ช่วงเดือนก่อนที่มีภัยพิบัติจากพายุในภูมิภาคบาเลนเซีย “สมเด็จพระราชาธิบดีเฟลิเปที่ 6 แห่งสเปน” และพระมเหสี “สมเด็จพระราชินีเลติเซีย” ได้เสด็จพร้อมนายกรัฐมนตรี “เปโดร ซานเชซ” ไปตรวจดูความเสียหาย แต่ทั้งสองพระองค์กลับได้พบกับผู้ประสบอุทกภัยที่สิ้นหวัง และระบายความโกรธออกมาเป็นคำด่า บ้างก็ขว้างปาด้วยโคลนใส่
นั่นคือภัยพิบัติน้ำท่วมครั้งใหญ่สุดในรอบ 5 ทศวรรษในยุโรป ความโกรธของพลเมืองสเปนมุ่งเป้าไปที่คำเตือนล่าช้าของทางการ แต่กษัตริย์เฟลิเปและพระราชินีเลติเซีย ถูกทำให้อับอายและกลายเป็นเป้าหมายโจมตีแทน สื่อยุโรปสายวังให้ความเห็นว่า “กษัตริย์มีภารกิจที่ยากมากในการเป็นผู้ตัดสินและดำเนินการเพื่อประกันการทำงานของสถาบันประชาธิปไตย พระองค์ทรงรับบทบาทนี้ แต่ในบทบาทนี้พระองค์ยังทรงเป็นตัวฉายภาพความโกรธ ของผู้คนที่สิ้นหวังเหล่านั้นด้วย”
หลังการโจมตีของผู้ก่อการร้าย หรือการแพร่ระบาดของโควิด-19 สมเด็จพระราชาธิบดีเฟลิเปและสมเด็จพระราชินีเลติเซีย มักจะทรงปลอบขวัญชาวสเปน แต่การเสด็จไปเยือนไปปอร์ตานับว่าน่าทึ่งที่สุด พระราชินีผู้หวาดกลัวและเหนื่อยล้า ทรงเข้าไปสวมกอดผู้ประสบภัย และขอโทษซึ่งกันและกัน จากนั้นทั้งสองพระองค์ทรงสถาปนาบทบาท “พ่อและแม่” ของประเทศ เพราะไม่ได้รับผิดชอบทางการเมือง หากแต่ทรงอยู่เพื่อประชาชน
ความนิยมของสถาบันกษัตริย์ในสเปน ลดลงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จากเรื่องอื้อฉาวมากมาย นับจากกษัตริย์ “ฮวน คาร์ลอส” ที่ต้องลี้ภัยไปอาบูดาบี หลังเรื่องล่าช้างผิดกฎหมายและเรื่องชู้สาว ทั้งยังมีเรื่องอื้อฉาวทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับ “อินญากี อูร์ดังการีน” เขยของราชวงศ์
แต่เวลานี้ พระราชธิดา “เลโอนอร์ เจ้าหญิงแห่งอัสตูเรียส” ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญ ทรงปรากฏพระองค์ต่อสาธารณะบ่อยขึ้น ทรงเปรียบเสมือนคำสัญญาและความหวังสำหรับอนาคตของราชวงศ์สเปน
Comments are closed.