Interview

“ปิติพัฒน์-อรชุมา ปรีดานนท์” ความพยายามกว่าจะได้ลูกแฝดสมใจ

Pinterest LinkedIn Tumblr


อานุภาพของความรักที่ว่ายิ่งใหญ่ ยังเทียบไม่ได้กับความรักและความเสียสละ ที่พ่อแม่มีต่อลูก โดยเฉพาะ สำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ อย่าง “ติ-ปิติพัฒน์ และ เฟย์-อรชุมา ปรีดานนท์” ที่กว่าจะมีลูกแฝดสมใจ ฝ่ายชายต้องใช้เวลาถึง 7 ปี เพื่อโน้มน้าวให้ฝ่ายหญิงยอมมีทายาท และใช้เวลาอีก 3 ปี กว่าฝ่ายหญิงจะยอมใจอ่อนตั้งท้องลูกแฝด “โคลเอ้ และ คอลิน” โซ่ทองคล้องใจของทั้งคู่

แน่นอนว่าทุกอย่างไม่ได้ง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ เพราะด้วยอายุของฝ่ายหญิงที่เข้าสู่หลักสี่แล้ว การที่ต้องอุ้มท้องลูกแฝด ทำให้ต้องเจอกับความท้าทายแบบยกกำลังสอง


แต่ด้วยความรักและเสียสละของผู้เป็นแม่ และการซัพพอร์ตแบบเกินร้อยของผู้เป็นพ่อ ทำให้ทั้งคู่จูงมือข้ามผ่านช่วงเวลาที่แสนท้าทายนี้มาได้อย่างน่าทึ่ง ที่สำคัญ ยังทำให้ความรักของทั้งคู่ยิ่งทวีคูณ

ส่วนบททดสอบในแต่ละด่านจะโหดขนาดไหน CelebOnline ชวนทั้งคู่มาถ่ายทอดเรื่องราวหลังบ้านที่ไม่มีใครรู้ พร้อมอัปเดตมุมมองการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป หลังสวมสถานะคุณพ่อคุณแม่เต็มตัว


เมื่อโลกทั้งใบหมุนด้วยลูก(แฝด)

“จริงๆ ตึกนี้เป็นออฟฟิศด้วยครับ แต่พอผมมีครอบครัว คุณพ่อเลยแบ่งพื้นที่ให้ทั้งชั้น ส่วนพี่ชายก็อยู่อีกชั้น ผมเพิ่งรีโนเวทใหม่ตอนที่ลูกแฝดคลอดแล้ว จากเดิมเป็นที่เก็บของ เราปรับปรุงพื้นที่ให้เป็นสัดส่วน เพราะอยากให้เขาโตมา มีพื้นที่ของเขาเอง” ติเปิดฉากก่อนพาทัวร์มุมไฮไลต์ของบ้าน ที่ออกแบบผนังให้เป็นแผนที่โลก และเป็นที่โชว์ของสะสม ซึ่งเขาและภรรยารวบรวมจากการเดินทางไปท่องเที่ยวยังสถานที่ต่างๆ เพื่อเป็นตัวแทนความทรงจำ

“เฟย์มีแพสชันเรื่องการเดินทาง ก่อนแต่งงานเราก็ไปกันมาเยอะ จนแต่งงานก็ยังไป พอทำบ้านใหม่เลยตั้งใจทำมุมนี้ขึ้นมา ซึ่งน้องแฝดก็ชอบมาก เวลาเราเล่าให้เขาฟังว่าพ่อเรียนที่นี่ ทำงานที่นี่ ส่วนแม่โตที่นี่ ตอนนี้เราอยู่ที่นี่ เราชอบไปเล่นสกีที่ไหน ส่วนของที่ระลึกที่เราสะสม ก็กลายเป็นของเล่นที่น้องแฝดก็ชอบมากๆ” เฟย์เสริมสามี


