นาทีนี้ หากพูดถึงแฟชั่นไอคอนแห่งวงการเซเลบริตีของเมืองไทย รับรองว่าต้องมีชื่อของ “ออ-อดิศัย กุญชร ณ อยุธยา และ บาส-นิติ สว่างวัฒนไพบูลย์” สองหนุ่มเซเลบริตีคู่ซี้ ที่หลงใหลในโลกแฟชั่นไม่มีใครเกิน จนไม่เพียงได้ชื่อว่าเป็นลูกค้าระดับท็อปสเปนเดอร์ของซูเปอร์แบรนด์ดังระดับโลกมากมาย แต่ทั้งคู่ยังมักได้รับเชิญจากแบรนด์หรูระดับโลก ให้ไปชมการแสดงแฟชั่นโชว์นั่งแถวฟรอนต์โรว์ ประกบคู่กับดีไซเนอร์ระดับโลกในงานแฟชั่น วีกอยู่บ่อยๆ
ด้วยเคมีที่ตรงกันจนเกินต้านทานนี้เอง ทำให้เมื่อโลกหมุนให้ทั้งคู่ได้มาเจอและรู้จักกันมากขึ้น ความสัมพันธ์จึงพัฒนาอย่างรวดเร็ว ยิ่งคุยก็ยิ่งคลิก จนวันนี้ทั้งคู่กลายเป็นคู่หูที่ตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋ จนหลายคนเห็นแล้วต้องอิจฉา ต่อให้อายุจะห่างกันร่วม 10 ปีก็ไม่ใช่ปัญหา
ส่วนเบื้องหลังความซี้ย่ำปึ้กของทั้งคู่ จะโหด มัน ฮาขนาดไหน โดยเฉพาะ เมื่อสองแฟชั่นนิสต้าตัวพ่อ ตัดสินใจมาใช้ชีวิตร่วมกัน จะเป็นอย่างไร Celeb Online หาคำตอบมาให้แล้ว
จากคนรู้จักสู่คนสนิท
ใครที่ติดตามอินสตาแกรมของทั้งคู่ แล้วเห็นถึงความสนิทสนมของทั้งสอง ที่ไม่ว่าจะไปเที่ยวหรือชอปที่ไหนก็พร้อมไปกัน แถมยังรู้ใจกันไปทุกเรื่อง จนทำเอาหลายคนอาจเผลอเข้าใจผิด คิดว่าทั้งคู่เป็นเพื่อนเก่าที่รู้จักกันมานาน ตั้งแต่สมัยเรียนหรือเปล่า ทั้งที่ความจริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะสิ่งที่มีอานุภาพดึงดูดทั้งคู่เข้าหากัน คือพลังของความหลงใหลในแฟชั่นนั่นเอง
“เรารู้จักกันมา 9 ปีแล้วครับ รู้จักกันจากการออกงานสังคม แต่ก็สวนกันไปสวนกันมา ไม่ได้ทำความรู้จักกันแบบจริงๆ จังๆ สักที แต่เราต่างคนก็ต่างติดตามอินสตาแกรมของอีกฝ่ายอยู่แล้ว เลยรู้ว่าเรามีความชอบและไลฟ์สไตล์ที่ใกล้เคียงกันมากถึงมากที่สุด
จนวันหนึ่ง พอดีบาสไปดื่มอาฟเตอร์นูนทีกับเพื่อน แล้วบังเอิญไปเจอพี่ออเขาก็ไปกับเพื่อนเหมือนกัน บาสเลยถือโอกาสเข้าไปทักทายและทำความรู้จัก” บาสเกริ่นถึงเหตุการณ์ที่เปรียบเหมือนประตูบานสำคัญ ที่ทำให้ทั้งคู่มีโอกาสได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น
“พอได้คุยก็รู้สึกว่าเราคลิกกันมาก ยิ่งคุยก็ยิ่งถูกคอ บาสเป็นคนน่ารัก ร่าเริง สดใส ทำให้ถึงวัยเราจะห่างกันเกือบ 10 ปี ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคแม้แต่น้อย เพราะผมเองปกติก็มีเพื่อนรุ่นน้องเยอะอยู่แล้ว พอมาเจอบาส ซึ่งมีความสดใส ร่าเริงอย่างที่บอก เขายังเป็นคนที่เข้าใจผมมาก ทำให้อยู่ด้วยแล้วสบายใจ และรู้สึกว่าผมเป็นตัวของตัวเองได้แบบ 100% เวลาอยู่กับเขา ทุกวันนี้กลายเป็นว่า เขาเป็นคนที่รู้เรื่องผมมากที่สุด ผมก็รู้เรื่องเขามากที่สุดเช่นกัน” ออเสริมก่อนที่บาสจะอธิบายต่อว่า
