Interview

“ปิยะ อัจฉริยศรีพงศ์” ขายเพชรอยู่กับความวิบวับ แต่หลงรักประวัติศาสตร์

Pinterest LinkedIn Tumblr


เพราะดูแลตัวเองเป็นอย่างดีแบบเสมอต้นเสมอปลาย ทำให้ “ท็อป-ปิยะ อัจฉริยศรีพงศ์” ประธานบริหารกลุ่มบริษัท เจมส์ พาวิลเลี่ยน จำกัด แม้จะต้องสวมหลากหลายบทบาทแต่ก็ยังฟิตไม่แพ้หนุ่มๆ ไม่ว่าจะลุยงานในฐานะผู้บริหาร สวมบทคุณพ่อยังหนุ่มของลูกชายและลูกสาว ที่แม้จะโตเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว แต่คุณพ่อก็ยังทำตัวเหมือนเป็นพี่ชายคนโต ที่ไม่ยอมตกเทรนด์ แถมถ้ามีเวลาว่างก็พร้อมเอ็นจอยกับไลฟ์สไตล์สุดชิล ด้วยการไปตะลุยเมืองเก่า เพื่อดื่มด่ำกับประวัติศาสตร์


งานนี้ ใครที่สงสัยว่าผู้บริหารคนเก่งมีเคล็ดลับในการบริหารแต่ละบทบาทอย่างไรให้ลงตัว โดยเฉพาะ ในช่วงวิกฤตโรคระบาดแบบนี้ ที่ทำเอาหลายคนกุมขมับ รวมทั้งท็อปเอง เพราะแม้เจ้าตัวจะเคยผ่านวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ตอนปี 2540 มาแล้ว ก็ยังออกปากว่าวิกฤตครั้งนี้หนักกว่ามาก

“ตอนวิกฤตปี 40 ผมเพิ่งเริ่มก่อตั้งธุรกิจก็จริง แต่ตอนนั้นวิกฤตไม่ได้ลามทั้งโลก เรายังแก้เกมด้วยการขยายตลาด ส่งออกไปต่างประเทศ แต่วิกฤตครั้งนี้ไม่เหมือนกัน เพราะเป็นกันทั้งโลก สิ่งที่ทำได้คือ พยายามหาทางแก้ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น ให้กำลังใจกันและกัน อย่างผมเองตั้งแต่ล็อกดาวน์ ก็มีการปรับแผนงาน จากแต่ก่อนประชุมแค่ในหมู่บอร์ดผู้บริหาร ตอนนี้ผมให้แผนกต่างๆ มาประชุมร่วมกัน เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมอง เช่น ให้ทีมดีไซเนอร์มาประชุมกับฝ่ายขาย เอาทีมโปรดักชั่นมาโชว์กรรมวิธีการผลิตให้ฝ่ายขายดู ซึ่งถ้าเป็นช่วงเวลาปกติ ต่างฝ่ายต่างยุ่งจะทำแบบนี้ยากครับ แต่ตอนนี้ ในเมื่อสถานการณ์ไม่ปกติ ทุกคนมีเวลามากขึ้น ก็สู้หาอะไรทำที่น่าจะเกิดประโยชน์ หรืออาจจะทำให้เราได้ไอเดียใหม่ๆ เพราะถ้าเปรียบเทียบกับตอนโควิด-19 ระลอกแรก เมื่อปีที่แล้ว เรายังไม่ทันตั้งตัว เน้นตั้งรับ แต่พอมาครั้งนี้ เราเหมือนมีภูมิคุ้มกันนิดๆ นอกจากประคองตัว ก็พยายามมองหาโอกาสในวิกฤต เพราะเราไม่รู้ว่าจะต้องอยู่กับวิกฤตนี้ไปอีกนานแค่ไหน รู้แต่ว่าเราต้องอยู่กับวิกฤตนี้ให้ได้”


