Interview

จากแพสชั่นวัยเด็กของ “ชาลิสา เตียนโพธิทอง” สู่การเป็นเจ้าของบูทีคโฮเทลกลางกรุง

Pinterest LinkedIn Tumblr


หลายคนอาจเคยมีความฝันว่า อยากจะมีโรงแรมเป็นของตัวเอง แต่น้อยคนนักที่จะแน่วแน่ และสามารถสานฝันให้เป็นจริงได้ แต่ “พลอย-ชาลิสา เตียนโพธิทอง” คือหนึ่งในไม่กี่คน ที่มีความฝันและสานฝันจนเป็นจริงได้

“ที่บ้านทำธุรกิจอสังหาฯ ก็จริง แต่รู้ตัวมาแต่เด็กแล้วว่า ชอบโรงแรม และฝันว่าอยากมีโรงแรมเป็นของตัวเอง อาจเพราะชอบเรื่อง Senses การได้กลิ่น การได้ยินเสียง รู้สึกว่าทุกครั้งที่ไปโรงแรม จะได้ Senses ครบ ทำให้เรารู้สึกว่าโรงแรมเป็นสถานที่พิเศษต่างจากบ้าน” พลอยเปิดฉากเล่าถึงเส้นทางพิชิตฝันของตัวเอง


จากแพสชั่นที่มีตั้งแต่เด็ก ทำให้พลอยเลือกเรียนด้านการโรงแรมที่สวิตเซอร์แลนด์ และเลือกไปฝึกงานโรงแรมต่างๆ ทั้งที่สวิส เยอรมนี ฮ่องกง ทำให้ยิ่งอินและสนุกกับการที่ได้พบเจอผู้คนใหม่ๆ ในโรงแรม ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน แขกที่มาพัก และค้นพบว่า งานในทุกวันคือการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา

“การที่ได้ไปฝึกงานในหลายๆ แผนก ทำให้เราได้เรียนรู้เยอะมาก อย่างตอนที่ไปฝึกแผนก F&B หรือแผนกครัว ก็ได้เรียนรู้ว่างานในครัวต้องทำอะไรบ้าง พอไปฝึกงานที่แผนกฟรอนต์ ก็ได้เรียนรู้เรื่องการเช็กอิน การพูดคุยกับแขก ไปจนถึงแผนกแม่บ้าน เราก็ได้เรียนรู้วิธีการเลือกใช้น้ำยา การเลือกผ้าในห้อง เตียงที่จะใช้ ทุกอย่างมันคือประสบการณ์ ที่เราได้เรียนรู้จากของจริง และสามารถนำมาปรับใช้จริง”


หลังจากจบปริญญาตรีด้านการโรงแรม เธอเลือกที่ไปติดอาวุธด้านการบริหารด้วยการเรียนต่อ MBA ที่สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์จนจบ และผันตัวไปทำงานเป็นที่ปรึกษาเกี่ยวกับการบริหารแบรนด์และโรงแรม หลังจากสั่งสมประสบการณ์มากพอ เมื่อราว 3ปีก่อน พลอยจึงตัดสินใจทำตามความฝัน ด้วยการเปิดโรงแรม The Fig Lobby โดยเธอรับบทเป็น MD ดูแลตั้งแต่คุมการก่อสร้าง แบรนด์ดิ้ง การตลาด งานโอเปอเรชัน ไปจนถึง F&B

“ตอนที่คิดจะทำโรงแรม เราเลือกรีโนเวทตึกแถวเก่าของครอบครัว ซึ่งอยู่ในย่านคลองเตยมารีโนเวทเป็นโรงแรม แต่พอเริ่มตอกเสาเข็มไปได้สองอาทิตย์ ปรากฏว่าเป็นช่วงโควิด-19 พอดี เลยทำให้ต้นทุนวัสดุต่างๆ แพงขึ้น แถมยังเจอช่างรับเหมาที่ทิ้งงาน ทำให้งานก่อสร้างล่าช้า งบบานปลายกว่าที่ตั้งไว้ แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดี เพราะพอต้องลงมือคุมทุกรายละเอียดเอง จากที่คุมงานก่อสร้างไม่เป็น พลอยก็ได้เรียนรู้ ได้มาลองทำอินทีเรีย เพราะตอนนั้นบริษัทออกแบบที่เราดีลไว้ ก็ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เหมือนกัน สถานการณ์ตอนนั้นเลยเป็นทั้งวิกฤตและโอกาส”


สำหรับจุดเด่นของโรงแรม หลักๆ พลอยให้ความสำคัญกับ 3 เรื่อง 1.Community ชุมชน 2. Sustainability ความยั่งยืน 3.Inclusive การยอมรับและผสานความแตกต่างของบุคคล

“อย่างเรื่องชุมชน หลายคนอาจจะมองว่าคลองเตยเป็นย่านที่ไม่น่าอยู่ แต่ในฐานะคนพื้นที่ที่โตมากับย่านนี้ พลอยกลับคิดต่างและมองว่า ย่านนี้มีเสน่ห์หลายอย่างที่น่ามาสัมผัส เลยทำโรงแรมที่นี่และอยากพัฒนาชุมชนไปด้วยกัน ส่วนเรื่องความยั่งยืน พลอยจึงรีโนเวทตึกแถวเก่าอายุ 38 ปี โดยพยายามใช้โครงสร้างเดิมที่มี จะมีแค่พื้นชั้น 1 ที่ทำใหม่หมด แต่ชั้นอื่นใช้พื้นเดิมแล้วขัดใหม่ ห้องก็ใช้โครงเดิม แค่เปลี่ยนอินทีเรีย และมีการเสริมเสา-คาน เพิ่มความแข็งแรง ส่วนเรื่อง Inclusive เราเปิดกว้างด้วยการต้อนรับแขกทุกเพศ ทุกวัย ทุกพื้นที่ และยังเป็นโรงแรมที่เป็น Pet-Friendly”


