Interview

เลี้ยงลูกสาววัยซนต้องให้เขาเลือกเอง! เคล็ดลับฉบับเวิร์กกิงมัม “แจน ศิรนุช”

Pinterest LinkedIn Tumblr


ถึงจะเป็น Working Mom ที่ตารางงานรัดตัว แต่ “คุณแม่แจน-ศิรนุช โรจนเสถียร” ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสาร ทิพยประกันภัย ก็ยังบริหารทั้งงานราษฎร์-งานหลวงได้แบบหายห่วง โดยเฉพาะ ภารกิจดูแลลูกสาวสุดที่รัก อย่าง “น้องเจน่า-ศรินทร์รตา โรจนเสถียร” ที่ยกให้เป็นอันดับหนึ่ง


“ถึงแจนจะทำงานเยอะ แต่ก็ไม่ลืมแบ่งเวลาให้ลูก อย่าง วันจันทร์-ศุกร์ เราทำงานเต็มที่ พอเสาร์-อาทิตย์ก็จะให้เวลาเขา เพราะปกติเจน่าจะมีกิจกรรมแน่นมากในวันหยุด ทั้งเรียนเปียโน ศิลปะ เต้น ว่ายน้ำ ไปจนถึงเรียนภาษาจีน ซึ่งเราก็จะไปรับไปส่งไปรอเขาเรียน” แจนอัปเดตไลฟ์สไตล์การเป็นคุณแม่ ก่อนพาย้อนไปถึงความรู้สึกตอนที่ได้รู้ว่าจะเป็นคุณแม่อย่างออกรส

“แป็บๆ ผ่านมา 7 ปีแล้ว ยังจำได้เลยว่า แว้บแรกที่รู้ว่าท้องก็ตกใจ เพราะไม่ได้แพลนไว้ก่อน จำได้ว่าแต่งงานได้ 1-2 เดือนก็ตั้งท้องแล้ว ไม่คิดว่าน้องจะมาเร็ว แต่ความรู้สึกต่อมาคือ ดีใจมาก เพราะเราเสียคุณพ่อคุณแม่ไปตั้งแต่อายุ 15 ปี พอมีครอบครัวก็ฝันว่าอยากจะมีลูกมาตลอด อยากสร้างครอบครัวของตัวเอง พอเขามาเราก็แฮปปี้ เป็นความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก ยิ่งเลี้ยงเขาก็รู้สึกว่าเขาเป็นเด็กที่ได้ดั่งใจทุกอย่าง แถมยังเลี้ยงง่ายมากๆ”


หลายคนอาจจะคุ้นภาพแจนในฐานะผู้ประกาศข่าว และสาวสังคมที่มีรอยยิ้มตลอดเวลา อาจสงสัยว่า พอมารับบทคุณแม่แล้ว เธอจะเป็นคุณแม่สไตล์ไหน เจ้าตัวเฉลยว่า เป็นคุณแม่สายซัพพอร์ต ลูกชอบอะไรก็สนับสนุนเต็มที่

“แจนจะคุยกับสามี (ต่อ-สุรยศ วัฒนบูรพากุล) ตลอด แรกๆ อาจจะเป็นแนวหว่านพืชหวังผลนิดนึง ในขณะที่ สามีจะคิดอีกแบบ เขาจะเป็นคนที่ให้เต็มที่ โดยไม่หวังอะไร แล้วเขาก็จะสอนเราว่า อย่าไปคาดหวังอะไรในตัวใครเลย โดยเฉพาะ ลูก ให้เขาได้มีชีวิตของเขา ให้เขาได้เลือกชีวิตของตัวเอง พ่อแม่อย่างเรามีหน้าที่ซัพพอร์ตในสิ่งที่เขาชอบ ตั้งแต่นั้นมาเราก็เลยกลายเป็นคุณแม่สายซัพพอร์ต”


พร้อมขยายความว่า เจน่าเป็นเด็กที่กิจกรรมวันหยุดแน่นมาก ต้องไปเดินสายเรียนสารพัด แต่ทั้งหมดล้วนมาจากความต้องการของเจน่าเอง

“เราค่อนข้างให้อิสระกับลูก ถ้าสมมติเจน่าเดินมาบอกไม่อยากเรียนเต้น โอเค เราจะให้เขาหยุดเรียนและไปทำอย่างอื่นที่ชอบ กิจกรรมทุกอย่างนอกห้องเรียนเป็นสิ่งที่เขาชอบและอยากทำ เราไม่ได้ไปบังคับหรือกะเกณฑ์ว่าเขาต้องเรียนเก่ง แต่บอกให้เขารู้ว่า เขาต้องมีความรับผิดชอบเรื่องเรียนเป็นหลัก ซึ่งเจน่าก็ทำได้ดีอยู่แล้ว”


ในแง่ความสนิทระหว่างแม่ลูก งานนี้ แม้คุณพ่อจะเป็นทีมหลักในการเลี้ยงลูกสาวแทบจะ 24 ชั่วโมง แต่เรื่องความสนิท คุณแม่แจนไม่ยอมอ่อนข้อให้

“เจน่าจะสนิทกับแม่ เพราะเขามองว่าแม่ใจดีกว่าพ่อ เป็นสายสปอย ส่วนพ่อจะมีระเบียบวินัย ตั้งแต่การตื่นนอน กินข้าว อย่างช่วงเปิดเทอม คุณพ่อจะตื่นมาทำกับข้าวให้ลูก พาลูกไปส่งโรงเรียน แจนจะมีหน้าที่แค่ถักเปียให้ลูก เพราะฉะนั้น เจน่าจะอยู่กับพ่อเยอะ เลยต้องอยู่ในกฎระเบียบที่พ่อวางไว้”