อีกหัวใจสำคัญที่จะทำให้ข้ามผ่านช่วงเวลานี้คือ การเรียนรู้และยอมรับว่าทุกอย่างในชีวิตไม่แน่นอน “ถ้าให้เปรียบเทียบความเครียดของโควิดระลอกที่แล้วกับครั้งนี้ ถ้าครั้งที่แล้วเท่ากับ 100 ครั้งนี้ความเครียดผมเหลือ 35 ครับ เพราะผมพยายามปรับมุมมอง พยายามยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น และมองหาช่องทางอะไรที่ดีขึ้นใหม่ สิ่งที่ผมบอกกับทีมเสมอคือ คนเราต้องอย่ากลัวการเปลี่ยนแปลง แต่ต้องพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงเพื่อไปสู่สิ่งที่ดีกว่าเดิม อย่างก่อนหน้านี้เทรนด์ออนไลน์มาแรง ถามว่าเราปรับตัวไปจับทางออนไลน์ไหม ไปครับ แต่สุดท้ายผมยังมองว่าด้วยธรรมชาติของธุรกิจเรา จะเทไปออนไลน์ 100% เลยก็อาจจะไม่ใช่ เปรียบเทียบจากตัวผมเอง ทุกวันนี้จะซื้อพลอยก็ยังต้องไปดูด้วยตา เพราะมีรายละเอียดหลายอย่างต้องดู ซึ่งผมเชื่อว่าลูกค้าเราก็เหมือนกัน เราอาจจะทำการตลาดออนไลน์ แต่สุดท้ายความรู้สึกที่ได้เดินเข้ามาที่หน้าร้านของเรา ย่อมแตกต่างจากการซื้อของทางออนไลน์ เพราะการมาที่ร้านมีทั้งเซอร์วิส และประสบการณ์ที่แตกต่าง เปรียบเทียบให้เห็นภาพ เหมือนเราซื้ออาหารระดับมิชลินกลับมาใส่จานกินเองที่บ้าน ผมเชื่อว่าความรู้สึกและประสบการณ์ที่ได้ ไม่มีทางเหมือนกับนั่งกินที่ร้านเด็ดขาด ฉะนั้น สำหรับเจมส์ พาวิลเลี่ยน เลยเลือกทำการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ไปควบคู่กัน อย่างช่วงนี้ สาขาในห้างปิด แต่ดิ เอ็กซ์คลูซีฟ @ปั้นโชว์รูม ยังเปิดให้บริการ สำหรับลูกค้าที่นัดหมายล่วงหน้า สามารถมาชมสินค้า พูดคุยกับดีไซเนอร์ และดูกระบวนการผลิตชิ้นงานได้แบบเอ็กซ์คลูซีฟ”


อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานการณ์ที่ไม่เป็นใจ ทำให้แม้ปีนี้จะเป็นโอกาสดี เพราะเป็นปีที่ เจมส์ พาวิลเลี่ยน เข้าสู่ปีที่ 25 แต่แผนงานหลายๆ อย่างที่เตรียมไว้ก็อาจจะต้องเลื่อน หรือพักไว้ก่อน

“มองย้อนไป เวลาผ่านไปเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ ย้อนกลับไปวันที่ผมและพี่สาวคิดว่าอยากจะสร้างแบรนด์จิวเวลรี โดยมีเป้าหมายในใจว่า อยากจะเป็นบริษัทที่ทำจิวเวลรีที่สวยที่สุดในไทย ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มธุรกิจ สิ่งที่เราย้ำและพยายามปลูกฝังให้อยู่ในดีเอ็นเอของพนักงานทุกคนคือ ไม่ดีไม่ได้ ไม่สวยไม่ทำ และแน่นอนว่า หนึ่งในหัวใจสำคัญที่ช่วยผลักดันให้ทีมงานของเรา สามารถสร้างสรรค์ชิ้นงานที่สวยงามได้คือ พนักงานของเราต้องมีความสุขก่อน ไม่อย่างนั้น เขาไม่มีทางสร้างสรรค์ผลงานที่สวยออกมาได้หรอกครับ”


แม้จะดูเหมือนว่า คัมภีร์ของผู้บริหารคนเก่งตอนนี้คือ ยอมรับและพยายามมองทุกอย่างในแง่บวก แต่ถ้าถามว่าในช่วงเวลาแบบนี้ ทำให้มีเวลาว่างมากขึ้นหรือไม่ ท็อปตอบอย่างอารมณ์ดี “เชื่อไหมครับว่ายุ่งกว่าเดิม เพราะด้วยความที่ผมดูด้านการขายและการตลาด ซึ่งเน้นเรื่องการสื่อสาร เลยยิ่งมีหลายอย่างต้องทำ ยิ่งในช่วงที่เจอหน้ากันไม่ได้ ต้องใช้ภาพและตัวอักษร ยิ่งต้องใช้เวลาคิดและร้อยเรียงให้มากกว่าเดิม กลายเป็นว่า ถึงโควิด-19 จะทำให้ต้องทำงานที่บ้าน แต่กลับยุ่งกว่าเดิม มีประชุมตลอด สิ่งที่ผมพยายามให้เกิดขึ้นคือ การทำให้การบริหารงานมีความ Flat คือ ทุกคนคุยกันได้หมด อย่างที่ผมเกริ่นไปตอนต้นว่า ตอนนี้ผมพยายามให้มีการประชุมข้ามแผนก เพื่อให้มีการพูดคุยและแลกเปลี่ยนมุมมองอย่างมีมิติมากขึ้น สร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน รู้ว่าเรามีเป้าหมายอะไรร่วมกัน”


