Interview

“นัฐธารี พันธุ์เพ็ญโสภณ” ทายาทสุกี้โคคา สนุกกับงานที่ทำตามคำสอนคุณย่า

Pinterest LinkedIn Tumblr


แม้ “โคคาสุกี้” จะเป็นแบรนด์ร้านอาหารคนไทย ที่อยู่คู่คนไทยมายาวนานถึง 65 ปี แต่แบรนด์ก็ยังดูเฟรชและมีมูฟเมนต์ใหม่ๆ ออกมาให้แฟนๆ ได้ว้าวอยู่เสมอ ซึ่งหนึ่งในผู้บริหารสาวคนเก่งที่อยู่เบื้องหลังคนสำคัญในการสืบทอดตำนานโคคาสุกี้ ให้ก้าวทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลก ก็คือ “แนท-นัฐธารี พันธุ์เพ็ญโสภณ” ทายาทรุ่นที่ 3 ที่กลับมารับช่วงธุรกิจครอบครัว ที่ก่อตั้งโดยคุณย่าปัทมา พันธุ์เพ็ญโสภณ
ปัจจุบันแนท ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท โคคา โฮลดิ้ง อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ประกอบด้วยแบรนด์ร้านอาหารโคคาสุกี้ และ แบรนด์ร้านอาหารไทย “แมงโก้ทรี” (Mango Tree) ซึ่งปัจจุบันทั้งสองแบรนด์มี 70 สาขากระจายอยู่ใน 14 ประเทศทั่วโลก


“บทบาทหลักๆ ของแนทคือ ดูแลในส่วนโอเปอเรชันทั้งหมดที่เกี่ยวกับร้านอาหาร ส่วนใหญ่แนทอยู่ที่เมืองไทยเป็นหลัก นานๆ จะเดินทางไปคิวซีสาขาที่อยู่ในต่างประเทศบ้าง แนทเข้ามารับช่วงต่อจากคุณพ่อ (พิทยา พันธุ์เพ็ญโสภณ) เมื่อ 6 ปีที่แล้ว เรียนรู้งานได้ไม่กี่ปีก็เจอกับวิกฤตโควิด-19 ถือว่าเป็นช่วงที่ยากมากๆ สำหรับธุรกิจร้านอาหาร” แนทเล่าถึงเส้นทางธุรกิจ ก่อนจะเสริมว่า ด้วยความที่สนิทสนมกับคุณย่ามาตั้งแต่เด็ก บวกกับโตมากับธุรกิจร้านอาหาร ทำให้ซึมซับกับธุรกิจนี้มาตลอด

“ครอบครัวเราถือว่า ช่วงเวลาการกินอาหารคือเวลาครอบครัว ที่สมาชิกในครอบครัวจะได้อยู่ร่วมกัน เพื่อแบ่งปันเรื่องราวที่แต่ละคนเจอมา ซึ่งตั้งแต่เด็กแนทก็จะได้อัปเดตความเป็นไปของธุรกิจตลอด จากการที่ฟังคุณย่าและคุณพ่อคุยกัน ทั้งยังได้ซึมซับคำสอนของคุณย่าในการเลือกวัตถุดิบ อย่าง ปลา ท่านก็จะสอนว่า ต้องดูที่ตา ถ้าปลาสดตาต้องใส”


แนทตั้งใจจะเข้ามาสานต่อธุรกิจ ที่คุณย่าและคุณพ่อทุ่มเทขนาดหนัก “จำได้เลยว่าตอนจะเข้ามหาวิทยาลัย คุณพ่อถามว่า แนทอยากเข้ามาสานต่อธุรกิจนี้มั้ย เพราะการทำร้านอาหารไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้เวลาและพลังเยอะมาก ซึ่งแนทเลือกที่จะเข้ามาทำ เลยเลือกเรียนปริญญาตรีและโทสาขา Nutrition & Food Science จาก King’s College ประเทศอังกฤษ ปัจจุบันนอกจากแนทยังมีน้องชายอีกคนที่เข้ามาดูแลธุรกิจ แต่จะโฟกัสในส่วนโรงงาน”

ถึงจะคลุกคลีกับธุรกิจร้านอาหารมาตั้งแต่เด็ก แต่พอลงมือทำจริง กลับไม่ใช่เรื่องง่าย “ช่วงแรกแนทเริ่มต้นเรียนรู้พื้นฐานในการทำร้านอาหารของบริษัททั้งหมด เน้นลงมือทำงานจริง จนคุ้นเคยกับวัฒนธรรมองค์กรและความเป็นแบรนด์ จากนั้นจึงค่อยๆ นำความรู้ที่มีมาปรับกระบวนการทำงานภายในบริษัทให้รวดเร็วขึ้น นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้บริหารธุรกิจ รวมถึงการใช้ช่องทางโซเชียลมีเดีย และออนไลน์ในการต่อยอดธุรกิจ รวมถึงขยายสาขาในต่างประเทศ”


อีกแนวคิดสำคัญที่ผู้บริหารรุ่นใหม่อย่างแนทเข้ามาสานต่อคือ ความยั่งยืน ที่กำลังมาแรงในปัจจุบัน แต่จริงๆ แล้ว โคคาสุกี้ ยึดมั่นในแนวคิดนี้มาตลอด

