Interview

เปิดโปรไฟล์ “จินดาภา เทวกุล ณ อยุธยา” สาวหล่อสายลุย ที่สนุกกับการเรียนรู้ในทุกวัน

Pinterest LinkedIn Tumblr


วันนี้ Celeb Online จะพาทุกคนไปทำความรู้จักสาวหล่อ ชาติตระกูลดี อย่าง “จินนี่-จินดาภา เทวกุล ณ อยุธยา” ลูกสาวคนเล็กของ พล.อ.ม.ล.ทศนวอมร เทวกุล-รัตนาภา เทวกุล ณ อยุธยา ที่ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วง Lucky in game แถมยัง Lucky in love สุดๆ เพราะนอกจากธุรกิจส่งออกผลไม้แช่แข็ง ที่ปลุกปั้นมากับมือจนเข้าสู่ปีที่ 7 กำลังไปได้สวย เพียงแต่ช่วงนี้ อาจจะเหนื่อยหน่อย เพราะผลกระทบจากโควิด-19 แต่อย่างน้อยหัวใจก็ยังชุ่มฉ่ำเสมอต้นเสมอปลาย

เบื้องหลังชีวิตที่แสนลงตัวนี้ มีที่มาที่ไปอย่างไร? ไปทำความรู้จักกับสาวหล่อ ที่มองผิวเผินอาจทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่าเป็นชายหนุ่มพร้อมๆ กัน…


นักธุรกิจคืออาชีพในฝัน

ถึงจะเติบโตมาในครอบครัวที่ส่วนใหญ่รับราชการ แต่จินนี่บอกว่า นักธุรกิจคืออาชีพในฝันมาตั้งแต่ยังไม่รู้ความด้วยซ้ำว่า อาชีพนี้ต้องทำอะไร รู้แต่ว่าสมัยเด็ก อาชีพหมอ ครู ไม่เคยอยู่ในตัวเลือก โชคดีที่ครอบครัวค่อนข้างให้อิสระ คุณพ่อคุณแม่ไม่เคยบังคับว่าต้องเรียนหรือทำงานอะไร แต่ให้เลือกทำในสิ่งที่ชอบและรัก

“ตอนที่สอบเข้ามหาวิทยาลัย ด้วยความที่จินนี่ไม่ใช่เด็กเรียนเก่ง แต่เป็นสายกิจกรรมมากกว่า ดังนั้น พอสอบตรงเข้าคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ จินนี่ก็ตัดสินใจเลยว่าจะเรียนคณะนี้ เพราะดูแล้วก็เข้าทางเรา เป็นแนวช่วยเหลือสังคม ซึ่งตั้งแต่เด็ก จินนี่ก็มีโอกาสติดตามคุณตา (แก้วขวัญ วัชโรทัย) ไปลงพื้นที่ช่วยเหลือชาวบ้านตามต่างจังหวัดอยู่เสมอ พอได้มาเรียนก็ยิ่งอิน โดยเฉพาะ เวลาได้ไปลงพื้นที่เพื่อช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตชาวบ้าน ทำให้จินนี่ได้เรียนรู้หลายอย่าง ตั้งแต่การปรับตัวเข้ากับคนกลุ่มต่างๆ ไปจนถึงวิธีช่วยเหลือสังคมในรูปแบบต่างๆ นอกเหนือจากการให้เงิน”


หลังจากเรียนจบ แม้จะมีเป้าหมายว่าอยากทำธุรกิจของตัวเอง แต่จินนี่ยังไม่ได้มีภาพในใจว่าต้องเป็นธุรกิจไหน ตั้งใจว่าจะไปเรียนต่อปริญญาโทที่อังกฤษ เพื่อเติมความรู้เกี่ยวกับธุรกิจกลับมาก่อน เพราะพี่สาวก็เรียนอยู่ที่นั่น และคุณพ่อคุณแม่ก็สนับสนุนอยากให้ไป แต่ด้วยจังหวะและโอกาสชีวิตที่เข้ามาอย่างไม่คาดคิด ทำให้ล่วงเลยมา 7 ปีแล้ว จินนี่ก็ยังไม่มีโอกาสเดินตามเส้นทางชีวิตที่วางไว้

“ช่วงที่รอรับปริญญาตรี จินนี่มีโอกาสไปลองทำงานที่บริษัทแห่งหนึ่ง แต่ด้วยเนื้องาน ที่ไม่ต้องเข้าออฟฟิศ สามารถทำงานที่ไหนก็ได้ แถมถ้าบริหารเวลาดีๆ ก็พอมีเวลาว่างไปทำอะไรที่สนใจได้ พอดีจินนี่เห็นว่าคุณแม่มีที่ดิน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตลาดไทว่างอยู่ ไม่ได้ใช้ทำอะไร จินนี่เลยขอคุณแม่มาทำสวนกล้วย เพราะเมื่อสมัยเด็กๆ เวลาวันหยุดหรือเสาร์-อาทิตย์ จินนี่ชอบตามคุณตาเข้าไปในสวน ซึ่งคุณตาปลูกทั้งมะม่วง มะกอก ถึงจินนี่จะไม่ได้มีความรู้และประสบกาณ์เยอะ แต่ก็สนใจ

