Interview

เบญจวรรณ เบอร์แมน แม่เลี้ยงเดี่ยว ที่เป็นทั้งพ่อ แม่ และเพื่อนให้ลูกๆ

Pinterest LinkedIn Tumblr


แวดวงสังคมไฮโซหลายคงคุ้นเคยกับสาวร่างเล็ก แต่สไตล์ไม่เล็ก “เอ-เบญจวรรณ เบอร์แมน” หลายครั้งเธอมักปรากฏกายในชุดแบรนด์เนมแพงลิบลิ่วทั้งตัว จนได้นั่งแท่นแฟชั่นนิสต้าระดับไฮเอนด์ ที่หลายแบรนด์พากันมอบสิทธิพิเศษและความ “กิตติมศักดิ์” ให้ แต่อีกหนึ่งบทบาทซึ่งเธอทำได้อย่างดีและไม่ขาดตกบกพร่องก็คือ การเลี้ยงลูกน้อยทั้ง 4 คน ซึ่งกำลังอยู่ในวัยเจริญเติบโต อย่าง น้องนีโอ ลูกชายคนโตวัย 16 ปี น้องเซ ลูกชายคนที่สอง วัย 9 ปี และลูกสาวฝาแฝด น้องไดอาน่าและน้องอิซาเบล วัย 3 ขวบ

หลังจากที่เอตัดสินใจแยกทางกับอดีตสามี ทั้งคู่ก็ตกลงที่จะดูแลลูกร่วมกัน โดยเธอรับหน้าที่ดูแลทั้ง 4 คนในวันศุกร์-อาทิตย์ ซึ่งเธอเองก็ใช้ทุกวินาทีอยู่กับลูกๆ อย่างคุ้มค่า สร้างความรักเติมความอบอุ่นให้กับลูกๆ อย่างเต็มหัวใจ เพื่อไม่ทำให้ลูกรู้สึกถึงความไม่สมบูรณ์ของครอบครัว เพราะทุกวินาทีล้วนมีคุณค่าและเป็นเวลาแห่งรัก ต่อจากนี้เราจะพาไปฟังเทคนิคการเลี้ยงลูกของคุณแม่สายแฟชั่น ในยามที่ต้องเป็นทั้งพ่อและแม่ในเวลาเดียวกันว่า จะครบรสอย่างไร?


เอเล่าว่าทุกวันที่ 12 สิงหาคมของทุกปี เธอและลูกๆ จะยึดวันนี้เป็นวันสำคัญของครอบครัว ที่แม่และลูกๆ จะได้อยู่ร่วมกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาแบบไม่มีอะไรขวางกั้น และจะทำกิจกรรมร่วมกันเป็นประจำทุกปี

“ส่วนใหญ่ทุกวันแม่ถ้าตรงกันวันหยุดยาว เราก็จะพากันไปเที่ยวที่ต่างจังหวัดใกล้ๆ อย่าง หัวหิน พัทยา เพื่อไปพักผ่อนทำกิจกรรมร่วมกัน เด็กๆ ก็จะทำเซอร์ไพรส์เราด้วยกันทำการ์ดอวยพรวันแม่ รวมไปถึงนำช่อดอกไม้มาให้ แต่ด้วยความที่วันแม่ปีนี้เจอสถานการณ์ไวรัสโควิดระบาด เราคงอยู่บ้านช่วยกันทำอาหารทำขนมมารับประทานร่วมกัน เพียงเท่านี้ก็มีความสุขแล้ว ซึ่งหลายคนอาจมองเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สำหรับคนเป็นแม่แล้ว สิ่งนี้มันมีค่ายิ่งกว่าเงินทองมากมายมหาศาล” คุณแม่สุดสตรองเล่าด้วยน้ำเสียงอิ่มใจ

ได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์แม่ทุกคนล้วนมีวิธีเลี้ยงลูกแตกต่างกัน แต่สำหรับเธอแล้วก็ไม่ต่างจากแม่ทั่วไป ที่อยากเห็นลูกเป็นคนดีสามารถพึ่งพาตัวเองได้ ดังนั้น เธอจึงทำหน้าที่เป็นทั้งแม่และเพื่อนของลูกในเวลาเดียวกัน เพื่อทำให้ลูกรู้สึกอบอุ่นหัวใจเมื่ออยู่ใกล้ และเป็นที่พึ่งพิงในยามที่เจอกับปัญหาต่างๆ

