แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะทำให้ชีวิตนักเรียนนอกของ “มิ้ม-สุพิภา บุรณศิริ” ลูกสาวคนกลางของคุณแม่คนสวย หม่อมหลวงรดีเทพ เทวกุล และ วีรนต บุรณศิริ ไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ว่า จะเรียนให้หนักแล้วชิลส่งท้าย แต่พอจู่ๆ ต้องกลับมาเมืองไทยแบบกะทันหัน มิ้มก็ไม่รอช้า เหยียบคันเร่งเดินหน้าชีวิตต่อ ด้วยการทุ่มเทให้การเรียนอย่างเต็มที่ จนสามารถคว้าปริญญาตรี เกียรตินิยมอันดับ 1 (Magna Cum Laude) จาก University of Southern California (USC) สาขา Global Health & Consumer Behavior ได้เร็วกว่าที่คิดถึง 6 เดือน แถมตอนนี้ยังเริ่มทำงานใน บริษัท ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย อีกด้วย
“มิ้มกลับมาเมืองไทยตั้งแต่มีนาคม 2563 ช่วงที่โควิด-19 ระบาดหนักในไทย ตอนนั้นเป็นช่วงที่เรียนอยู่ปี 3 ปรากฏว่าทางมหาวิทยาลัยก็ปิด แล้วให้นักศึกษากลับประเทศ ตอนนั้นก็แอบเสียดาย เพราะยังไม่ได้ใช้ชีวิตเต็มที่ ตั้งใจว่าจะทุ่มเทให้กับการเรียนไปก่อน แล้วปีสุดท้ายค่อยตระเวนเที่ยว แต่ก็มาเกิดโรคระบาด”
พอต้องมาเรียนออนไลน์ ด้วยความที่มหาวิทยาลัยมิ้ม เขาจะดูตามเครดิตที่เราเก็บ ถ้าเก็บครบ ก็สามารถเรียนจบได้เลย มิ้มเลยเร่งเรียนให้จบ เพราะเรียนออนไลน์ก็ไม่ได้บรรยากาศเหมือนได้ไปมหาวิทยาลัยจริงๆ อยู่แล้ว แถมมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้แบ่งเบาภาระค่าเทอม มิ้มเลยตัดสินใจเก็บเครดิตจนเรียนจบเร็วกว่าที่กำหนด 6 เดือน” มิ้มเล่าอย่างออกรส
ช่วงที่เรียนจบแรกๆ มิ้มบอกว่า 3 เดือนแรกอยู่บ้านเฉยๆ ก็อดรู้สึกเบื่อไม่ได้ เธอเลยลองหาโอกาสไปฝึกงานกับ Zenyum สตาร์ทอัปด้านทันตกรรม ผู้นำโซลูชัน 'จัดฟันใส' จากสิงคโปร์อยู่ 3 เดือน หลังจากนั้นก็มาสมัครทำงานในตำแหน่ง Unilever Future Leaders Program (UFLP) ที่บริษัท ยูนิลีเวอร์ เช่นเดียวกับพี่สาวคนเก่ง (นุก-กมลพร บุรณศิริ) เพียงแต่อยู่คนละแผนก
“ตำแหน่งนี้ คล้ายๆ เป็นโปรแกรมฝึกหัดที่ใช้ระยะเวลา 2 ปี โดยทุก 6 เดือน เขาจะสับเปลี่ยนให้เราไปทำงานในแผนกต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยของมิ้นจะทำในส่วนของผลิตภัณฑ์อาหาร เรียนรู้งานในฝั่งขายและการตลาด ซึ่งตำแหน่งนี้ดีตรงที่เป็นการเปิดโอกาสให้ได้ลองเรียนรู้งานที่หลากหลาย เพื่อจะได้รู้ว่าชอบหรือไม่ชอบอะไร และยังได้คอนเนกชันจากการที่ต้องทำงานร่วมกับหลายทีมในองค์กร”
อย่างไรก็ตาม การเป็น First Jobber ในยุคโรคระบาด ที่ทำให้รูปแบบการทำงานเปลี่ยนไป หลายองค์กรต้องให้พนักงานหยุดและทำงานที่บ้าน มิ้มยอมรับว่ามีความท้าทายไม่น้อย