จริงๆ ตอนแรกที่มาทำสวนกล้วย จินนี่คิดแค่ว่า จะเอาผลผลิตที่ได้มาขายพ่อค้าแม่ขายที่ตลาดไท ไปเจรจาตกลงราคาไว้เรียบร้อย แต่พอถึงเวลาจริง พ่อค้าแม่ขายที่เราดีลไว้ไม่ได้รับซื้อในราคาที่ตกลงไว้ จินนี่เลยลองให้เพื่อนที่อยู่ที่จีนช่วยติดต่อ เผื่อมีลู่ทางจะส่งกล้วยไปขายที่จีน ปรากฏว่า กล้วยไม่ใช่ผลไม้ที่นิยมในจีนมากนัก เพราะถ้าพูดถึงผลไม้ไทยที่ตลาดจีนมองหาก็ต้องทุเรียน เช่นเดียวกับ เกาหลี ฮ่องกง กล้วยก็ไม่เป็นที่นิยมเท่าไหร่”

ตอนนั้นแม้จะเริ่มเห็นช่องทางใหม่ในการทำธุรกิจ แต่ก่อนที่จะไปลุยตรงนั้นได้ จินนี่ต้องเคลียร์ผลผลิตกล้วยที่มีก่อน

“สุดท้าย จินนี่ต้องยอมขายกล้วยไปในราคาที่ต่ำกว่าที่ตกลงไว้หลายเท่าตัว แล้วก็หันมาปลูกทุเรียนบ้างแต่ไม่มาก อาศัยรับซื้อจากชาวสวน แล้วไปดีลกับโรงงาน เพื่อให้ผลิตเป็นทุเรียนแช่แข็ง แล้วส่งออกไปขายที่จีน ทำแบบนี้อยู่เป็นปี จนเริ่มมั่นใจว่า ธุรกิจไปได้ เลยตัดสินใจสร้างโรงงานแปรรูปของตัวเอง เพื่อจะได้คุมคุณภาพของสินค้าที่ได้ดียิ่งขึ้น เพราะโรงงานที่รับผลิตทุเรียนแช่แข็งก็มีไม่เยอะ”


ห้องเรียนธุรกิจกับบทเรียนที่มีทั้งสุขและทุกข์

ใครจะคิดว่า จากการทดลองปลูกกล้วยขาย จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ “มิสเตอร์ฟรุ๊ตตี้” ธุรกิจผลิตและส่งออกผลไม้ไทยที่มีคุณภาพสูง โดยมีสินค้าเรือธงคือ ทุเรียนหมอนทองเกรดพรีเมียมที่ส่งออกไปขายหลายประเทศทั่วโลกในวันนี้

“มาถึงวันนี้ก็ 7 ปีแล้ว ธุรกิจนี้จินนี่ตั้งต้นจากศูนย์จริงๆ เพราะเราไม่มีทั้งความรู้และประสบการณ์ อาศัยลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ อย่างที่บอก เพราะเราเห็นแล้วว่า ผลไม้ไทยยอดฮิต คือ ทุเรียน สินค้าหลักของมิสเตอร์ฟรุ๊ตตี้ จึงเป็นทุเรียนแช่แข็ง ซึ่งรสชาติอร่อยเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือ ช่วยยืดอายุให้ทุเรียนอยู่ได้นานถึง 2 ปี เป็นทางเลือกให้ผู้บริโภค สามารถกินทุเรียนรสชาติดีได้ตลอดปี ไม่ต้องรอเฉพาะหน้าทุเรียน ซึ่งที่ผ่านมา จินนี่เน้นส่งออกเป็นหลัก หรือถ้าขายในไทยก็เน้นเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยว นอกจาก ทุเรียน ก็ยังมี มะม่วง แก้วมังกร เข้ามาเสริมทัพ เพราะเริ่มมีกลุ่มลูกค้าถามหา”

อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นธุรกิจในหมวดของกิน แต่พอมาเจอโควิด-19 จินนี่ยอมว่า ได้รับผลกระทบไม่น้อย จากยอดออเดอร์ของต่างประเทศที่ลดลง และผลกระทบจากนักท่องเที่ยวที่หายไป

