่นโชว์ของเขาถูกนำเสนอด้วยบรรยากาศของสวนสนุก ทว่าสิ่งที่เรียกเสียงฮือฮามากที่สุดสิ่งหนึ่งก็คือการที่นางแบบบางคนแต่งหน้าเป็นตัวตลกแห่งโลกมืด
Fall Winter 2003
ฤดูกาลนี้แม็คควีนผละออกจากความอัลงการของเวทีและอุปกรณ์ประกอบฉาก แต่กลับมามุ่งใส่ใจและนำเสนอความอลังการและรายละเอียดในผลงานเสื้อผ้าการออกแบบของเขา ด้วยการให้รันเวย์เป็นอุโมงค์ลมขนาดใหญ่ โดยให้นางแบบเดินแฟชั่นต้านลมความแรงของลมที่ทำให้เสื้อผ้าพริ้วไหวไปด้านหลังช่วยให้ผู้ชมได้เห็นถึงลายละเอียดของแต่ละชุด
Spring Summer 2004
เป็นฤดูกาลที่แม็คควีนให้นางแบบ และนายแบบเป็นผู้ถ่ายทอดอารมณ์ ความสนุกและความสุนทรีย์ ของเสื้อผ้าสู่ผู้ชมโดยให้นายแบบนางแบบเหล่านั้นสวมบทบาทแดนเซอร์ที่นำเสนอเสื้อผ้าแต่ละชุดผ่านการเต้นหลากรูปแบบ แทนการเดินแฟชั่นแบบปกติทั่วไป
โชว์ต่างๆ ที่เรายกมานี้เป็นส่วนหนึ่งของแฟชั่นโชว์ที่ อเล็กซานเดอร์ แม็คควีน ได้นำเสนอต่อสายตาชาวโลกตลอดช่วงชีวิตอาชีพดีไซเนอร์ของเขา…
Comments are closed.