“เราจะเลี้ยงลูกเหมือนเพื่อน อย่าง น้องนีโอ อยู่ในวัยกำลังเป็นหนุ่ม เขามีอะไรก็จะมาปรึกษาและพูดให้แม่ฟังตลอด ซึ่งเด็กวัยนี้จะมีปัญหาอยู่สองอย่างคือ เรื่องเพื่อนและเรื่องความรัก ซึ่งเราก็จะให้คำปรึกษากับเขาจนเขารู้สึกสบายใจ และสามารถหาทางออกในการแก้ปัญหาด้วยตัวเองได้ ส่วนน้องแฝดยังเด็กเขาก็จะตัวติดกับแม่มาก ดังนั้น เวลาเขาวาดรูประบายสีเล่นเกมเราก็จะเล่นกับเขาตลอด”


โอกาสที่คุณแม่และลูกๆ ทั้ง 4 จะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันนั้น อาจไม่ได้มากมายเท่าไหร่นัก ถ้าเทียบกับครอบครัวอื่น แต่คุณแม่เอก็ได้ใช้ทุกเวลาที่อยู่ด้วยกันให้กลายเป็นความรักที่สมบูรณ์มากที่สุด

“ทุกวันนี้เราแบ่งเวลากันดูแลลูก ทุกวันศุกร์-อาทิตย์ ลูกจะอยู่กับเรา และวันจันทร์-พฤหัสฯ เด็กๆ จะกลับไปอยู่กับคุณพ่อ ยกเว้น น้องนีโอ ที่อยู่กับเอตลอด ดังนั้น เวลาที่เราได้อยู่ร่วมกัน เอจะพยายามทำกิจกรรมร่วมกับลูกๆ เช่น ทุกคืนวันศุกร์เราจะมานั่งกันในห้องโฮมเธียเตอร์ เพื่อดูภาพยนตร์เรื่องต่างๆ และช่วยกันทำขนมป๊อบคอร์นมากินกันคนละกล่อง ที่หน้าจอทีวี อย่างตอนนี้กีฬาเซิร์ฟสเก็ตกำลังเป็นที่นิยม ทุกเย็นเราก็จะมาไถบอร์ดกับน้องนีโอและน้องเซ เอจะใช้ทุกวินาทีดูแลลูกๆ ทำกิจกรรมกับเขาให้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ เพราะเราต้องการเติมเต็มครอบครัวที่สมบูรณ์ให้กับลูกๆ ค่ะ”

ส่วนเรื่องที่ทำให้หัวใจแม่แทบสลาย ทุกครั้งเมื่อลูกน้อยวัยกำลังช่างพูดช่างเจรจา อย่าง น้องแฝด ต้องวิ่งหนีรถตู้ที่มารับทุกเย็นวันอาทิตย์ แม้จะเจ็บปวดมากเพียงใดแต่เธอก็ทำได้เพียงปลอบประโลมลูกรัก ให้เข้าใจถึงหน้าที่ของตัวเอง และหวังว่าสักวันจะมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันทุกวันตลอดไป

“ภาพที่คนเป็นแม่เองรู้สึกเจ็บปวดที่สุดคือ ทุกเย็นวันอาทิตย์จะมีรถตู้มารับน้องเซและน้องแฝดกลับบ้านคุณพ่อ อย่าง น้องเซเริ่มโตแล้วก็จะไม่ค่อยโยเยเท่าไหร่ แต่น้องแฝดเวลาที่เห็นรถตู้มาจอดที่หน้าบ้าน เขาจะรีบวิ่งหนีขึ้นไปที่ห้องแล้วล็อกประตูร้องไห้ไม่ยอมกลับไป บอกแต่ว่าหนูจะอยู่กับคุณยายคุณแม่ เราก็ต้องขึ้นไปปลอบใจและบอกว่า หนูต้องกลับบ้านไปหาคุณพ่อนะคะ เดี๋ยววันศุกร์เราก็จะได้เจอกันแล้ว มีบางครั้งที่น้องเคยถามว่า ทำไมครอบครัวเราถึงไม่ได้อยู่ด้วยกันเหมือนบ้านเพื่อนๆ ซึ่งคำถามนั้นเราก็มีอึ้งอยู่บ้าง แต่เราก็จะพยายามพูดปลอบใจเขาว่า ทุกคนมีหน้าที่เป็นของตนเอง ทุกคนมีความสุขของครอบครัวในแบบของใครของมัน เราต้องมีชีวิตที่มีความสุขกับการอยู่บ้านทุกหลัง ทุกวันนี้เราก็ได้แต่คาดหวังว่า สักวันหนึ่งจะมีโอกาสได้อยู่ด้วยกัน 5 คนแม่ลูกทุกวันตลอดไป”