นอกจาก 3 แกนหลักแล้ว จะเห็นว่าโรงแรมแห่งนี้ ยังเน้นการใช้สีสันที่จัดจ้านซึ่งพลอยบอกว่า มาจากความชอบส่วนตัวในด้านดีไซน์และศิลปะ ซึ่งเธอได้นำทั้งสองแพสชั่น มาหลอมรวมไว้ด้วยกันในโรงแรมที่เธอภูมิใจ

“พลอยเชื่อว่า Colors Spark joy เวลาคนเราเห็นสีสันต่างๆ ร่างกายจะกระตุ้นหรือหลั่งสารบางอย่างที่ดีออกมา นอกจากนี้ เธอยังเชื่อในพลังงานที่มองไม่เห็น แต่สัมผัสได้ โดยเธออยากให้แขกที่เข้ามาได้รับพลังงานดีๆ สามารถเป็นตัวของตัวเองได้เต็มที่ ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน อยากทำอะไรก็ทำได้ อยากใส่อะไรก็ใส่ได้


“พลอยอยากให้แขกรู้สึกว่า มาที่นี่แล้วได้เพื่อนอีกคนกลับไป ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนจริงๆ, ความทรงจำ หรือการที่ได้มาพบเจอพูดคุยกับพนักงาน ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดแข็งของเรา ในเรื่องความเอาใจใส่ การบริการ ที่ทำให้แขกไม่ได้รู้สึกเหมือนมา City hotel แต่เหมือนมา Resort Hotel ที่อยู่ใจกลางกรุงเทพฯ

ส่วนตัวพลอยเองถือว่า โชคดี เพราะแขกที่มาพักส่วนใหญ่เป็นศิลปิน ชอบดีไซน์และอาร์ต ซึ่งด้วยความที่เราก็ชอบด้านนี้ เลยเหมือนได้เจอเพื่อนใหม่ตลอด เพราะที่นี่นอกจากจะมีบริการสปา ที่ผูกกับความเชื่อเรื่องดวงดาว พื้นที่ปั่นจักรยานอินดอร์ ยังมีเวิร์กชอปเครื่องปั้นดินเผา ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่พลอยชอบ เพราะเสน่ห์ของมันคือ เราสามารถผสมสีในดินที่ปั้นได้ก็จริง แต่เราจะไม่รู้ว่าสีที่ออกมาจะเป็นอย่างไร จนกว่าเราจะเผา ซึ่งต่างจากเวลาที่เราวาดรูปแล้วเห็นสีที่ใช้เลย ถ้าไม่ชอบก็เปลี่ยนหรือแก้ได้ แต่เวลาปั้นดินเผา กว่าจะเห็นอาจจะอีก 2-3 อาทิตย์”


อย่างไรก็ตาม ในฐานะน้องใหม่ ที่มาสวมบทเจ้าของโรงแรม พลอยมองว่าเหมือนได้พาตัวเองไปอยู่ทั้งในแวดวงศิลปะและโรงแรม เพราะด้วยคอนเซปต์ของโรงแรม ที่ตั้งใจใส่เรื่องคราฟท์แมนชิพและศิลปะลงไปให้มากที่สุด จนบางครั้งไม่ได้มองว่าเราเป็นโรงแรม แต่เป็นสเปซที่คนเข้ามานอนพัก เหมือนมาพิพิธภัณฑ์ ที่มาจับหรือนอนได้ ซึ่งถือว่าตอบโจทย์ประเทศไทย ที่ค่อนข้างให้การสนับสนุนด้านนี้ แต่ถ้ามองในมิติของการบริหารบูทีคโรงแรม ถือว่าเป็นโจทย์ที่ท้าทายในการสื่อสารจุดเด่น และความแตกต่างของโรงแรมออกไปให้ได้มากที่สุด

อย่างไรก็ตาม นอกจากภารกิจหลักในการบริหารโรงแรม พลอยบอกว่า ถ้ามีเวลาว่างเธอชอบไปตระเวนหาร้านอาหารอร่อย และใช้เวลากับน้องหมา ที่เพิ่งเลี้ยงได้ปีกว่า แต่รักและผูกพันมาก จนนำมาเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้โรงแรมเป็น Pet-Friendly เพราะคิดว่า ในฐานะคนเลี้ยงสัตว์ วันหยุดหรือเวลาไปเที่ยว ก็ไม่อยากทิ้งสัตว์เลี้ยงไว้ที่บ้าน แต่อยากพาไปด้วยกัน

“ถ้ามีเวลาว่างพลอยยังชอบทำอาหาร ท่องเที่ยว ไปตระเวนพักโรงแรมต่างๆ พลอยค่อนข้างให้ความสำคัญกับการเลือกโรงแรม หรือบางครั้งก็ปักหมุดจากโรงแรมที่อยากไปก่อน แล้วค่อยไปดูที่เที่ยวแถวนั้น โรงแรมที่ประทับใจชื่อ 25 hour hotel เป็นของเยอรมนี เป็น Art Hotel ที่สร้างแบบ Low Rise มีห้องให้เลือกหลายแบบ แต่ละแบบจะมีการดีไซน์ที่แตกต่างกัน ที่ชอบมากๆ คือ การออกแบบล็อบบี้ให้เป็น Lounge Area ให้ทุกคนได้มาพบปะพูดคุย เหมือนมาเช็กอินที่โรงแรม แล้วได้ทั้งมาพักผ่อนและมาเจอคนใหม่ๆ” พลอยกล่าวทิ้งท้าย

Comments are closed.

Pin It