“ตอนนี้น้องแฝดขี้อ้อนมากครับ ทั้งสองคนมีบุคลิกต่างกันมาก อย่าง โคลเอ้ ลูกสาวจะออกแนวหวานๆ ส่วน คอลิน ลูกชายจะแอกทีฟสุดๆ แรงเยอะมาก ผมคิดว่าโตขึ้นเขาต้องเป็นนักกีฬาแน่นอน เพราะทั้งพ่อทั้งแม่ก็ชอบเล่นกีฬา อย่างผมเองหลังๆ มาวิ่งมาราธอน เพราะมองว่าเป็นกิจกรรมที่อาศัยการเก็บเล็กผสมน้อย เล่นได้จนอายุ 60-70 ปี นอกจากมาราธอนผมยังเล่นกีฬาอีกหลายอย่าง ทั้งแบดมินตัน บาสเกตบอล เทนนิส สโนว์บอร์ด ว่ายน้ำ เรียกว่าถ้าโตขึ้นลูกอยากเล่นอะไร ผมน่าจะซัพพอร์ตเขาได้หมด” คุณพ่อนักกิจกรรมเล่าด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

อย่างไรก็ตาม กว่าจะมาถึงวันที่ชีวิตครอบครัวลงตัวสมใจอย่างวันนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะอย่างที่เกริ่นไว้ตอนต้นว่า แม้หัวใจจะตรงกันแต่ความคิดที่จะมีลูกกลับสวนทาง

“ผมใช้เวลา 7 ปีเพื่อโน้มน้าวเขา กว่าจะยอมมีลูกให้ผมเขาเคยถามผมว่า ทำไมผมถึงอยากมีลูก ผมก็ตอบไปว่า ในวันที่เราคิดว่ามีครบทุกอย่างแล้ว ซึ่งอาจจะไม่ได้หมายความว่า เรารวยที่สุด หรือประสบความสำเร็จที่สุด แต่ผมอยากถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิต ที่เราสั่งสมมาถึงจุดหนึ่งให้กับลูกของเรา เพื่อให้เขาเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ดี และทำประโยชน์ต่อสังคมต่อไป ผมเป็นคนให้ความสำคัญกับครอบครัวมากที่สุด ความสุขของผมคือการที่ได้เห็นพัฒนาการของลูกในทุกๆ วัน จนกระทั่ง ตอนจะแต่งงาน เขาถึงใจอ่อนยอมมีลูกให้ผมหนึ่งท้อง”


“ตอนแรกเฟย์ไม่ได้คิดจะมีลูกเลย เพราะเฟย์เป็นคนที่ไม่ชอบเด็ก เป็นผู้หญิงที่สนุกกับการทำงาน รักสวยรักงาม กลัวหุ่นพัง แต่สุดท้ายก็ยอมมีให้เขา เพราะเรารักเขา รู้ว่าเขาอยากมีลูก” เฟย์สะท้อนความในใจ ก่อนเสริมว่า การเป็นแม่เปลี่ยนมุมมองในชีวิตเธอหลายอย่าง บทเรียนที่สำคัญที่สุดคือ การใช้ชีวิตกับปัจจุบัน และมีความสุขกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

“ที่ผ่านมา เราอาจจะเป็นคนชอบอะไรที่เป็ะ เพอร์เฟกต์ แต่พอมีลูก ไม่มีอะไรที่วางแผนได้เลย ทุกอย่างต้องเปลี่ยนตามลูก เช่น วันนี้ตั้งใจจะทำอะไรแล้วเกิดเขาป่วย คือแพลนเราทั้งหมดต้องยกเลิกเพื่อเขา ลูกสอนให้เฟย์เรียนรู้ที่จะอยู่กับความเปลี่ยนแปลง ความเป็นปัจจุบันไม่ต้องเพอร์เฟกต์ไปทุกเรื่อง อย่างแต่ก่อนถ้าหุ่นไม่เป๊ะเฟย์จะหงุดหงิด ถ้ากินเยอะไปก็ต้องไปออกกำลังกาย ต้องมีตารางที่เป๊ะในแต่ละวัน เพราะเราพยายามควบคุมตัวแปรทุกอย่างให้ได้เกือบหมด

แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว เราต้องบาลานซ์ทุกอย่าง ยอมผ่อนปรนกับตัวเองบ้าง เช่น อ้วนหน่อยจะเป็นไร สามีก็ยังรักเราเหมือนเดิม หรืออย่างสมัยก่อนเฟย์ต้องทำเล็บ ทำผม นวดหน้า นวดตัว ไปทำทรีตเมนต์ผมอาทิตย์ละครั้ง เดี๋ยวนี้อาจจะต้อง 2-3 อาทิตย์ครั้ง การทำงานก็เช่นกัน ต้องบอกตัวเองว่า ทำงานน้อยหน่อยก็ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นคนที่แย่นะ”