“ช่วงที่เริ่มทำงาน ออฟฟิศก็มีนำนโยบายให้ WFH เพราะฉะนั้น เราต้องเริ่มงานจากที่บ้าน ไม่มีโอกาสได้ไปเจอเพื่อนร่วมงาน ต้องเทรนนิ่งพนักงาน ติดต่องานประชุมงานผ่านโลกออนไลน์หมด แรกๆ ก็ต้องพยายามปรับตัว เพราะช่วงที่เริ่มงานใหม่ๆ ในหัวเราเต็มไปด้วยคำถาม แต่พอต้องสื่อสารผ่านออนไลน์ บางครั้งก็เกรงใจว่า ทักไปแล้ว พี่ๆ จะยุ่งอยู่หรือเปล่า หรือเรียนรู้ว่าแต่ละคนบุคลิกเป็นอย่างไร ไม่เหมือนเวลาไปออฟฟิศ อาจจะมีไปทานข้าวกลางวัน ดื่มกาแฟบ้าง แต่ก็โชคดีค่ะ ที่นี่มีระบบพี่เลี้ยงคอยให้คำแนะนำ และคนในองค์กรก็ค่อนข้างเป็นมิตร พร้อมให้ความช่วยเหลือและแนะนำ เลยไม่มีปัญหา”
“พอตอนหลังออฟฟิศเริ่มให้พนักงานสามารถเข้าออฟฟิศได้สัปดาห์ละครั้ง มิ้มก็จะไป ถือโอกาสไปเจอพี่ๆ เพื่อนๆ จะได้เรียนรู้ในสิ่งที่เราอาจจะยังไม่รู้ ไม่แน่ใจ เพราะการที่เรามีโอกาสเรียนรู้งานงานในแต่ละแผนกละ 6 เดือน ทำให้เราต้องเรียนรู้ให้ไว และเร็วที่สุด เพื่อที่จะได้ประโยคไห้มากที่สุด”
อย่างไรก็ตาม แม้จะต้องปรับตัวอย่างหนักกับการ WFH แต่ถ้าเลือกได้ เธอก็ชอบการทำงานที่ยืดหยุ่นแบบนี้ “มิ้มชอบแบบนี้นะคะ เพราะจากประสบการณ์ตอนฝึกงาน แล้วต้องเข้าออฟฟิศทุกวัน มิ้มรู้สึกว่าทำให้คนทำงาน Burn Out กับการทำงานได้ง่ายกว่า แต่การทำงานที่บ้านสลับกับเข้าออฟฟิศบางวัน ทำให้เรากระตือรือร้น และบาลานช์ชีวิตได้ดี มิ้มเองเราทำงานเต็มที่จันทร์ถึงศุกร์ พอวันหยุดก็ใช้เวลาอย่างคุ้มค่า ด้วยการไปทานข้าวกับเพื่อน อยู่กับครอบครัว เล่นกับน้องหมา 2 ตัว ที่อยู่ด้วยกันจนคิดว่า ถ้าต้องกลับไปทำงานและทิ้งน้องหมาอยู่บ้าน ก็อาจจะคิดถึง” (หัวเราะ)
ไหนๆ ก็แย้มถึงไลฟ์สไตล์วันว่างแล้ว งานนี้มิ้มยังบอกด้วยว่า กิจกรรมวันหยุด นอกจากการไปเจอเพื่อนๆ เธอยังชอบออกกำลังกาย ด้วยการพาน้องหมาไปเดินเล่น ไปปั่นจักรยาน หรือถ้าไม่ได้ออกไปไหนก็จะวิ่งบนลู่ นอกจากนี้ ถ้าเป็นช่วงก่อนที่งานจะยุ่ง เธอก็จะทำอาหารและขนม ซึ่งมีช่วงหนึ่งได้อัดคลิปลง Tiktok ด้วย แต่ตอนหลังไม่ค่อยได้ทำแล้ว”
ส่วนช่วงไหนที่มีวันหยุดยาว มิ้มไม่พลาดที่จะจะไปเที่ยวพักผ่อนกับครอบครัว อย่างช่วงโควิด-19 ที่ไปต่างประเทศไม่ได้ ก็หันมาเที่ยวเมืองไทย มีไปดำน้ำ (Free diving) กับเพื่อนๆ “ส่วนใหญ่ถ้าเป็นทริปกับเพื่อนจะเน้นแนวแอดเวนเจอร์ อย่างไปเม็กซิโก หรือไม่ก็เที่ยวพวกอุทยานธรรมชาติ แต่ถ้าไปกับครอบครัว ก็จะเป็นทริปชิลๆ ตามใจคุณแม่”