“ผมเองก็ชอบคบกับคนที่โตกว่าอยู่แล้ว เพราะรู้สึกว่าคนที่อายุมากกว่าจะมีมุมมองแบบผู้ใหญ่ อย่างพี่ออเขาก็เป็นอย่างนั้น คือมีความเป็นผู้ใหญ่ เป็นคนเก่ง ฉลาด ผมเองตั้งแต่รู้จักกับพี่ออ ก็ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างมากเลยครับ หลายๆ ครั้ง ก็เอาสิ่งที่พี่ออสอนหรือได้เรียนรู้มาลองประยุกต์ใช้ ก็ได้ผลดีมากๆ”
หลังจากเริ่มคุยกันถูกคอ ด้วยความที่เป็นสายแฟชั่นและชอบเดินทางเหมือนกัน หลังจากรู้จักกันได้ประมาณ 3 เดือน ทั้งคู่ก็ตัดสินใจลองไปเที่ยวต่างประเทศด้วยกัน ประเดิมทริปแรกคือ สิงคโปร์
“ตอนนั้นพี่ออเป็นคนชวนไปสิงคโปร์ เพราะทาง แบรนด์แอร์เมส มาจัดนิทรรศการที่นั่นพอดี ก็เลยชวนบาสไปดูด้วยกัน นอกจากจะไปดูนิทรรศการแล้ว ทริปนั้นเรายังถือโอกาสลองไปเปิดประสบการณ์สนุก ๆ แถมตื่นเต้นด้วยกัน เลยเลือกไปยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ เกาะเซนโตซา ซึ่งแม้ตอนที่ไปอากาศจะไม่เป็นใจ ทั้งร้อนและเจอฝน แต่ก็เป็นทริปที่ประทับใจและอยู่ในความทรงจำมาจนถึงวันนี้ ทั้งที่เราก็ไปด้วยกันมาหลายประเทศ เคยมาลองนับๆ ดู ก็สิบกว่าประเทศแล้ว ฟังดูอาจจะไม่เยอะ เพราะส่วนใหญ่เราชอบไปประเทศซ้ำๆ อย่าง ประเทศที่ต้องไปทุกปีคือ ฝรั่งเศส ฮ่องกง และ เกาหลีใต้ เพราะเป็นเมืองแฟชั่นและยังเป็นประเทศที่เรามีคนรู้จัก มีเพื่อนอยู่เยอะ โดยเฉพาะ ฮ่องกงไปบ่อยมาก” บาสเล่า
ฟังมาถึงตรงนี้ ออถือโอกาสเสริมว่า “เราไปฮ่องกงบ่อย จนเหมือนเป็นบ้านหลังที่สอง เพราะผมมีลูกบุญธรรมอยู่ที่โน่น ซึ่งเขาเป็นลูกเพื่อนชาวฮ่องกงที่รู้จักกันตั้งแต่สมัยเรียน พอเขาแต่งงานมีลูก เลยขอให้ผมเป็นพ่อทูนหัวให้ ดังนั้น ถ้ามีเวลาผมก็จะแวะไปฮ่องกงเยี่ยมลูกบุญธรรม และถือโอกาสไปชอปปิ้งด้วย ถามว่าไปบ่อยขนาดไหน คิดดูว่า ขนาดบินไปเช้า-เย็นกลับก็ยังมีเลย (หัวเราะ)”
ถามว่าส่วนใหญ่ใครเป็นคนจัดทริป หรือเลือกจุดหมายปลายทางว่าจะไปเที่ยวหรือไปชอปที่ไหน บาสชิงตอบว่า “ส่วนใหญ่ช่วยกันคิด เพราะอย่างที่บอกเราสองคนมีความชอบคล้ายๆ กัน แน่นอนว่า ไปแล้วต้องได้ไปชอปปิ้ง เมืองที่เราอยากไปส่วนใหญ่ก็เป็นเมืองแฟชั่น ที่สำคัญคือ เราไม่ชอบอากาศร้อนทั้งคู่ ดังนั้น เราก็จะเลือกไปเที่ยวเมืองหนาว ทุกปีเลยหนีไม่พ้นฝรั่งเศส ต้องไปปีละหลายครั้ง ไปจนตอนหลังไม่ต้องตรวจวีซ่าแล้ว เพราะบินมาบ่อยมาก (หัวเราะ)