ความหฤโหดของบทบาทแม่

บทเรียนของการเป็นคุณแม่มือใหม่ว่ายากแล้ว กว่าจะได้ลูกแฝดมายิ่งยากกว่า เรื่องนี้คุณสามีคอนเฟิร์ม

“ยากมากครับ แต่ก็ต้องขอบคุณเฟย์ เพราะเขาตั้งใจมาก หลายคนเห็นครอบครัวเราวันนี้อาจจะมองว่าชีวิตสมบูรณ์ ทุกอย่างลงตัว แต่จริงๆ แล้วไม่ง่ายเลย อย่างที่บอก ผมใช้เวลา 7 ปีเกลี้ยกล่อมเขา จนยอมมีลูกให้ผม หลังจากแต่งงาน ผมจึงใช้เวลาอีก 3 ปี เกลี่ยกล่อมให้เขายอมมีลูกสาวด้วย​ เพราะตอนแรกผมอยากได้ลูกชาย แต่ปรากฏว่าตัวอ่อนที่เราได้เป็นลูกสาว เราเลยต้องรอ เพราะเขายอมมีแค่ท้องเดียว พอตอนหลังได้ตัวอ่อนเป็นลูกชาย เลยตัดสินใจทำลูกแฝด ซึ่งยากมากนะครับที่จะใส่ตัวอ่อน 2 ตัวแล้วติดทั้งคู่ เพราะด้วยความที่เฟย์เขาก็อายุไม่น้อยแล้ว ตอนนั้น บวกกับเป็นคนทำงานหนัก มีความเครียด โอกาสไม่ติดสูง แต่โชคก็เข้าข้าง สุดท้ายเราติดลูกแฝดทั้งชายหญิง”

แม้จะผ่านด่านแรกที่ว่าโหดมาแล้ว ยังวางใจไม่ได้ เพราะด่านสอง อย่าง การตั้งครรภ์ก็หินไม่เบา เพราะด้วยความที่สรีระของคุณแม่ที่เป็นคนผอมบาง พอต้องอุ้มท้องลูกแฝดที่ทุกอย่างคูณสอง เลยกลายเป็นที่มาของมหากาพย์แห่งความเสียสละที่ติเล่าอย่างออกรส จนออกปากว่าเขียนเป็นหนังสือได้เลย

“ตอนท้องก็ค่อนข้างสาหัส ทั้งน้ำหนักครรภ์ที่ถ่วงมาข้างหน้ามาก จนดึงกระดูกและกล้ามเนื้อเขาหมดเลย ยิ่งตอนที่อายุครรภ์มากขึ้นเรื่อยๆ มีอยู่ครั้งหนึ่ง นั่งอยู่ดีๆ เขาบอกหายใจไม่ออก ผมก็ตกใจ ทั้งพัด ทั้งนวด เอายาดมมาให้ดม ก็ไม่ดีขึ้น ดีว่าที่บ้านมีออกซิเจนกระป๋อง เลยเอามาให้เขาสูด ปรากฏหายเลย หรือ อย่างเวลานอน​ ปกติถ้าท้องเดี่ยวเด็กจะมีพื้นที่เยอะ ถ้าแม่นอนตะแคงด้านหนึ่งเด็กจะย้ายไปอีกด้าน แต่ท้องแฝด ถ้าแม่ตะแคงด้านไหน คนหนึ่งก็จะเตะ ตะแคงอีกด้าน อีกคนก็เตะ บางคืนเฟย์ถึงกับต้องนั่งหลับ”


พอเห็นภรรยาสุดที่รักต้องทรมาน ติเลยใช้ความรู้ทางวิศวะ ออกแบบเตียงแบบพิเศษให้เฟย์ในช่วง 3 เดือนสุดท้ายก่อนคลอด

“ผมทำเตียงหลุม​ให้เขา หน้าตาคล้ายๆ เตียงนวด แต่ไม่ได้เว้าแค่ตรงหน้า แต่เว้าช่วงท้องด้วย เพื่อให้เขาได้นอนสบายๆ แต่ก็หลับได้ไม่เกินสองชั่วโมง​ เพราะถ้านอนนานน้ำหนักจะไปลงที่ไหล่และคอ จนปวดอยู่ดี แต่อย่างน้อยก็ช่วยได้บ้าง”