อย่างไรก็ตาม ถึงจะดูเป็นสาวหวานที่ชอบกิจกรรมลุยๆ แต่ถ้าพูดถึงสไตล์การแต่งตัว มิ้มออกตัวว่าไม่ใช่แฟชั่นนิสต้า ไม่ใช่สายชอปเท่าไหร่ แต่ก่อนถ้าเป็นช่วงที่พี่สาว อยู่เมืองไทย ก็มักจะแชร์เสื้อผ้ากันใส่
“เมื่อต้นปี พี่นุกเพิ่งได้รับเลือกให้ไปทำงานต่อที่ Unilever ลอนดอน ไปอังกฤษ ช่วงนี้เลยต้องติดต่อกันทางออนไลน์ คุยกันทุกอาทิตย์ เพราะด้วยไทม์โซนเวลาที่ต่างกัน บางทีมิ้มต้องใช้วิธีแอบดูว่า เขาออนไลน์อยู่ไหมในแชตออฟฟิศหรือเปล่า แล้วค่อยหาโอกาสทักไป (หัวเราะ)”
แต่ถึงตัวจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน มิ้มย้ำว่า ความสนิทของสองพี่น้องที่อายุห่างกันไม่ถึง 2 ปี ก็ไม่เคยเคยเปลี่ยน “จริงๆ เราไม่ได้อยู่ด้วยกันมา 6-7 ปี เพราะพี่นุกไปเรียนต่อต่างประเทศตั้งแต่อายุ 15 ปี ส่วนมิ้มไปตอนอายุ 18 ปี แถมเรายังเลือกเรียนมหาวิทยาลัยที่อยู่คนละเมือง มิ้มอยู่แอลเอ เขาอยู่ที่วอชิงตัน ดี.ซี. แต่เราก็ไม่เคยรู้สึกว่ามีช่องว่าง อาจเพราะเราวัยห่างกันไม่มาก”
สำหรับเป้าหมายในอนาคต มิ้มบอกว่า 3-5 ปีจากนี้ ยังเป็นช่วงที่อยากเรียนรู้และสั่งสมประสบการณ์ แต่ก็วาดภาพว่าสักวันหนึ่งในอนาคต มิ้มอยากจะทำธุรกิจส่วนตัว เพียงแต่ ณ ตอนนี้ก็อาจจะยังไม่ได้เห็นภาพว่า อยากทำธุรกิจแนวไหน เพราะฉะนั้น ตอนนี้เลยอยากเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้มากที่สุดไปก่อน และที่บริษัทยูนิลีเวอร์ มีแต่ผู้บริหารเก่งๆ ที่เราจะสามารถเรียนรู้จากเขาได้
ปิดท้ายด้วยมุมมองการใช้ชีวิตให้มีความสุข แม้จะอยู่ในในช่วงสถานการณ์ไม่เป็นใจ เธอยอมรับว่า ช่วงแรกๆ ที่กลับไทย ก็เศร้าไม่น้อย รู้สึกว่าทำไมในวัยที่น่าจะได้สนุก ได้ชิลกับเพื่อน ดันมาเจอโควิด-19 แต่มาถึงตอนนี้ เธอกลับคิดต่าง เพราะมองว่า จริงๆ แล้วโควิด-19 กระทบกับคนทุกวัย อยู่ที่ว่าเราจะปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์อย่างไร
“พอมาคิดดีๆ โควิด-19 ทำให้ทุกคนต้องปรับตัว อย่างเช่น คุณตาคุณยาย (หม่อมราชวงศ์เทพกมล และคุณหญิงขวัญตา เทวกุล) ที่เคยไปสกีที่ฝรั่งเศสทุกปี และขึ้นเรือสำราญไปประเทศต่างๆ ทุกปี ก็ต้องงดการเดินทาง หรืออย่าง น้องแม็บน้องของมิ้ม อายุ 16 ปี ที่ตั้งใจจะไปเรียนเมืองนอก สอบเข้าได้เรียบร้อยแล้ว แต่สุดท้ายก็อดไป ฉะนั้น พอมองไปรอบตัวแล้ว มิ้มเลยรู้สึกว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เราต้องยอมรับ และใช้ชีวิตต่อไปให้ได้ในสถานการณ์ที่ไม่เป็นใจ และพยายามทำให้ดีที่สุด โดยเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสให้ได้ค่ะ” มิ้มทิ้งท้าย
Comments are closed.