ขึ้นแท่นเป็นอีกหนึ่งผู้บริหารหนุ่มคิวทองก็ว่าได้ สำหรับ “ป๊อง-รุจจิ์ จุลชาต” เพราะเห็นลุคขี้เล่น ดูเป็นผู้ชายอารมณ์ดี แถมยังชอบแต่งตัว แต่พอมาซูมดูบทบาทของเขาในเรื่องงาน บอกเลยว่าไม่ธรรมดา เพราะควบถึง 3 บทบาทจนต้องสับรางบริหารเวลาตัวเป็นเกลียว เพื่อให้ทุกงานออกมารุ่งสมใจ
“ตอนนี้นอกจากจะทำแบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกาย (Personal Care) อย่าง “รติ” (Rati) กับภรรยา (ฝน-รติรส จุลชาต) แล้ว ผมยังทำบริษัทครีเอทีฟเอเจนซี ที่เน้นรับโปรเจกต์จากภาครัฐ และ ล่าสุด ยังไปช่วยเพื่อนสนิทที่เป็นหมอ ซึ่งกำลังทำแพลตฟอร์ม Health Tech อีกด้วย” ป๊องอัปเดตหน้าที่การงานหลักๆ ที่รัดตัวอยู่ในขณะนี้
“ที่ผ่านมา หลายคนไม่รู้ว่าผมทำเอเจนซีด้วย จริงๆ จุดเริ่มต้นมาจากตัวผมเองเรียนจบด้านภาพยนตร์ เคยทำงานด้านโปรดักชันและโฆษณามาก่อน แต่ไม่ค่อยอิน เลยมาดูว่าจะเอาความรู้ที่มี มาต่อยอดธุรกิจครอบครัว ซึ่งทำด้านออกแบบและให้คำปรึกษาโปรเจกต์ใหญ่ๆ ของภาครัฐอยู่แล้วได้อย่างไร สุดท้ายมาลงตัวที่การทำครีเอทีฟเอเจนซี ที่เข้ามาช่วยให้งานของภาครัฐสนุกขึ้น พยายามคิดให้เหมือนงานคอมเมอร์เชียล มีการใส่คอนเซ็ปต์เข้าไปในทุกงาน
ยกตัวอย่างงานที่ประทับใจคือ ตอนที่ได้มีโอกาสไปทำงานกับพิพิธภัณฑ์ของกระทรวงพลังงาน ซึ่งกำลังจะสร้างอาคารใหม่ โจทย์คือ ภายในอาคารนี้จะบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพลังงานทดแทน แต่แทนที่จะเล่าเรื่องแบบปกติ นำของต่างๆ มาจัดแสดงแล้วบรรยาย ผมเติมความครีเอทีฟเข้าไป ด้วยการให้ผู้ที่มาเยี่ยมชมลองครีเอตเมืองทั้งเมือง เพื่อดูว่าถ้าเราใส่อะไรแล้วเมืองจะพัฒนาไปทางไหนในด้านพลังงาน ควบคู่ไปกับการนำเสนอข้อมูลในรูปแบบอินเตอร์แอกทีฟ เพื่อเพิ่มความน่าสนใจ หรือ อย่างล่าสุด กรมการขนส่งทางบก ซึ่งมีแผนพัฒนาการขนส่งทางถนน เราเข้าไปช่วยย่อยข้อมูลในหนังสือ ทำออกมาในรูปแบบเป็นอินเตอร์แอกทีฟ และเป็นสารคดีสั้นให้เข้าใจง่าย”
นอกจากจะดูแลเอเจนซี ป๊องยังจับมือกับภรรยาปั้นแบรนด์ รติ ซึ่งมีจุดเริ่มต้นมาจากของชำร่วยในงานแต่งงาน
“ตอนที่คิดจะทำของชำร่วย เราตั้งใจนำความเป็นเราสองคนบวกกันแล้วหารสอง เลยออกมาเป็นผลิตภัณฑ์สเปรย์สารส้ม เพราะครอบครัวภรรยาผมทำธุรกิจด้านเคมีอุตสาหกรรม นำเข้า-ส่งออกสารเคมีและแร่ธาตุอยู่แล้ว ส่วนตัวผมเองมาสายครีเอทีฟ ตอนนั้นถึงจะเป็นของชำร่วยในแต่งงาน แต่เราตั้งชื่อสเปรย์สารส้มว่า รติ ซึ่งนอกจากจะมาจากชื่อภรรยา ยังมีความหมายว่าความรัก”