ด้านเฟย์เสริมว่า พอท้องลูกแฝดแล้วรู้เลยว่ายากมาก จนไม่อยากแนะนำให้ใครมีลูกแฝดเลย เพราะนอกจากที่สามีเล่ามา ยังไม่รวมกับความเสี่ยงของคุณแม่ที่อาจจะต้องคลอดก่อนกำหนด ซึ่งของเธอยังเข้าข่ายโชคดี สามารถอุ้มท้องมาได้ 38 สัปดาห์ ซึ่งเท่ากับเด็กท้องเดี่ยว​ โดยน้ำหนักทารกที่คลอดออกมาก็ดี อยู่ที่ 2.8 กิโลกรัม และ​ 2.57 กิโลกรัม

ฟังภรรยาเล่ามาถึงน้ำหนักลูกแฝด ติอดแซวไม่ได้ว่า หลังจากคลอดลูก ปรากฏว่าน้ำหนักตัวเฟย์ขึ้นมาแค่ 2.5 กก. เท่านั้น เพราะช่วงตั้งครรภ์เขาดูแลเรื่องอาหารการกินดีมาก

“พอตั้งท้อง เฟย์ศึกษาเรื่องวิธีการกินว่ากินอย่างไรให้ถึงลูก ช่วงที่ท้อง เฟย์ออกแต่ช่วงหน้าท้อง แต่ส่วนอื่นไม่ออกเลย เพราะทุกอย่างที่กินเฟย์ไม่ได้กินตามใจปากแม่ เลยไม่มีส่วนเกินไปออกที่ส่วนอื่น พอลูกคลอดก็หายไปหมด แล้วก็อาศัยการออกกำลังกาย ออกจนถึงสัปดาห์ที่ 36 เพราะเฟย์อยากเตรียมตัวให้พร้อม ร่างกายแข็งแรงที่สุด”


ผ่าน 2 ด่านหินมาแล้ว แต่บททดสอบความแกร่งของคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ยังไม่จบ เพราะนอกจากจะมีลูกอ่อนทีเดียวสอง ยังต้องรับบทคุณพ่อคุณแม่ที่ลูกคลอดท่ามกลางวิกฤตโรคระบาด จนทำให้ 6 เดือนแรกไม่กล้าพาลูกออกนอกบ้าน นอกจากไปโรงพยาบาลเพื่อฉีดวัคซีนเท่านั้น

“ช่วง 2 เดือนแรกเครียดมากค่ะ ไหนจะลูก ไหนจะธุรกิจ ซึ่งเรามีพนักงานหลายร้อยคนที่ต้องดูแล ต้องบริหารกระแสเงินสดในบริษัท สิ่งที่ทำให้เฟย์ผ่านมาได้คือ สติ โชคดีที่ระยะหลังเฟย์เริ่มหันมาปฏิบัติธรรม ทำให้เราไม่ปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือสติ เพราะเมื่อไหร่ที่เรามีสติ ไม่ว่าเจอปัญหาอะไร เฟย์เชื่อว่าย่อมมีทางออก”

ด้านติเสริมว่า เฟย์เป็นผู้หญิงที่แกร่งกว่าที่คิด “อย่างตอนที่เขาต้องให้นมลูก เขาอึดมากที่ให้นมมาจนครบ 1 ปี เพราะเคสเขาเป็นเคสพิเศษ นอกจากน้ำนมน้อยแล้ว ยังมีภาวะหลอดท่อน้ำนมตัน ต้องคอยบด บีบไม่พอ บางครั้งยังต้องใช้เข็มเจาะ กว่าจะได้น้ำนมมา เขาน้ำตาไหลทุกครั้ง เวลาเจาะ บางทีก็มีเลือดออกมา เห็นเลยว่านมลูกมีสีชมพูระเรื่อๆ ตอนแรกผมคิดว่า ถ้าเป็นแบบนี้ 2 เดือนก็ไม่ไหวแล้ว​ เพราะเขาเจาะมาแล้วเป็น 500 เข็ม แต่เขาอดทนให้มาจนครบ 1 ปี เขาทุ่มเทมากจริงๆ ยอมเพื่อลูก” ติเล่าด้วยน้ำเสียงซาบซึ้ง