ส่วนถ้าจะมีไปเที่ยวประเทศใหม่ๆ บ้าง อย่าง รัสเซีย อินเดีย จีน หรือออกไปเที่ยวตามเมืองต่างๆ ในฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมนี ก็เพราะบางทีพี่ออต้องไปทำงาน บาสเลยตามไปเป็นเพื่อน อย่างที่บอกว่าเราชอบอากาศเย็น และไม่ใช่สายเที่ยวแบบแอดเวนเจอร์เท่าไหร่ ไม่เน้นพวกกิจกรรมเอาต์ดอร์ ยกเว้นถ้าไปยุโรปช่วงหน้าหนาว อาจจะมีทัวร์ปราสาท เข้าไปดูไร่องุ่น ศึกษากรรมวิธีทำไวน์บ้าง” บาสเล่าอย่างออกรส
“ส่วนใหญ่ทริปที่เราไปจะไม่ใช่ทริปยาวมาก ฉะนั้น ตัดปัญหาเรื่องไปเที่ยวนานแล้วคิดถึงบ้านไปได้เลย บางทีมีเวลาแค่ช่วงสุดสัปดาห์เราก็ไป อย่าง ฝรั่งเศส เคยตีตั๋วไปแบบ 2 วันกลับก็มีนะ คอนเซ็ปต์การเดินทางของเรา เน้นไปไม่นานแต่ไปถี่ (หัวเราะ) เพราะบางครั้งเราจำเป็นต้องบินไปด่วน เพื่อไปตามหา Piece ที่หายากจริงๆ เมืองไทยไม่มี หาจากที่ไหนไม่ได้ หรือบางทีผมสั่งตัดชุดสูทโอต์ กูตูร์ ที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโลก ก็ต้องบินไปเลือกวัสดุ วัดตัวด้วยตัวเอง” ออเสริมก่อนที่บาสจะช่วยสรุปว่า
“พูดง่ายๆ ทริปของคนอื่นอาจจะเลือกจากสถานที่ท่องเที่ยวที่อยากไป หรือว่า ร้านอาหารที่อยากไปลองเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ แต่สำหรับเราสองคน คือเลือกจากไอเทมที่อยากได้ ว่าต้องไปหาซื้อจากที่ไหน (หัวเราะ) ที่ผ่านมาถ้าไม่ติดโควิด-19 เราก็บินกันทุกเดือน ซึ่งตารางบินจะถี่แค่ไหน สำหรับบาสไม่ค่อยมีปัญหา ถ้าจะติดคือ พี่ออ เพราะตารางงานค่อนข้างแน่น นี่เลยเป็นเหตุผลที่ทำให้ทริปของเราจะเป็นทริปสั้นๆ มากกว่า ซึ่งเราตั้งใจแล้วว่า ไม่ว่าทริปไหนเราก็จะไปด้วยกัน ถ้าคนใดคนหนึ่งไม่ว่าง ก็ไม่ไป อย่างเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ทาง Saint Laurant เชิญผมไปดูคอลเลกชัน Men Show ที่ฝรั่งเศส แต่พอดีตอนนั้นพี่ออติดงาน ผมก็ตัดสินใจไม่ไป ก็เสียดายนะครับ แต่ผมก็เลือกไม่ไป เพราะคิดว่า ถ้าเวลาที่เรามีความสุขหรือมีช่วงเวลาดี ๆ เราก็อยากใช้เวลา หรือสร้างความทรงจำนั้นร่วมกัน”
ล้วงลึก เบื้องหลังขาชอปตัวพ่อ
ไหนๆ ก็เกริ่นมาถึงประสบการณ์ได้รับเทียบเชิญจากแบรนด์หรูระดับโลกให้ไปชมแฟชั่นโชว์แล้ว เลยถือโอกาสนี้ ถามถึงรสนิยมการชอปของทั้งคู่ ว่าต้องเปย์เบอร์ไหน ถึงอยู่ในลิสต์ลูกค้าระดับท็อปสเปนเดอร์ ของซูเปอร์แบรนด์ดังระดับโลกมากมาย