“จินนี่เชื่อว่า ในทุกวิกฤตย่อมมีโอกาส ที่ผ่านมา เราปรับกลยุทธ์หันมาโฟกัสลูกค้าคนไทย เพิ่มช่องทางออนไลน์มากขึ้น ควบคู่ไปกับการปรับรูปแบบสินค้าให้ตอบโจทย์คนไทยมากขึ้น แทนที่จะเน้นทุเรียนแช่แข็ง ก็มาขายทุเรียนสดแทน เพราะคนไทยคุ้นกับการกินทุเรียนสดมากกว่า ซึ่งจุดเด่นของมิสเตอร์ฟรุ๊ตตี้คือ เป็นทุเรียนคุณภาพดี เป็นเกรดที่ใช้ส่งออก”


นอกจากปรับตัวแบบเฉพาะกิจแล้ว จินนี่ยังบอกด้วยว่า จากนี้ต้องคอยติดตามเทรนด์ผู้บริโภคอย่างใกล้ชิดว่า จะเปลี่ยนไปในทิศทางไหน พร้อมทำองค์กรให้ลีนที่สุด สำหรับอนาคตของธุรกิจ จินนี่ยอมรับว่าฝันไว้ไกลมากว่าอยากเปิดช็อปสำหรับวางขายผลไม้แช่แข็งของไทยในหัวเมืองใหญ่ในต่างประเทศ แม้ไม่รู้ว่าจะเป็นจริงได้หรือเปล่า แต่ขอตั้งเป้าใหญ่ไว้ก่อน

พูดถึงเป้าหมายธุรกิจไปแล้ว จินนี่ยังมีอีกหนึ่งความตั้งใจที่ต้องทำให้สำเร็จ นี่คือการไปเรียนต่อปริญญาโท

“ถ้าวันหนึ่งธุรกิจที่ทำอยู่เข้าที่เข้าทางมากกว่านี้ และวิกฤตโควิด-19 ผ่านพ้นไปแล้ว จินนี่ก็อยากไปสานฝันที่จะไปเรียนต่อปริญญาโท ไม่ว่าตอนนั้นจะอายุเท่าไหร่ก็ตาม เพราะจินนี่เชื่อว่า คนเราเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต แต่ถึงวันนั้นคงต้องดูอีกทีว่า ความสนใจเราอยู่ตรงไหน อยากต่อยอดความรู้สายไหน เพราะถ้าไปตั้งแต่ 7 ปีที่แล้ว จินนี่คงเลือกเรียนด้านธุรกิจ แต่ถ้าเป็นตอนนี้ จินนี่ก็อยากเรียนเกี่ยวกับดิจิทัล มาร์เก็ตติ้งแทน”


ถามว่า พอมาลุยธุรกิจของตัวเอง จินนี่มีวิธีจัดสรรเวลางานกับเวลาส่วนตัวอย่างไรให้ลงตัว จินนี่ตอบอย่างน่าสนใจว่า

“ปกติจินนี่จะทำงานตามซีซันส์ของผลผลิต คือช่วงที่ผลผลิตออกไปจนถึงแปรรูป ซึ่งจะกินเวลาประมาณ 9 เดือน เป็นช่วงที่ยุ่ง ส่วนอีก 3 เดือนจะเป็นช่วงที่ว่าง ยกเว้นบางปีที่สภาพอากาศไม่เป็นใจ ก็อาจจะทำงานยาวกว่านี้ ช่วงที่ว่าง จินนี่จะถือโอกาสไปเยี่ยมชาวสวนที่ทำงานกับเรา หรือไม่ก็ไปตระเวนหาสวนผลไม้ใหม่ๆ ไปทั่วทุกภูมิภาคของไทย

ข้อดีคือ ทุกทริปที่ไปเหมือนได้ทั้งทำงานและเที่ยวไปในตัว เพียงแต่ทริปที่พ่วงงานนี้ อาจจะไม่ได้สะดวกสบาย ส่วนใหญ่เป็นแนวซึมซับวิถีชีวิตแบบท้องถิ่นจริงๆ เพราะบางครั้งที่ที่ไปยังไม่มีไฟฟ้าใช้ด้วยซ้ำ บางทีก็ไม่ได้มีโรงแรมให้พัก ค่ำไหนต้องนอนนั่น หรือบางครั้ง แทนที่จะกินอาหารตามร้าน ก็ได้ลองเปลี่ยนบรรยากาศมากินอาหารท้องถิ่นแทน ซึ่งก็ถือเป็นประสบการณ์ชีวิตที่แปลกใหม่”

อย่างไรก็ตาม ถึงจะสนุกกับการทำธุรกิจ แต่ก็ต้องยอมรับว่า เส้นทางนี้มีทั้งบทเรียนและบาดแผลให้เรียนรู้