“ตอนแรกเฟย์ก็ไม่แน่ใจว่าจะไหวมั้ย เพราะเจ็บมากทุกครั้งที่ให้นม ปั๊มนม แต่ด้วยความที่เฟย์เป็นคนทำอะไรต้องทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อที่จะได้ไม่นึกเสียใจหรือรู้สึกแย่ทีหลัง อย่างน้อยถ้าจะเกิดอะไรขึ้นเราก็ยอมรับ เพราะทำดีที่สุดแล้ว อย่างตอนที่เราจะฝังตัวอ่อน เพื่อลดโอกาสที่จะไม่ติดเฟย์ยอมนอนเฉยๆ ไม่ไปไหนเลย กินแกนสับปะรด​ทุกวัน พอตอนช่วงที่ให้นม ตอนแรกคุณติก็บอกว่า 6 เดือนก็พอแล้ว เพราะนมแม่ 6 เดือนแรกคือช่วงที่สำคัญมาก หลังจากนั้นคือ เหมือนเป็นการเติมภูมิคุ้มกันให้ลูก

แต่เฟย์อยากทำให้ลูกให้ดีที่สุด เพราะมีแต่แม่เท่านั้นที่ทำหน้าที่นี้ได้ ก็พยายามดูแลเรื่องการกินอย่างดี เพราะเฟย์รู้ว่าสิ่งที่เรากินจะส่งผลไปถึงลูก ก็ให้ได้จนครบ 1 ปีอย่างที่ตั้งใจ โดยช่วงแรกๆ ต้องปั๊มนมถึงวันละ 7 รอบ” เฟย์ถ่ายทอดเรื่องราวสุดทรหดของมนุษย์แม่

หมั่นเติมความหวานให้ชีวิตคู่

แม้ลูกจะเป็นดั่งของขวัญที่ล้ำค่า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องละเลยการเติมความหวานในชีวิตคู่

“ผมพยายามให้ความสำคัญกับวันพิเศษ ผมคิดว่าเป็นจุดสำคัญในชีวิตคู่นะ อย่าง วันเกิด วันครบรอบแต่งงาน วันวาเลนไทน์ เราจะใช้เวลาด้วยกัน”


“คุณติเขาน่ารัก เขาเป็นคนโรแมนติก ทุกเย็นวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ เขาจะหาหนังดีๆ มาดูด้วยกัน​ ประมาณ 2-3 อาทิตย์ครั้ง ก็จะชวนไปดินเนอร์นอกบ้านไปกินร้านอาหารที่เฟย์ชอบ หรือร้านที่เขาเลือกมาว่าดี เพราะเขารู้ว่าเฟชอบร้านอาหารอะไรใหม่ๆ”

ส่วนทั้งคู่วาดฝันไว้ว่า จะเป็นคุณพ่อคุณแม่สไตล์ไหนนั้น คุณพ่อชิงตอบก่อนว่า ขอดูตามความถนัดและความชอบของลูก “จะส่งเขาไปเรียนต่างประเทศมั้ย ผมคิดว่าคงต้องไปแต่จะไปเร็วหรือช้าอีกเรื่อง อย่าง เฟย์เขาไปเรียนต่างประเทศตั้งแต่ ม.1 ผมไปหลังจบปริญญาตรี ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ต้องดูความพร้อมของลูกด้วย ผมไม่อยากกดดัน ไม่งั้นเขาก็จะไม่มีความสุข ผมอยากให้เขาได้ลองทำหลายอย่าง เพื่อค้นหาว่าตัวเองชอบอะไร แล้วทำในสิ่งที่อยากทำ”

ขณะที่ คุณแม่คนสวยเสริมว่า จะไม่สปอยลูกเด็ดขาด อย่าง ทุกวันนี้ เวลาซื้อของเล่นจะซื้อชิ้นเดียว แล้วให้พี่น้องแบ่งกันเล่น เพราะอยากฝึกให้ลูกเรียนรู้การแบ่งปัน