แม้จะร่ำรวยมหาศาลเพียงใดก็ตาม แต่คุณแม่สายชิลก็ไม่ได้ตามใจลูกไปเสียทุกอย่าง ลูกทุกคนต้องใช้แรงแลกเปลี่ยนเป็นเงินหรือของเล่น เพื่อที่จะได้เห็นคุณค่าของเงินและหวงแหนสิ่งของที่ตัวเองได้รับมา ที่สำคัญ เด็กๆ จะได้เห็นและรู้คุณค่าของเงินว่า กว่าจะได้มาแต่ละบาทนั้นมันไม่ง่ายเลย

“ความจริงแล้วเอจัดเป็นแม่สายชิลนะคะ ขณะเดียวกัน ก็ไม่ได้ตามใจลูกไปเสียทุกเรื่อง เช่น เมื่อลูกอยากได้ของเล่นหรือของขวัญอะไรสักชิ้น ที่นอกเหนือจากวันเกิด เราก็จะให้พวกเขาทำความดีเพื่อแลกกับของสิ่งนั้น อย่าง น้องแฝด เวลาอยากได้ของเล่น เราก็จะให้เขาอ่านหนังสือหรือช่วยงานบ้านอะไรสักอย่าง เพื่อแลกกับของเล่นที่เขาอยากได้ ส่วนลูกคนโตและคนรองเริ่มเป็นหนุ่มกันแล้ว เขาไม่ได้อยากเล่นแต่อาจจะขอเงินไปทำอย่างอื่น ซึ่งเราก็จะให้เขาแลกด้วยการทำเกรดในเทอมนั้นให้ดีกว่าเดิม หรือให้ทำความดีอย่างอื่นแลกเปลี่ยน เพราะเราต้องการให้เขารู้ว่ากว่าที่จะหาเงินมาได้ต้องลำบากเพียงใด ดังนั้น เมื่อได้มาแล้วก็ต้องใช้อย่างคุ้มค่าและหวงแหนของชิ้นนั้นไว้ให้ดีที่สุด เพราะกว่าที่จะได้มาต้องเหนื่อยแค่ไหน”

แม่เอบอกว่าหนึ่งในคำขอของลูกชาย ที่ทำเอาคุณแม่ยังสาวถึงกับอึ้งนั้นก็คือ เมื่อ 3 ปีที่แล้ว น้องนีโอเดินเข้ามาขอเงิน 10,000 บาท

“ยอมรับว่าตอนที่น้องนีโอมาขอเงินไปลงทุนเล่นบิตคอยน์ เราก็มีอึ้งๆ นิดหน่อย ไม่คิดว่าเด็กอายุ 13 ปีจะมีความคิดในเรื่องของการเก็งกำไรได้ขนาดนี้ แต่เราก็ลองให้เงินเขาไป และตั้งแต่วันนั้น น้องนีโอก็ไม่เคยมาขอเงินเราในจำนวนที่มากอย่างนี้มาก่อนอีกเลย” คุณแม่เล่าด้วยน้ำเสียงสดใส


ไม่น่าเชื่อว่าผ่านมาแล้ว 3 ปี ผลของการให้เงินน้องนีโอในวันนั้น จะมีดอกเบี้ยเป็นความน่าชื่นใจให้กับคุณแม่ เพราะตอนนี้สองคนแม่ลูกสนุกกับการเล่นบิตคอยน์ แถมคุณแม่เอยังต้องให้น้องนีโอช่วยเล่นบิตคอยน์ให้ด้วย