“ถามว่ามีช่วงเวลาที่ยากลำบากจนท้อมั้ย มีแน่นอน แต่จินนี่ถือคติไม่ยอมแพ้ ไม่ว่าจะทำอะไร ต้องทำให้เต็มที่และดีที่สุด จินนี่เชื่อว่า ทุกอย่างที่เราเลือกหรือตัดสินใจมีสองด้านเสมอ อย่างน้อย ต่อให้สิ่งที่เราเลือกจะไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องที่สุด หรือมีผลเสีย อย่างน้อย เราก็ยังได้เรียนรู้ ซึ่งดีกว่าการที่เราไม่ตัดสินใจทำอะไรเลย เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น เราจะไม่มีวันรู้เลยว่า สิ่งที่ทำอยู่ถูกหรือผิด

ที่สำคัญคือ ถ้ารู้ว่าอะไรผิด อย่าพลาดซ้ำ คนเราต้องเรียนรู้จากสิ่งที่ผิดพลาด ยิ่งมาเจอสถานการณ์วิกฤตช่วงนี้ ยิ่งเป็นบทเรียนชั้นยอด ฝึกให้อดทน เข้มแข็ง พร้อมแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าตลอดเวลา”


เปิดกิจกรรมวันว่าง

แม้ชีวิตจะดูราวกับว่าหมุนรอบด้วยคำว่า “งาน” แต่พอลองพักเบรกมาชวนคุยถึงไลฟ์สไตล์วันว่างของจินนี่ ก็น่าสนใจไม่เบา นอกจากออกกำลังกายด้วยการแวะไปสปอร์ตคลับ เพื่อตีกอล์ฟ เดินเล่น อีกหนึ่งกิจกรรมโปรดของจินนี่คือ การไปตระเวนชิมของอร่อย

“ถ้าเป็นช่วงก่อนโควิด-19 มีเวลาเมื่อไหร่จินนี่ก็จะจัดทริปไปเที่ยวเติมพลัง ซึ่งถ้าไปทริปส่วนตัว จินนี่จะไม่เน้นแนวแอดแวนเจอร์ หรือลุยๆ เหมือนเวลาไปทำงาน ขอเป็นทริปสบายๆ กิน เที่ยว ชอปแทน ไอเทมที่ชอปบ่อยคือ รองเท้า บางทริปจินนี่จัดหนักซื้อกลับมาทีเดียว 20 คู่เลยก็มี (หัวเราะ) จินนี่ไม่ใช่สายสะสมหรือสายตามล่าคอลเลกชันที่เป็นลิมิเต็ด เอดิชัน เน้นซื้อมาแล้วได้ใส่จริง เสียก็เปลี่ยน แต่ช่วงนี้ อาจจะเซ็งๆ หน่อย เพราะไม่ได้ไปไหน เลยมีรองเท้าที่ซื้อมาก็ยังไม่ค่อยได้ใส่เยอะ”

ถามว่า ชอบรองเท้าสไตล์ไหน จินนี่ตอบว่า เน้นแนวเรียบๆ เข้ากับสไตล์การการแต่งตัว ที่เรียบๆ คุมโทนขาว ดำ เทา เพียงแต่รองเท้าอาจจะเน้นว่าต้องมีรองเท้าหลายแบบ ทั้งรองเท้าหนัง สนีกเกอร์ รองเท้าแตะ จะได้เลือกใส่ให้เหมาะกับโอกาสมากกว่า

ไหนๆ ก็ทำความรู้จักกับสาวหล่อมาหลากหลายแง่มุมแล้ว มาถึงเรื่องราวความรัก ซึ่งเจ้าตัวก็เปิดเผยมาตลอดว่า กำลังคบหาดูใจกับ “แก้ม-สามสรา เอี่ยมเอกดุล” เพื่อนสาวคนสนิทที่นอกจากจะเป็นหุ้นส่วนหัวใจ ทั้งคู่ยังลงขันเปิดบริษัท “The Hype Project” พีอาร์ เอเยนซีด้วยกัน ซึ่งถ้าว่างเว้นจากมิสเตอร์ฟรุ๊ตตี้ จินนี่ก็จะมาช่วยดูแล

อย่างไรก็ตาม เห็นเป็นคนเปิดเผยเรื่องความรักแบบนี้ แต่พอเจอคำถามตรงๆ ว่า มีมุมมองต่อความรักอย่างไร ก็เล่นเอาเจ้าตัวเขินนิดๆ ก่อนทิ้งท้ายว่า “ความรักสำหรับจินนี่ คือความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ขอเพียงใครสักคนที่อยู่ด้วยแล้วอุ่นใจ มีความสุข พร้อมเป็นคู่คิด คอยอยู่เคียงข้าง พร้อมรับฟัง ไม่ว่าในวันที่เราสุขหรือทุกข์”

Comments are closed.

Pin It