การดูแลปรนนิบัติผิวอย่างถูกวิธีจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยให้ผิวของเรานั้นสวยสุขภาพดีอยู่เสมอ ซึ่งการใช้มาส์กที่มีคุณสมบัติพิเศษจึงเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญในการดูแลและฟื้นฟูสภาพผิว แบรนด์ ‘ธัญ’ (THANN) ร่วมกับ แพทย์หญิงภัทรพร ภัทรากร แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและความงาม แนะ “วิธีเลือกใช้มาส์ก อย่างถูกวิธี เพื่อผลลัพธ์ผิวสวยในแบบที่ต้องการ” กับผลิตภัณฑ์ ‘ดีท็อกซิฟายอิ้ง เคลย์ มาส์ก’ , ‘รีไวทอลไลซิ่ง เฟซ มาส์ก’ และ ‘อีสเทิร์น ออร์เชิร์ด อินเทนซีฟ ไฮเดรติ้ง แฟเชียล มาส์ก’
แพทย์หญิงภัทรพร เผยว่า “ในแต่ละวันผิวหน้าของเราต้องเผชิญกับมลภาวะและสิ่งสกปรกมากมาย บางครั้งการล้างหน้าและทาครีมบำรุงก็อาจไม่เพียงพอที่จะฟื้นฟูสภาพผิวได้ การใช้มาส์กที่มีคุณสมบัติพิเศษจึงเป็นวิธีบำรุงผิวที่ง่ายและรวดเร็ว ช่วยดูแลปัญหาผิวได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพกว่าการบำรุงทั่วๆ ไป เรียกได้ว่าเป็นการบำรุงขั้นพิเศษ (Special Care) เพื่อช่วยฟื้นฟูผิวของเรา ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะมีมาส์กให้เลือกใช้หลากหลายชนิด การเลือกใช้มาส์กที่เหมาะกับแต่ละสภาพผิวก็จะช่วยให้มาส์กสามารถทำงานและได้ผลลัพธ์อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ผิวมัน ควรเลือกมาส์กที่มีส่วนผสมของโคลนธรรมชาติ เพื่อดูดซับความมันส่วนเกิน สิ่งสกปรกตกค้าง และช่วยกระชับรูขุมขนได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ควรมีส่วนผสมของสารสกัดธรรมชาติ อาทิ สารสกัดจากแตงกวา, กุหลาบ, น้ำมันรำข้าว เพื่อเพิ่มคุณค่าการบำรุงผิวให้เนียนนุ่มชุ่มชื้น
ผิวแห้ง ควรเลือกใช้มาส์กที่มีส่วนผสมของสารสกัดธรรมชาติที่ช่วยเติมเต็มความชุ่มชื้นให้ผิวได้อย่างยาวนาน อาทิ สารสกัดจากทรีฮาโลส สารสกัดจากอูกอน สารสกัดจากใบชิโซะ หรืออาจใช้ Sleeping mask หรือ Overnight mask โดยพอกทิ้งไว้ทั้งคืนและล้างออกในตอนเช้า
ผิวบอบบางแพ้ง่าย ควรเลือกใช้มาส์กที่มีคุณสมบัติในการปลอบประโลมผิวที่มีส่วนผสมของสารสกัดธรรมชาติจากใบชิโซะ อโลเวล่า แตงกวา หรือดอกคาโมมายล์
ผิวที่มีปัญหาผิวหมองค้ำ หรือจุดด่างดำ ควรเลือกมาส์กที่มีคุณสมบัติในการฟื้นฟูความกระจ่างใสของผิว มีส่วนผสมของสารสกัดจากผลองุ่น สารสกัดจากรากต้นหม่อน รวมถึงมาส์กมีส่วนผสมของวิตามิน ซี และสาร AHA เพื่อกระตุ้นการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิว และปรับสภาพสีผิวให้สม่ำเสมอ