แต่ถึงอย่างนั้น เจน่าก็ติดพ่อมาก ถ้าวันไหนคุณพ่อหายไปปาร์ตี้หรือดูบอลกับเพื่อน ซึ่งนานๆ ทีคุณพ่อจะมีนัดซักครั้ง แต่เจน่าจะไม่ยอม

“เจน่าเขาจะมาเอาโทรศัพท์เราไปโทร.ตามว่าพ่อจะกลับกี่โมง กลับกันถ้าเป็นแจนกลับช้าเพราะบางครั้งติดงาน ไปงานอีเวนต์ เขาจะไม่มีปัญหา เพราะชิน โตมาก็เห็นแม่ทำงานตลอด แต่ส่วนใหญ่ถ้าไม่ติดงานด่วน แจนจะพยายามกลับมาให้ทันเขาอาบน้ำ หรือส่งเขาเข้านอน ถ้าวันไหนไม่ทันจริงๆ ก็ใช้วิธี VDO Call และวันเสาร์-อาทิตย์ก็ชดเชยให้เขาเต็มที่ ไปนั่งรอเขาเรียน พาไปดูหนัง ทานอาหารอร่อย ไปเที่ยวต่างจังหวัด ล่าสุด เราก็เพิ่งกลับจากหัวหิน เพราะเจน่าชอบไปทะเล ชอบขี่ม้า”


อย่างไรก็ตาม ข้อดีของการเป็นลูกสาวที่พ่อเลี้ยงมา ทำให้แจนตั้งข้อสังเกตว่า เจน่าเป็นเด็กผู้หญิงที่ค่อนข้างลุย ชอบเล่นกีฬา จะไปเที่ยวภูเขา น้ำตก ก็ได้หมด แถมความคิดความอ่านยังเป็นผู้ใหญ่เกินวัย

“อาจจะเพราะว่า บ้านเราเลี้ยงลูกเหมือนเพื่อนตั้งแต่เด็ก เขาจะคุ้นกับเพื่อนพ่อเพื่อนแม่ ทำให้คำพูดคำจาและความคิดค่อนข้างโต บางคำพูดเขาก็เหมือนสอนเรา อย่างสมมติแจนเล่าว่าวันนี้ไปเจอคนทำไม่ดี เขาก็จะบอกว่าคนที่ไม่ดีก็ได้รับผลไม่ดีเอง เราไม่ต้องไปทำอะไร หรือบางทีเราเล่าว่า ด้วยหน้าที่การงาน ทำให้เรามีความรับผิดชอบเยอะ เขาก็จะบอกว่าอย่าไปคาดหวังอะไรมากมาย เพราะอนาคตเป็นเรื่องที่เรายังไม่รู้”

อย่างไรก็ตาม ถึงจะมีมุมแมนๆ และเป็นผู้ใหญ่ แต่มุมหวานๆ ของเจน่าที่ทำให้คนเป็นแม่อดเล่าไปอมยิ้มไปไม่ได้ก็มีเหมือนกัน

“เขาชอบวาดรูป ทำการ์ด ระบายสีมาให้ หรือถ้าเห็นแม่งานยุ่ง เขาก็จะทำการ์ดมาวางไว้ที่โต๊ะให้แม่”


สำหรับอนาคตแจนวางแผนว่า คงมีลูกสาวแค่คนเดียว เพราะด้วยวัยที่มากขึ้น บวกกับประสบการณ์ที่เลี้ยงลูกกับสามีโดยไม่มีพี่เลี้ยง ทำให้พบว่าการเลี้ยงเด็กคนหนึ่งใช้พลังเยอะมาก คิดว่ามีคนเดียวพอแล้ว แฮปปี้กับชีวิตและดีใจที่เห็นเจน่าได้อยู่ในโรงเรียนที่ดี มีสังคมที่ดี

“ด้วยความที่เขาเรียนโรงเรียนสามภาษา (อังกฤษ ไทย จีน) เขาก็จะสนุกกับการเรียนภาษา อย่าง ภาษาจีน เขาชอบมาก เขาก็จะกลับมาเล่าว่าคุยกับเหล่าซือสนุก เขาคิดว่าภาษาอังกฤษง่ายกว่าภาษาไทย และโรงเรียนยังสนับสนุนให้เด็กกล้าแสดงออก ได้ฝึกพรีเซนต์หน้าห้องตั้งแต่อนุบาล หรือเวลามีกิจกรรมอะไรก็จะร่วมตลอด ไม่ได้เป็นเด็กเขินอาย แต่ก็ไม่ได้ก้าวร้าว หรือชอบโชว์ออฟ เพราะที่โรงเรียนเขาจะเปิดโอกาสให้เด็กทุกคนมีสิทธิ์แสดงศักยภาพ โชว์ความสามารถ ซึ่งแจนมองว่าเป็นสิ่งที่ดีมากๆ”

ในฐานะคุณแม่ แจนไม่ได้คาดหวังหรือกดดันว่าโตขึ้นเจน่าจะเป็นอะไร แค่ขอให้เป็นคนดี “เราเองก็ไม่ได้อยู่บนโลกนี้ตลอดไป แต่สิ่งที่เราสร้างไว้ ความเป็นเขา คือสิ่งที่สำคัญ เราอยากให้เขาเป็นที่รัก มีคนเอ็นดูและเมตตาเขา ไม่ไปสร้างปัญหาให้ใคร ส่วนเขาจะเลือกอาชีพไหน หรือมีเพศสภาพอะไร ไม่สำคัญเท่าเป็นคนดี อยู่ในสังคมได้แบบมีความสุข” แจนกล่าวทิ้งท้าย

Comments are closed.

Pin It