ป๊องบอกว่า ตอนแรกยังไม่ได้มีไอเดียจะต่อยอดเป็นธุรกิจ แต่พอของชำร่วยที่ทำแจกในงาน ได้รับกระแสตอบรับดี เริ่มมีคนถามถึง และเป็นใบเบิกทางที่ทำให้มีผู้ใหญ่ชวนไปออกบูธกระทรวงพาณิชย์ จนได้เข้าไปวางจำหน่ายในห้าง ทำให้เริ่มมีไอเดียต่อยอมในเชิงธุรกิจ และมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันมี 3 ผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ Rati Natural Deodorant Spray สเปรย์ระงับกลิ่นกายสูตรธรรมชาติ Rati Happy Feet สเปรย์ระงับกลิ่นกายบริเวณเท้าและรองเท้า และผลิตภัณฑ์ล่าสุด คือ Multi Purpose Body Oil ที่ใช้ได้ตั้งแต่หัวจรดเท้า
“เป้าหมายของแบรนด์เราคือ อยากสนับสนุนให้ทุกคนกล้าเป็นตัวเอง โดยที่ไม่จำเป็นต้องอยากสวย ดูแลตัวเอง เพื่อสร้างความประทับใจให้ใคร แต่เพื่อสร้างความมั่นใจให้ตัวเราเอง นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ทำให้เราเลือกทำ Personal Care มากกว่า Beauty Product เราอยากให้ผลิตภัณฑ์ของเราช่วยให้คน Appreciate กับร่างกายตัวเอง นอกจากนี้ เรายังเลือกตอบโจทย์คนที่แพ้ง่าย เหมือนภรรยาของผมที่แพ้ทุกอย่าง ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและปลอดภัยกับร่างกาย อย่าง สารส้มที่เราใช้ ปกติแล้วคุณภาพของสารส้มมีหลายเกรด ตั้งแต่เกรดสำหรับบำบัดน้ำเสีย ไปจนถึงเกรดที่ใช้สำหรับทำอาหาร ซึ่งเราเลือกแบบที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร ทำให้ปลอดภัย ไม่ระคายเคืองต่อผิวหนังและระงับกลิ่นได้ดี ที่สำคัญ ไม่มีส่วนผสมที่อาจจะทำให้เกิดการระคายเคือง และไม่มีกลิ่น จึงไม่รบกวนกลิ่นน้ำหอม หรือทิ้งคราบบนเสื้อผ้า”
ป๊องขยายความให้เห็นภาพว่า ปกติผลิตภัณฑ์สเปรย์โดยทั่วไปมักมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เพื่อให้แห้งเร็ว แต่แอลกฮอล์ที่ใช้อาจทำให้เกิดการแพ้และระคายเคืองได้ ของรติ เราเลือกแก้ปัญหาด้วยการออกแบบขวดสเปรย์และหัวฉีดให้เหมือนสเปรย์ที่ใช้กับใบหน้า ทำให้ละอองเล็ก กระจายได้ทั่วถึง และแห้งเร็ว เป็นต้น
สำหรับ Multi Purpose Body Oil ป๊องบอกว่า ไอเดียมาจากการที่เห็นเพื่อนๆ ชอบฝากซื้อออยล์เวลาไปต่างประเทศ เพื่อใช้เวลาอาบแดดและไปทะเล เลยคิดว่า ในเมื่อเมืองไทยทะเลสวย แถมเป็นเมืองร้อน แดดเยอะ ทำไมไม่พัฒนาโปรดักต์ที่ดี เพื่อให้ชาวต่างชาติมาซื้อเป็นของฝากบ้าง
มาถึงงานที่ 3 ป๊องบอกว่า เขาเข้าไปช่วยเพื่อน ดูแลเรื่องการสื่อสารให้ Fit Sloth แพลตฟอร์มที่เป็นตัวช่วยเรื่องโภชนาการ ให้ทุกคนสามารถเอนจอยกับการใช้ชีวิตได้ ไม่ว่าจะมีเงื่อนไขเรื่องสุขภาพหรือต้องการลดน้ำหนัก