“เห็นเดินทางบ่อยก็จริง แต่ถ้าเป็นคอลเลกชัน หรือไอเทมปกติ ผมยอมจ่ายแพงกว่าแล้วซื้อที่เมืองไทยนะครับ เพราะผมไม่ได้มองแค่ราคาหรือไอเทมที่อยากได้ แต่ผมมองไปถึงการดูแล ความเอาใจใส่ และบริการที่ได้รับจากทางแบรนด์ อย่างเราอยู่เมืองไทย ชอปที่เมืองไทย เวลาทางแบรนด์มีอะไรเขาก็จะคอยมาอัปเดต วันสำคัญก็นึกถึงเรา มีพาไปกินข้าว หรือเทศกาลก็ส่งของมาให้ ส่วนถ้าไปต่างประเทศ ผมจะชอปเฉพาะไอเทมแปลกๆ หายาก หรือของที่อยากได้แล้วในเมืองไทยไม่มีจริงๆ ก็อาจจะต้องบินไปหา ซึ่งถ้าเป็นช่วงนี้ก็ยากหน่อย เพราะวิกฤตโควิด-19 ทำให้เดินทางไม่ได้ ต้องชอปออนไลน์แทน ซึ่งผมไม่ค่อยอินเท่าไหร่ แถมจะไปที่ช็อปในไทยก็ไม่สะดวก ถึงทางแบรนด์จะมีบริการส่งสินค้ามาให้ลองที่บ้าน แต่ผมยังชอบบรรยากาศของการไปที่ช็อป ไปเดินเล่นดูของมากกว่า บางครั้งชอปทีเดียวพร้อมกันหลายๆ แบรนด์ได้เลย
อีกเหตุผลสำคัญคือ บางแบรนด์เราเป็นลูกค้ามานาน ซื้อมา 20-30 ปี จนสนิทกับพนักงานเหมือนเป็นเพื่อน เวลาไปที่ช็อป เลยไม่ใช่แค่การมาซื้อของแล้วกลับ แต่เหมือนเราได้ไปเจอเพื่อน ได้มาพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน” ออฉายภาพถึงบรรยากาศการชอปปิ้งที่คิดถึงอย่างเห็นภาพ
ถามว่า ด้วยความที่ชอบแฟชั่นและขยันอัปเดตเทรนด์ใหม่ตลอดเวลาเหมือนกัน เคยมีเหตุการณ์ถูกใจของชิ้นเดียวกันหรือไม่ คำถามนี้บาสตอบได้โดยไม่ต้องเสียเวลาคิดว่า ประจำครับ แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา เราก็แบ่งกันใช้ ยกเว้นถ้าเป็นของที่แบ่งไม่ได้ เพราะอาจจะใส่กันคนละไซส์ เราก็ซื้อแบบเดียวกัน แต่คนละสี แต่กรณีบังเอิญแบบใจตรงกันแล้วซื้อมาชนกัน แบบนี้ไม่มี เพราะเราคุยอัปเดตกันตลอดเวลาอยู่แล้ว อย่างทุกเช้า ช่วงที่พี่ออออกกำลังกาย เขาก็จะอ่านแมกกาซีนแฟชั่นออนไลน์ แล้วก็จะแคปเจอร์หน้าจอส่งมาแล้วว่าวันนี้มีอะไรใหม่ มีชิ้นไหนน่าสนใจ เหมือนเป็น Daily Report ประจำวัน”
ส่วนถ้าให้ลงคะแนนว่า ระหว่างออและบาสใครชอปหนัก ชอปเก่งว่ากัน บาสชิงออกตัวยกตำแหน่งนี้ให้รุ่นพี่คนสนิทโดยพลัน “พี่ออชอปเก่งกว่ามากครับ อย่างที่บอกว่าพี่ออจะเป็นคนที่ขยันอัปเดตเทรนด์ หาข้อมูลใหม่ ๆ มาตลอด แต่บาสจะเป็นแผนกคอยช่วยเบรก ถามว่าเบรกอยู่ไหม ส่วนใหญ่ก็เบรกอยู่นะครับ (หัวเราะ) ส่วนใหญ่บาสก็ใช้เหตุผลในการเบรก ว่าชิ้นแบบนี้ไม่จำเป็น หรือมีเยอะแล้ว ยกตัวอย่างช่วงนี้ไม่ได้ไปไหน แต่สไตล์พี่ออ จะชอบเสื้อผ้าแนววินเทอร์มาก บาสก็จะเบรกว่าซื้อมาก็ไม่ได้ใส่ พื้นที่เก็บก็มีจำกัด บางทีเห็นแม่บ้านเอาไปเก็บให้ก็สงสารนะ เพราะเสื้อผ้าสไตล์วินเทอร์แต่ละตัวน้ำหนักไม่ใช่น้อยๆ แถมยังกินพื้นที่ เชื่อไหมว่า ตอนนี้ยังมีเสื้อผ้าที่รอต่อคิวยังไม่ได้ใส่เยอะมาก เฉพาะที่เห็นๆ ลองนับรวมๆ กันสองคนมีไม่ต่ำกว่า 2,000 ชิ้น จนของบาสส่วนหนึ่งที่ไม่ได้ใส่ แล้วต้องยอมย้ายไปเก็บไว้ที่บ้านเก่า ส่วนของพี่ออ เขาเป็นสายสะสม เพราะเขามีความฝันว่า วันหนึ่งอยากทำพิพิธภัณฑ์”
อย่างไรก็ตาม ถึงจะหลงใหลในแฟชั่นเหมือนกัน แต่สไตล์การแต่งตัวของบาสและออกลับไม่ได้เหมือนกันซะทีเดียว เพราะในขณะที่บาสจะเป็นสายโททัลลุค ลุคไหนที่พ้นซีซันส์ไปแล้วจะไม่ค่อยหยิบมาใส่อีก ขณะที่ ออเป็นสายมิกซ์แอนด์แมตช์ แถมตอนนี้ยังเริ่มหันมาสนใจเทรนด์แฟชั่นรักษ์โลก ที่ออพูดติดตลกว่า “ใส่แล้วช่วยโลก แต่ราคาไม่ช่วยเรา”
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น แม้จะต้องเปย์ไม่น้อยเพื่อแลกกับไอเทมที่ถูกใจ แต่ทั้งคู่ก็ยังมีความสุขในโลกของแฟชั่น เพราะมองว่าความสวยงามของผลงานตรงหน้า ไม่ใช่สิ่งที่ฉาบฉวย แต่ไม่ต่างจากการเสพงานศิลปะ”
ชีวิตครบรส สุขบ้าง งอนบ้าง เป็นสีสันของชีวิต
มาถึงวันนี้ บาสและออ ยอมรับว่า ทั้งคู่เป็นคู่หูที่รู้ใจและรู้ความลับกันทุกเรื่อง จนแทบจะเป็นคนๆ เดียวกัน อย่างไรก็ตาม ขึ้นชื่อว่าความสัมพันธ์ ย่อมมีวันที่ถูกใจและขัดใจกันบ้างเป็นธรรมดา สำคัญคือ เมื่อเกิดปัญหาขึ้นแล้ว จะจัดการสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไร
“9 ปีที่รู้จักกัน ไม่มีวันไหนที่เราไม่ได้เจอ หรือไม่ได้คุยกันก็จริง แต่ก็ทะเลาะกันตลอดครับ (หัวเราะ) ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเล็กๆ อย่างเวลาพี่ออชอปมากไป หรือ บางครั้งทำงานกลับมาเครียดๆ ก็อาจจะมีหงุดหงิดบ้าง วิธีสังเกตง่ายๆ คือ เขาจะเริ่มเสียงเปลี่ยน เริ่มตึงๆ บาสก็จะรีบง้อ เพราะถือคติไม่งอนกันข้ามวัน มีอะไรก็รีบเคลียร์ให้จบ” ขณะที่ ออถือโอกาสแจมว่า “ผิดกับบาสนะครับ เขาไม่ค่อยงอน ไม่เคยโกรธผมเลย เพราะเขาเป็นคนคิดบวก ร่าเริงสดใสไปทุกเรื่อง”
“อย่างช่วงนี้โควิด-19 ผมมองว่า ในโชคร้ายก็ยังมีสิ่งดีๆ สำหรับผมคือ ทำให้เราสองคนมีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น รักกันมากขึ้น จนกลายเป็นความเคยชิน พอตอนนี้บางวันพี่ออต้องออกไปทำงาน ผมต้องอยู่คนเดียว ก็จะเหงาๆ หงอยๆ เหมือนกัน” บาสเสริม