“จริงๆ คอนเซ็ปต์มันก็คือ Farm to Table ซึ่งเราทำมาตั้งแต่รุ่นคุณย่า สมัยก่อนท่านจะไปตลาดตอนเช้า เพื่อซื้อผักและเนื้อสัตว์ที่สดใหม่มาปรุงอาหาร คุณย่ามักจะได้วัตถุดิบดีๆ กลับมาเสมอ เพราะท่านสนิทกับแม่ค้ามาก แม่ค้าจึงมักจะเก็บของที่ดีที่สุดไว้ให้ ซึ่งคุณย่าบอกว่า หนึ่งในเทคนิคในการทำธุรกิจคือ ต้องมีพันธมิตรที่ดี มาถึงรุ่นคุณพ่อ ก็ยังรักษาแนวคิดเรื่องความยั่งยืน และการนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกค้า อย่าง น้ำมันที่ใช้จะเลือกใช้น้ำมันรำข้าว ซึ่งดีต่อสุขภาพเท่านั้น ขณะที่ ผักและเนื้อสัตว์ก็เลือกใช้แบบปลอดสารเคมี เราปลูกผักที่โรงงาน เป็นสวนเล็กๆ พยายามสร้างวัฏจักร อย่าง เลี้ยงไก่แล้วนำมูลไก่มาทำปุ๋ย เช่นเดียวกับเลี้ยงปลา นำมูลของปลามารดน้ำพืชผักต่างๆ เรามีซัพพลายเออร์ที่ไว้ใจในคุณภาพ”


สำหรับคำสอนของคุณย่าและคุณพ่อ ที่แนทยึดถือและนำมาปรับใช้คือ Never Cut Corners-ทุกอย่างไม่มีทางลัด

“หัวใจในการทำธุรกิจคือ ต้องซื่อสัตย์และจริงใจกับลูกค้า อาหารทุกจานที่เสิร์ฟ ต้องเป็นวัตถุดิบที่ดีที่สุด ปรุงด้วยใจ ทำให้อร่อยที่สุด โดยไม่โกหกลูกค้า และต้องเข้าใจว่า “ความสัมพันธ์” เป็นอีกหัวใจสำคัญ นอกจากการรักษาความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า การบริหารความสัมพันธ์กับพนักงานและซัพพลายเออร์ ก็ต้องเน้นความซื่อสัตย์และจริงใจเช่นเดียวกัน แนวคิดนี้คือรากฐานสำคัญที่ทำให้โคคาสุกี้ยืนหยัดมา 65 ปี”

นอกจากนี้ เมื่อ 30 ปีก่อน คุณพ่อพิทยาก็ได้สร้างแบรนด์อาหาร อย่าง “แมงโก้ทรี” ขึ้นมา “จุดเริ่มต้นคือ สมัยก่อนร้านอาหารไทยที่รับแขกได้มีค่อนข้างน้อย ส่วนใหญ่ต้องไปโรงแรม คุณพ่อเลยทำคอนเซ็ปต์ Thai Cuisine ที่เป็น Casual Dining เพื่อยกระดับมาตรฐานอาหารไทย ทำไปทำมา คุณพ่ออยากจะแนะนำอาหารไทยให้รู้จักไปทั่วโลก จึงขยายสาขาไปต่างประเทศ ตอนแรกไปเปิดที่ญี่ปุ่น เขาไม่คุ้นกับสมุนไพรไทย พริกและผักชี แต่ตอนนี้อาหารไทยฮอตฮิตไปแล้ว และอร่อยไม่แพ้ชาติใดในโลก”


ส่วนโปรเจกต์ใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นคือ ร้าน Blue and Bites ที่สุวรรณภูมิ Satellite 1 ซึ่งแนทตั้งใจนำเสนออาหารในคอนเซ็ปต์ Best Thai Bite Before You Fly ก่อนบินต้องได้กินของอร่อยที่สุด เน้นเสิร์ฟอาหารไทยสไตล์ Casual และยังมีการทำ Chef table ด้วยการจับมือกับเชฟชื่อดัง

“ถามว่ากดดันมั้ยที่ต้องเข้ามาสานต่อธุรกิจครอบครัว กดดันแน่นอน เพราะรุ่นก่อนสร้างไว้ดีมาก เป็นธรรมดาที่คนจะจับตาว่าเราจะเข้ามาทำอะไรใหม่ๆ ให้กับบริษัท ยิ่งธุรกิจหลังโควิด เปลี่ยนเร็วมาก ต้องวิ่งให้ทัน ต้องเข้าใจลูกค้าให้ลึกซึ้ง

ขณะเดียวกัน สิ่งที่ได้เรียนรู้จากคุณย่าและคุณพ่อ เราก็อาจจะนำมาใช้ไม่ได้ทั้งหมด เพราะอะไรที่ทำเมื่อก่อนอาจจะสำเร็จ มาถึงวันนี้อาจจะใช้ไม่ได้แล้ว แต่อย่างน้อยเราสามารถเก็บไว้เป็น Reference ได้”


สำหรับวันว่างของแนท เธอยอมรับว่าค่อนข้างทุ่มเทให้กับงาน ส่วนเคล็ดลับในการทำงานคือ ทำอย่างสนุก เพราะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา ต่อให้วันเสาร์ที่ลูกค้าเยอะก็จะแวะเข้ามาดูแลความเรียบร้อย ซึ่งไม่ได้รู้สึกว่าเป็นการทำงานในวันหยุด อีกทั้งเธอยังสนุกกับการตระเวนไปยังสถานที่ต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ เพื่ออัปเดตเทรนด์ใหม่ๆ อยู่เสมอ

Comments are closed.

Pin It