“เฟย์อ่านหนังสือจิตวิทยาเยอะมาก ทุกเล่มบอกตรงกันหมดว่า 5 ขวบแรก เป็นช่วงเวลาที่สำคัญ หลังจากนั้น อิทธิพลของพ่อแม่ที่มีต่อลูกจะลดลง เขาก็จะเติบโตไปในเส้นทางของเขาเอง พ่อแม่มีหน้าที่แค่ส่งเสริมเขา แต่เราไม่ใช่เจ้าของชีวิตเขา เพราะฉะนั้น ในช่วงเวลาที่เฟย์ทำอะไรให้เขาได้ ก็อยากทำเต็มที่โดยที่ไม่ได้สูญเสียตัวตน อย่าง เฟย์เป็นคนรักสวยรักงาม ชอบแต่งตัว มีสังคม เฟย์ก็จะบริหารจัดการให้ตรงนั้นเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต


Working Dad&Mom

อิ่มเอมกับเรื่องราวของพ่อแม่มือใหม่แล้ว ในอีกมุม ทั้งคู่ยังสวมบทผู้บริหารมีธุรกิจที่ต้องดูแล เริ่มจากเฟย์ เธอย้ำชัดเลยว่า ไม่เคยวาดภาพตัวเองเป็นคุณแม่เต็มเวลา และโชคดีที่สามีเข้าใจ ไม่เคยขอให้เธอทิ้งงานที่รัก

“ผมไม่เคยขอให้เขาเป็นคุณแม่เต็มเวลา เพราะคิดว่าคนเราต้องมีคุณค่าในตัวเอง ไม่ได้มีลูกแล้วทุกอย่างต้องให้ลูกหมด แต่เรายังต้องมีความสุขในสิ่งที่ทำควบคู่ไปกับการบริหารจัดการตัวเอง เพื่อแบ่งเวลาให้ครอบครัว อย่าง ลูกแฝด เรามีทีมมาช่วยดูแล ถึงคุณแม่จะทำงาน ไม่ได้อยู่กับลูกตลอด แต่เรามีเทคโนโลยีที่ช่วยให้แม่ลูกไม่ห่างกัน”

ปัจจุบัน นอกจากเฟย์จะเป็นเอ็มดีบริษัทผู้นำเข้าน้ำแร่ธรรมชาติ Iceland Spring และช่วยดูแลธุรกิจครอบครัว อย่าง บริษัท Mazuma (Thailand) ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบการจัดการน้ำและอากาศอย่างครบวงจร รวมถึงกลุ่มธุรกิจโรงรับจำนำ “มีมันนี่” ซึ่งเฟย์มองว่าธุรกิจที่เธอดูแลยังมีอนาคตที่สดใส เพราะล้วนเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพของคน ซึ่งเป็นเทรนด์ในอนาคต

ส่วนวิกฤตโควิด-19 ที่ผ่านมา เฟย์ยอมรับว่าหนัก แต่เธอเชื่อว่าทุกวิกฤตมีโอกาสซ่อนอยู่ เพราะนอกจากจะเป็นจังหวะที่ให้ได้ใช้เวลากับลูกมากขึ้น ในแง่ธุรกิจ วิกฤตนี้ทำให้ทุกคนในองค์กรเรียนรู้ที่จะรับมือกับการเปลี่ยนแปลง

“พนักงานต้อง Adapt to change และเห็นใจผู้บริหารมากขึ้น เพราะปีที่ผ่านมา เราไม่ได้ปลดพนักงาน หรือลดเงินเดือนใครเลย”


ด้านคุณพ่อ ที่ปัจจุบันเป็นเอ็มดีของ ปรีดาโฮลดิ้ง ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างของครอบครัว ซึ่งเขายอมรับว่า ปีที่ผ่านมาหนักหน่วงไม่น้อย เพราะนอกจากจะมีธุรกิจที่บริหารงานนิติบุคคล ทำให้ต้องคอยติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาด และดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อสร้างความอุ่นใจให้ผู้อยู่อาศัยในโครงการแล้ว ภาพรวมของธุรกิจคอนโดมิเนียมในปีที่แล้วยังไม่สดใส