ไหนๆ ก็โยงเข้าโหมดซึ้งแล้ว งานนี้เลยถือโอกาส ถามถึงความประทับใจที่ทั้งคู่มีต่อกัน บาสยกให้เหตุการณ์ตอนไปฝรั่งเศส แล้วโดนปล้นกระเป๋า นอกจากจะสูญเงิน ประมาณ 9,000 ยูโร หรือประมาณ 4 แสนบาท ที่เตรียมไปชอปปิ้งจนทำให้หมดสนุกแล้ว เอกสารส่วนตัวยังถูกโจรเอาไปด้วย โชคดีที่มีพี่อออยู่เคียงข้าง ช่วยเดินเรื่องติดต่อให้ จนเหตุการณ์ผ่านไปด้วยดี ทำให้รู้สึกเหมือนมีซูเปอร์ฮีโร่ประจำตัวอยู่ข้างกาย
ขณะที่ ออ ยกให้เหตุการณ์ประทับใจ ที่เกิดจากเสน่ห์ในการเย็บปักถักร้อยของบาส “เขาเป็นคนชอบทำงานศิลปะ อย่าง วาดรูป เย็บปักถักร้อยอยู่แล้ว พอตอนหลังเขาไปเข้าคลาสมา ก็มาปักปกเสื้อสูทให้ผม ก็ประทับใจครับ ในความตั้งใจและใส่ใจของเขา นอกจากนี้ เขายังดูแลผม ด้วยการเข้าครัวทำอาหาร เขาทำอร่อยนะครับ แต่บางครั้งต้องขอให้หยุดทำ เพราะเขาทำทีทำเยอะมาก ถ้าเผลอกินเยอะก็อาจจะอ้วน” พอเจอแซวต่อหน้าแบบนี้ บาสเลยเสริมว่า
“พี่ออเป็นคนทำงานหนักมาก เขาเลยเป็นคนที่ค่อนข้างเครียดง่าย ผมเองก็นอกจากทำอาหารอร่อยให้เขากิน บางทีถ้าเห็นเขาเครียดๆ มา ผมก็พยายามทำอะไรให้เขาได้ผ่อนคลาย ส่งพลังบวกให้เขา ถ้าว่าง เราก็ไปเที่ยวกัน อย่าง ช่วงนี้ไปต่างประเทศไม่ได้ ก็เที่ยวในเมืองไทยแทน บางครั้งเราก็ชวนกันไปทำบุญ อย่างล่าสุด ผมก็เพิ่งนำทองไปถวายพระธาตุดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่ เพื่อหล่อหุ้มส่วนปลียอด
ปิดท้ายด้วยคำถาม ที่ทำเอาทั้งคู่คิดหนัก แต่ก็อดประทับใจกับคำตอบของอีกฝ่ายไม่ได้ เมื่อลองให้ทั้งคู่เปรียบเทียบกันและกันเป็นอะไรสักอย่างในชีวิต
เริ่มจากบาส “พี่ออ เหมือนเป็นแจ็กเกตตัวโปรด ที่ไม่ว่าใส่ไปไหน ก็ช่วยเสริมลุคให้ดูดีไม่พอ ยังให้ความรู้สึกอบอุ่น และทำให้รู้สึกอุ่นใจ ที่มีแจ็กเกตตัวนี้คอยปกป้อง” ขณะที่ ออ ในฐานะหนอนหนังสือ เปรียบเทียบว่า บาสเหมือนกับนิยายที่ยิ่งอ่าน ยิ่งสนุก “บางครั้งอาจจะมีเปิดไปเจอบทที่ไม่ชอบบ้าง แต่พออ่านไปเรื่อยๆ จะได้ประสบการณ์หรือสิ่งดีๆ ในตอนจบของแต่ละบทเสมอ ทำให้อยากอ่านบทต่อไปเรื่อยๆ หรือต่อให้บางครั้งหยุดอ่าน แต่สุดท้ายก็รู้สึกว่าต้องกลับมาอ่านให้จบอยู่ดี”
มาถึงวันนี้ เมื่อมองย้อนกลับไปอีกครั้ง ทั้งคู่เห็นพ้องว่า ไม่คาดคิดว่า อาฟเตอร์นูนที วันนั้น จะเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวความรักและความผูกพันที่ยาวนานมาจนถึงวันนี้ และถ้าจะให้หาคำตอบว่า อะไรคือสิ่งที่ทำให้ทั้งคู่ประคับประคองความสัมพันธ์มาได้อย่างยาวนาน แน่นอนว่า แค่อานุภาพของความหลงใหลในแฟชั่นคงไม่ใช่คำตอบ แต่เป็นเพราะ “ความเข้าใจ” ที่ทำให้ทั้งคู่พยายามปรับจูนเข้าหากัน จนกลายเป็นคู่ที่ลงตัวอย่าบอกใคร
Comments are closed.