ท็อปยังเล่าให้ฟังด้วยว่า สิ่งที่ได้มีโอกาสลองทำอีกอย่างในช่วงเวลานี้ คือ เปิดโอกาสให้ตัวเองลองทำอะไรหลายอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต “อย่างที่ผมบอกว่า ช่วงหลังมาประชุมเยอะใช่ไหมครับ ตั้งแต่ล็อกดาวน์ เวลาประชุมผมจะเดินบนลู่ไปด้วย พอประชุมเสร็จ ผมก็จะอัปเดตกับทีมว่า การประชุมครั้งนี้ผมเดินไป 6 กิโลเมตร (หัวเราะ) ผมมองว่าผมได้ใช้เวลาให้คุ้มค่า ได้งานแถมได้สุขภาพ พอประชุมเสร็จ เหงื่อออก มันเป็นความรู้สึกที่ฟินมากนะครับ และยังเป็นประสบการณ์ครั้งแรกในชีวิต ที่ผมประชุมไปพร้อมออกกำลังกาย หรืออย่างก่อนหน้านี้ ผมสัมภาษณ์งานออนไลน์ตอนตัดผม ซึ่งต้องยอมรับครับว่าครั้งนั้นเกิดจากความผิดพลาดของผมเอง ที่นัดซ้อน (หัวเราะ) แต่ทุกอย่างก็ราบรื่นไปด้วยดี”


นอกจากจะพยายามหามุมที่น่าสนใจและแปลกใหม่ในการนำพาธุรกิจ ในแง่การใช้ชีวิตก็เช่นกัน ที่ท็อปพยายามหาความสุขจากสิ่งรอบตัว “อย่างที่บอกครับก่อนหน้านี้เคยเครียดมาก ตอนนี้ผมเลยพยายามไม่เครียด อย่างช่วงก่อนหน้านี้ที่สถานการณ์ในบ้านเราเริ่มผ่อนคลาย ผมก็ลองไปทำอะไรที่น่าจะทำ พยายามหาความสุขในอีกมุม เช่น ไปวัดพระแก้ว ไปเดินเล่น ถ่ายรูปชิลๆ ในมุมที่ก่อนหน้านี้คงไม่มีโอกาสได้ถ่ายรูปสวยๆ โดยที่ไม่มีคนแน่นอน หรืออย่างผมชอบประวัติศาสตร์มาก โดยเฉพาะ ประวัติศาสตร์ไทย ชอบมาตั้งแต่เด็ก จนเคยคิดจะเรียนต่อคณะโบราณคดี แต่คุณแม่ทัดทานไว้ เลยมาเรียนสายการตลาดแทน และเก็บความชอบไว้เป็นงานอดิเรก ทุกวันนี้ถ้ามีเวลาว่าง ผมชอบไปอยุธยา กำแพงเพชร สุโขทัย ฯลฯ แต่ที่ไปบ่อยสุดคือ อยุธยา จนลูกสาวแซวว่า ย้ายไปอยู่เลยไหม (หัวเราะ) ด้วยความที่ผมมีคนรู้จักที่ทำงานในกรมศิลปากร ฉะนั้น เวลาไปเขาจะช่วยนำเที่ยว เวลาไปเที่ยววัด หรือพิพิธภัณฑ์ ก็จะบรรยายเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ในหลากหลายแง่มุมที่ค่อนข้างลึกให้ฟัง ด้วยความที่เราชอบอยู่แล้ว ยิ่งได้ฟัง ได้เห็นของจริงก็ยิ่งอิน หรือบางทีถ้าไปคนเดียวผมก็ชอบไปพิพิธภัณฑ์ ไปบ่อยจนซื้อ บัตร Thailand Museum Pass ไว้เลยครับ เวลาไปพิพิธภัณฑ์ ผมชอบไปคนเดียว เพราะผมชอบอ่านเรื่องราวต่างๆ ไปเรื่อยๆ อาจจะต้องใช้เวลา”