“ปีที่ผ่านมาเราเน้นประคองตัว บวกกับอาศัยช่วงนี้มาพัฒนาระบบหลังบ้าน วางระบบให้ดีขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเติบโตหลังจากสถานการณ์กลับมาปกติ ในภาพรวมของธุรกิจ โชคดีที่บริษัทมีการลงทุนที่ค่อนข้างจะ conservative ไม่ได้เน้นกู้ธนาคารเยอะ เลยไม่มีภาระทางดอกเบี้ยมากนัก ขณะเดียวกัน โครงการที่พัฒนาก็ยังมียอดขายเข้ามา”

ส่วนเทรนด์ของธุรกิจจากนี้ ติมองว่าคอนโดมิเนียมในปีที่ผ่านมา อาจจะถูกลดความสำคัญ เพราะหลายคนมองว่า พฤติกรรมผู้อยู่อาศัยจะเปลี่ยนไปอยู่บ้านเดี่ยวมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากยอดขายบ้านเดี่ยวในปีที่ผ่านมาค่อนข้างดี สวนทางกับคอนโดฯ แต่ติเชื่อว่า ความนิยมในคอนโดฯ จะกลับมา หลังจากระบบขนส่งมวลชน รถไฟฟ้าสายต่างๆ ขยายไปครอบคลุมมากขึ้น ทำให้คนไม่จำเป็นต้องกระจุกตัวในเมือง แต่สามารถเป็นเจ้าของโครงการที่อยู่ใกล้รถไฟฟ้า ในราคาที่เอื้อมถึง เช่นเดียวกับ เทรนด์การทำงานที่บ้าน แม้จะมาแรง แต่ติยังเชื่อว่า ไม่ใช่งานทุกอย่างที่สามารถทำงานที่บ้านได้ สุดท้ายคนก็ยังต้องออกมาทำงานอยู่ดี และคอนโดฯ จะกลายเป็นอีกหนึ่งคำตอบของการอยู่อาศัย”


ปิดท้ายด้วยคำถามที่เชื่อว่า หลายคนอาจจะนึกสงสัยมาตั้งแต่ต้นเรื่องว่า ในเมื่อความคิดเรื่องการมีทายาทไม่จูนกันตั้งแต่ต้น ทำไมทั้งคู่ยังเลือกเดินหน้าความสัมพันธ์ คำถามนี้ติตอบได้อย่างกินใจว่า

“ผมคิดว่าไม่มีใครเพอร์เฟกต์ไปทุกอย่าง ผมเองก็มีเหตุผลของผม เฟย์เองก็มีเหตุผลของเขา แต่ผมเชื่อว่า ด้วยความรักและความทุ่มเทที่ผมมีให้กับเขา ตั้งแต่คบกันจนกระทั่งแต่งงาน ทำให้เขามั่นใจและเห็นความจริงใจว่า ผมดูแลเขาได้จริง ไม่ได้เฟกทำได้แค่ปีสองปี แต่พอผมทำอย่างสม่ำเสมอ จนวันที่เขายอมมีลูกแฝดให้ผม เพราะเขารู้ว่านี่คือสิ่งที่ผมปรารถนาและอยากทำให้ผมบ้าง จนวันนี้เขารักลูกมาก ทุ่มเทให้กับลูก เพราะถ้าไม่รักคงไม่ทำให้ได้ขนาดนี้ ทุกวันนี้ เวลาเขาอุ้มลูกแล้วเห็นลูกยิ้ม เขามีความสุขมาก ซึ่งผมเองก็มีความสุขไปด้วย

สำหรับผมชีวิตคู่มันยากนะ ไม่มีทางหรอกที่จะเจอคนที่ใช่ เป้าหมายเดียวกัน ชีวิตคู่คือการปรับตัวตลอดชีวิต โชคดีที่เราสองคนเป็นคนที่ปรับตัวเข้าหากัน มันก็ทำให้เรียนรู้และต่อยอดกัน ไม่ใช่ปรับคนเดียว แต่เราสองคนเติมเต็มกันและกัน ในสิ่งที่อีกคนอาจจะไม่ได้เห็นความสำคัญในตอนแรก อย่างแต่ก่อนผมเป็นคนไม่ชอบแต่งตัว ไม่สนใจแฟชั่น พอมาอยู่กับเขา เขาทำให้ผมเริ่มปรับตัว ซึ่งพอเราเห็นว่า พอแต่งตัวแล้วทำให้ดูดี มีความน่าเชื่อถือ เราก็ทำ” ติทิ้งท้าย

Comments are closed.

Pin It