“ไอเดียของแพลตฟอร์มนี้คือ เป็นระบบที่รวมคุณค่าโภชนาการจากร้านอาหารต่างๆ เพื่อบอกว่าอาหารแต่ละจานมีโปรตีน ไขมันเท่าไหร่ จะได้สามารถแนะนำคนที่อาจจะมีเงื่อนไขในการกินอาหาร เช่น คนที่จะลดน้ำหนัก เพิ่มกล้ามเนื้อ คนที่มีเป็นโรค NCD เบาหวาน ความดัน เก๊าต์ โดยเราจะรวมฐานข้อมูล และประสานงานกับคุณหมอและพยาบาล เพื่อเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำหรับแนะนำโภชนาการในแต่ละวัน เช่น นายเอ เช้า กลางวัน กินอาหารแบบนี้ไปแล้ว มื้อเย็นจะเหลือโควตาที่จะกินอะไรได้บ้าง ตอนไปแฮงก์เอาต์กับเพื่อน ทั้งหมดนี้ จะเป็นประโยชน์กับคนที่อาจจะมีเงื่อนไขในการกินสามารถสนุกกับการใช้ชีวิต โดยที่ร่างกายยังโอเค เพราะสุดท้ายแล้ว ชีวิตคนเราสั้นเกินกว่าจะกินของไม่อร่อย”
แน่นอนว่า พอต้องมารัน 3 บทบาทพร้อมกัน ตารางงานเลยค่อนข้างรัดตัว จากที่เคยเป็นหนุ่มกิจกรรมแน่น ทั้งวิ่ง เล่นเซิร์ฟ ขี่จักรยาน กลายเป็นได้ทำน้อยลง แต่ยังโชคดีที่ป๊องยังได้ค้นพบอีกกิจกรรมที่ชอบ นั่นคือ ตีกอล์ฟ
นอกจากไลฟ์สไตล์ที่แอกทีฟ อีกหนึ่งไลฟ์สไตล์ที่สร้างสีสันให้ชีวิตป๊อง คือ การแต่งตัว
“ถ้าให้นิยามการแต่งตัวของตัวเอง ผมว่า “ออกแนวเลอะเทอะ” (หัวเราะ) สิ่งที่ชอบมากกว่าโดนชมว่าหล่อจัง คืออะไรของแกวะเนี่ย (หัวเราะ) ผมเลยชอบหาของตลกๆ ของวินเทจ ของดีไซเนอร์มาเก็บไว้เรื่อยๆ ผมมองว่าการแต่งตัวเป็นเรื่องสนุก ผมไม่ได้มีตรงกลางว่าหล่อหรือไม่หล่อ อยากใส่อะไรก็ใส่ อย่าง ผมสูง 169 ซม. ซึ่งถือว่าไม่สูงมาก เมื่อเทียบกับมาตรฐานชายไทย บางคนอาจจะแนะนำว่า ไม่ควรใส่เสื้อตัวใหญ่ๆ จะทำให้ยิ่งดูเตี้ย แต่ผมไม่สน ถ้าอยากใส่ก็ใส่ เรื่องสีสันก็เช่นกัน ผมคิดว่าผู้ชายก็ใส่สีชมพู นีออน พาสเทล ได้ ขึ้นอยู่กับความมั่นใจ”
สำหรับแหล่งในการสรรหาไอเทมแฟชั่นเก๋ๆ ของป๊อง เขาบอกว่า หาไปทั่ว ทั้งของใหม่ ของเก่า ของวินเทจ เพื่อเอามามิกซ์แอนด์แมตช์ ช็อปได้ตั้งแต่โอโมเตะซันโด ของญี่ปุ่น ยันจตุจักร
“แต่ก่อนผมสะสมหลายอย่าง แต่พออายุมากขึ้นก็สะสมน้อยลง ที่ยังเก็บอยู่คือ หนังสือการ์ตูนญี่ปุ่น ผมโตมากับมังงะ และคิดว่าผมได้นำมาใช้กับทุกโปรเจกต์ ทุกงานที่เราทำ เพราะการ์ตูนญี่ปุ่นหลายๆ เรื่อง เช่น การ์ตูนทำซูชิ กาแฟ ตีกอล์ฟ ทั้งหมดสะท้อนว่าคนเขียนต้องเนิร์ดกับสิ่งนั้นมากๆ และรู้ข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งนั้นมากพอ ถึงเอามาถอดมาเล่าให้ง่าย จนเป็นการ์ตูนได้ ซึ่งผมว่า นั่นคือจุดสำคัญที่ผมนำมาใช้ในการทำทุกอย่าง พยายามจับทุกเรื่องมาย่อยให้ง่ายเหมือนการ์ตูน”
ปิดท้ายด้วยเป้าหมายในอนาคต ป๊องบอกว่า ถึงเวลาว่างอาจจะน้อยลง แต่ปีนี้ตั้งใจแล้วว่าจะกลับมาออกกำลังกาย และลองทำติ๊กต่อก แม้จะยังไม่รู้ว่าจะมาแนวไหน แต่ตั้งใจแล้วว่าจะลงมือทำ ส่วนอนาคตของธุรกิจ คิดว่า ปีนี้ น่าจะมีโปรเจกต์สนุกๆ ออกมาให้เห็น โดยเฉพาะ รติ ที่จะไปคอลแลบฯ กับพาร์ตเนอร์มากขึ้น ส่วนเรื่องกระแสการเปลี่ยนแปลงที่มาไว ป๊องบอกว่า “เราก็แค่ขี่คลื่นไปกับเทรนด์โลกที่เปลี่ยนไปเท่านั้นเอง”
Comments are closed.