นอกจากหลากหลายกิจกรรมที่ทั้งสานต่อและเพิ่งเริ่มทำ อีกหนึ่งโปรเจกต์ที่ท็อปกำลังตั้งหน้าตั้งรอคือ โครงการสร้างบ้านหลังใหม่ “ตอนนี้อยู่ระหว่างก่อสร้าง ส่วนผมเองก็เริ่มมองหาของแต่งบ้าน อย่าง งานศิลปะ ไปจนถึงพระพุทธรูปสำหรับบูชา ภาพศิลปะ ก่อนหน้านี้ผมไม่ได้อิน เวลาดูก็ไม่เข้าใจ ต้องอาศัยถามคนอื่นว่าต้องซื้ออย่างไร พอคิดไปคิดมาถึงได้รู้ว่า จริงๆ แล้ววิธีดูง่ายมาก เหมือนกับจิวเวลรีคือ ถ้าดูแล้ว 2 วินาทีแรกชอบคือใช่ เพราะถ้าผมซื้อภาพที่คนอื่นว่าดี แต่ผมไม่ได้ชอบมาติดผนังที่บ้าน ก็คงไม่มีประโยชน์ ผมเรียกความรู้สึกแบบนี้ว่า รักแรกพบ เหมือนเวลาลูกค้ามาดูจิวเวลรี ผมจะบอกเสมอว่าใช่ก็คือใช่ ถ้าไม่ใช่พิจารณาชิ้นอื่นไปเลยดีกว่าครับ เพราะจิวเวลรีไม่เหมือนสินค้าประเภทอื่น ไม่ได้มีอายุแค่ 5-10 ปี หรือใช้แล้วหมดไป แต่มีอายุยาวนาน บางชิ้นไม่ได้อยู่แค่เจนฯ เดียว มีการส่งต่อเป็นมรดกจากรุ่นสู่รุ่น ที่สำคัญ แต่ละชิ้นก็มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง เชื่อไหมครับ บางชิ้นผมขายไปแล้วยังคิดถึง จนต้องขอลูกค้าว่า ขอไปชมอีกครั้ง ผมคิดว่า คงเหมือนศิลปินที่เป็นเจ้าของงานศิลปะ”


ทำงานก็เต็มที่ ไลฟ์สไตล์ก็ยูนีคไม่เหมือนกัน มาถึงวิธีการเลี้ยงลูกที่ไม่ซ้ำใครของท็อปกันบ้าง “เด็กสมัยนี้ต้องเลี้ยงให้เป็นเพื่อนครับ เราเองก็ต้องคอยอัปเดตตลอด เพราะถ้าลูกรู้สึกว่าพ่อแม่คุยไม่รู้เรื่อง เขาจะไม่อยากเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ฟัง และเราจะไม่รู้เลยว่าเขาคิดอะไรอยู่ ฉะนั้น ผมจะเป็นคุณพ่อที่ไม่ทำให้ลูกรู้สึกว่าผมเชย ถ้าเป็นไปได้ต้องพยายามทำให้เหมือนว่า เราก้าวนำเขาไป 1 สเต็ป จะเรียกว่าเป็นการโชว์เหนือก็ได้ครับ (หัวเราะ) ยิ่งตอนนี้ลูกโตเป็นวัยรุ่นแล้ว มีทั้งมุมที่ยากขึ้นและหลายมุมที่ง่ายขึ้น เช่น ตอนนี้ผมไม่ต้องห่วงว่าเขาจะซนมั้ย จะหกล้มมั้ย แต่ก็ไปห่วงเรื่องอื่นแทน ผมคุยกับลูกอย่างเปิดเผยมาก รวมถึงเรื่องความรัก เราจะแชร์กันตลอดว่า ตอนนี้เจอใคร คุยกับใครอยู่หรือเปล่า ผมแชร์เรื่องของผมเขาก็แชร์เรื่องของเขา เหมือนเรารับรู้เรื่องของกันและกัน พร้อมกับเรียนรู้ไปด้วยกัน”


ส่วนเรื่องการส่งไม้ต่อธุรกิจ ท็อปแย้มว่า อย่างลูกสาวด้วยความที่เป็นผู้หญิง เขาสนใจเรื่องของสวยๆ งามๆ ตามประสาผู้หญิง และก็บอกว่าอยากเป็นเหมือนผม ช่วงนี้เลยเข้ามาช่วยงานที่บริษัท เข้าประชุมด้วยตลอด เพื่อมาสังเกตการณ์ เรียนรู้ แต่ผมก็ไม่ได้ปิดกั้นนะครับ ผมบอกเขาเสมอว่า ถ้าระหว่างทางเจออย่างอื่นดีกว่า พิจารณาดูด้วย ส่วนลูกชาย เขายังไม่อินเท่าไหร่ ซึ่งผมก็มองว่าเป็นเรื่องดีที่เขาชัดเจนกับตัวเอง ดีกว่ามาถูๆ ไถๆ ไปเรื่อยๆ แล้วสุดท้ายค่อยมารู้ตัว

ไหนๆ ก็แย้มมาถึงเรื่องความรักแล้ว งานนี้เลยถือโอกาสปิดท้ายด้วยการแง้มหัวใจผู้บริหารคนเก่ง ที่ตอนนี้อยู่ในสเตตัสโสดกันสักหน่อย “ผมมองว่าเป็นเรื่องอนาคตครับ แต่อย่างน้อยคนที่จะมาอยู่ร่วมกัน ก็ต้องเป็นคนที่เข้ากับลูกๆ ผมได้” ท็อปตอบแบบกระชับแต่ชัดเจนทิ้งท้าย

Comments are closed.

Pin It