ผิวที่มีปัญหาริ้วรอย ควรเลือกมาส์กที่มีคุณสมบัติในการฟื้นฟูความแข็งแรงของเซลล์ผิวจำพวกเปปไทด์, โคคิวเท็น, คอลลาเจน, เชียร์บัตเตอร์, ชาเขียว และอะโวคาโด ซึ่งส่วนผสมดังกล่าวมีคุณสมบัติที่ช่วยเพิ่มความยีดหยุ่นและเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวด้วย โดยใช้ควบคู่กับผลิตภัณฑ์ลดเลือนริ้วรอย เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพในการช่วยลดเลือนริ้วรอย และทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น
เคล็ดลับการมาส์กหน้าให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี ควรเริ่มจากกการทำความสะอาดผิว หากแต่งหน้าควรเช็ดเครื่องสำอางค์ออกด้วยคลีนซิ่ง ออย์ (Cleansing oil) หรือคลีนซิ่ง วอเตอร์ (Cleansing water) แล้วล้างตามด้วยผลิตภัณฑ์ล้างทำความสะอาดหน้าอย่างเฟเชียล คลีนเซอร์ (Facial cleanser) จากนั้นซับหน้าพอหมาดๆ แล้วมาส์กหน้าได้เลย โดยไม่ต้องรอให้แห้ง เพราะหากผิวแห้งแล้วจะทำให้การดูดซึมสารบำรุงต่างๆ จากตัวมาส์กลดลง สำหรับผิวปกติถึงผิวมัน สามารถใช้ผ้าขนหนูซับน้ำอุ่นโปะลงบนผิวเพื่อเปิดรูขุมขนให้พร้อมรับการบำรุงได้อย่างเต็มที่ แต่ไม่แนะนำวิธีนี้สำหรับคนที่มีสภาพผิวแห้ง เพราะจะยิ่งทำให้ผิวแห้งเพิ่มขึ้นได้ ระยะเวลาที่เหมาะสมในการมาส์กหน้าอยู่ที่ 15-20 นาที หากทิ้งมาส์กไว้เกินเวลาจนมาส์กเริ่มแห้ง จะเกิดกระบวนการออสโมซิส โดยจะดูดความชุ่มชื้นออกจากผิวหน้ากลับคืนไปสู่แผ่นมาส์กแทน
ส่วนมาส์กโคลนหรือแบบล้างออก (Wash off) หากรู้สึกว่าหน้าเริ่มแห้งตึงก็สามารถล้างออกได้ด้วยน้ำสะอาด ไม่จำเป็นต้องล้างโฟมหรือเจลล้างหน้าซ้ำ ส่วนมาส์กแบบชนิดลอกออก (Peel off) หรือรับเบอร์มาส์ก (Rubber Mask) จะมีทั้งที่ต้องล้างออกหลังการมาส์กและไม่จำเป็นต้องล้างออก ตรงนี้ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละชนิดของผลิตภัณฑ์ ที่สำคัญคือควรทาครีมบำรุงผิวหลังการมาส์กหน้าทุกครั้ง ส่วนสาวๆ คนไหนที่มีเวลาน้อย หรือต้องออกงานสำคัญแบบเร่งด่วน สามารถเลือกมาส์กที่เน้นการฟื้นคืนความชุ่มชื้นกระจ่างใสสู่ผิวได้ เพียงมาส์กก่อนการแต่งหน้า 15 นาที เพื่อเตรียมผิวให้พร้อมก่อนการแต่งหน้า ง่ายๆ เพียงเท่านี้เราก็สามารถอวดผิวสวยอย่างมั่นใจได้แล้ว
การมาส์กหน้านั้นมีประโยชน์ต่อผิวพรรณและสุขภาพมากมายหลายประการ โดยเฉพาะการกระตุ้นเซลล์ผิวหนังให้ผลัดเปลี่ยนเป็นเซลล์ใหม่ ช่วยให้ผิวหน้าเนียนนุ่ม ลดความมัน กระชับรูขุมขน ใบหน้าดูขาวกระจ่างใส ช่วยแก้ไขปัญหาผิวแห้ง ผิวมัน ได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม การมาส์กหน้าที่ถูกวิธีและดีต่อสุขภาพผิวนั้น ไม่ควรทำบ่อยจนเกินไป เพราะอาจทำให้ผิวของคุณแห้งหรือขาดน้ำได้ ดังนั้นเวลาที่เหมาะสมสำหรับการมาส์กหน้าจึงอยู่ที่ประมาณ 2-3 ครั้ง/สัปดาห์ ก็จะช่วยบำรุงผิวพรรณได้ดีทีเดียว”
Comments are closed.