“กลายเป็นว่าตอนนี้เราสองคนแม่ลูกต่างพากันเล่นบิตคอยน์ด้วยกัน และไม่น่าเชื่อว่า ผ่านมา 3 ปีน้องนีโอเล่นบิตคอยน์เก่งกว่าเราเยอะ ทุกวันนี้เอก็จะให้น้องเล่นในบัญชีของเรา และไม่น่าเชื่อว่ากลับมาดูบัญชีอีกที มีตัวเลขในบัญชีเพิ่มขึ้นเยอะมาก เหตุการณ์นี้สอนให้เรารู้ว่า เด็กวัยนี้เขาอาจมีสมองที่พัฒนากว่าเรามาก ดังนั้น คนเป็นผู้ปกครองควรส่งเสริมและคอยเอาใจช่วยอย่างห่างๆ เพื่อให้เขารู้สึกอุ่นใจ เมื่อผิดพลาดมาก็ยังมีแม่คอยรองรับอยู่เสมอ”

ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่กำลังแพร่ระบาดอย่างหนักในขณะนี้ ส่งผลให้หลายโรงเรียนต้องเปลี่ยนการสอนจากออฟไลน์มาเป็นออนไลน์ เช่นเดียวกับลูกของเธอ ที่ต้องเรียนออนไลน์อยู่ที่บ้าน ฉะนั้น อีกภารกิจสำคัญของคุณแม่สุดสตรองอย่างเธอ ที่เจ้าตัวออกปากว่ามีความสุขที่สุด คือการช่วยจัดตารางเรียนให้ลูกๆ โดยเฉพาะ น้องแฝด ที่อยู่ในวัยเตรียมอนุบาล

“เอรู้สึกกลับชอบการให้เรียนออนไลน์นะคะ เพราะเราจะได้มีเวลาอยู่กับลูกๆมากขึ้น อย่าง น้องนีโอกับน้องเซโตแล้ว เขาก็สามารถจัดตารางเรียนกันเองได้ แต่น้องเซ จะมีอาจารย์พิเศษมาสอนวิชาคณิตศาสตร์ที่บ้านเพิ่ม เพราะน้องยังไม่ค่อยเข้าใจในบางสูตร ส่วนน้องแฝดอยู่เตรียมอนุบาล เราต้องวางแผนการสอนของโรงเรียนที่คุณครูส่งมาให้ มาทำเป็นตารางเรียนว่าจะมีเรียนออนไลน์ช่วงกี่โมง และด้วยความที่น้องเป็นเด็ก บางครั้งนอนดึก เวลาตื่นเช้าก็จะมีงอแงบ้าง หน้าที่แม่อย่างเราคือ ต้องหาสิ่งของมาหลอกล่อให้เขาตื่นมาเรียน แม้จะดูวุ่นวายนิดหน่อยแต่เราก็มีความสุขที่ได้มีโอกาสดูแลพวกเขาอย่างเต็มที่ค่ะ”


ได้ชื่อว่าเป็นคุณแม่แฟชั่นนิสต้าระดับไฮเอนด์ขนาดนี้ มีหรือจะไม่จับลูกๆแต่งตัว แต่ที่เป็นลูกไม้หล่นใกล้ต้นมากที่สุด ก็น่าจะเป็นลูกแฝด น้องอิซาเบล ที่รักการแต่งตัวเป็นชีวิตจิตใจเหมือนคุณแม่ไม่มีผิดเพี้ยน

“ตอนน้องนีโอเป็นเด็กเราก็มีจับเขาแต่งตัวบ้าง แต่พอเขาเริ่มโตเป็นหนุ่ม เขาก็จะมีสไตล์เป็นของตัวเอง บางครั้งเขาอยากได้ชุดไหนบางทีก็จะให้แม่กดสั่งให้ทางออนไลน์ ส่วนน้องเซกับน้องไดอาน่าจะชอบแต่งตัวคล้ายๆ กันคือ ชอบสไตล์ซูเปอร์ฮีโร่ แต่ที่ชอบแต่งตัวมากที่สุดได้สายเลือดคุณแม่มาเต็มๆ ก็คงจะเป็น น้องอิซาเบล เขาจะชอบแต่งตัวเหมือนเราทุกอย่าง เวลาที่แม่ใส่ชุดเดรสสีไหนเขาก็จะไปหาชุดเดรสสีเดียวกับเรามาใส่ หรือเวลาสั่งซื้อชุดทางออนไลน์ เขาก็จะมานั่งเลือกดูชุดกับเรา พูดง่ายๆ ว่า ได้รับการถ่ายทอดทางพันธุกรรมในเรื่องแฟชั่นจากแม่สูงมาก” แม่เอเล่าด้วยน้ำเสียงสดใส

Comments are closed.

Pin It