หลายคนมักพูดว่า ถ้าลงทุนทำธุรกิจกับคนอื่นทำกับพี่กับน้องดีกว่า เพราะเป็นคนใกล้ชิดที่รู้ใจคุยกันได้ง่ายกว่า หลายคู่ประสบความสำเร็จ เพราะต่างได้แชร์ไอเดียและความสามารถ ที่ทำให้ช่วยกันแก้ไขปัญหา และเติมเต็มในสิ่งที่ขาดไปได้ วันนี้ CelebOnline จะขอนำเสนอในเรื่องการทำงานของ 3 คู่พี่น้อง ที่ช่วยกันทำธุรกิจจนไปได้สวย
เริ่มที่คู่พี่น้องบ้านชุณหะวัณ “มิ้งค์-ณัฏฐิ์ประภา และมิค-ณัฏฐกรณ์” ที่ปัจจุบันสาวมิ้งค์ มุ่งมั่นทำขนมสูตรของคุณยาย (โสภาพรรณ สาลีรัฐวิภาค) ขายทางออนไลน์ อย่าง ขนมเทียน ขนมหยกมณี กล้วยหักมุกย่าง บางทีก็ทำแกงแดงไก่หน่อไม้ แกงเขียวหวานไก่ กินกับขนมจีน สูตรบ้านพระยาสาลีรัฐวิภาค โดยมีคุณแม่เป็นแม่ครัวใหญ่ ซึ่งก่อนหน้านี้สาวมิ้งค์เป็นลูกมือ แต่ปัจจุบันเธอลงมือทำเองอย่างขยันขันแข็ง ทั้งยังขายดิบขายดี ทำกันจนมือเป็นระวิง และในช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา อาชีพเสริมที่สองพี่น้องทำร่วมกันคือ สเปรย์กับเจลแอลกอฮอล์ล้างมือที่มาในขวดดีไซน์เก๋ๆ แบรนด์ Sopaa ซึ่งใช้ชื่อคุณยาย เป็นชื่อแบรนด์ ปัจจุบันทำแค่แอลกอฮอล์ล้างมืออย่างเดียว โดยขายผ่านช่องทางออนไลน์เป็นหลัก ซึ่งก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ล่าสุด มีการทำ “น้ำมะกรูดคั้นสดสำหรับหมักผม” สูตรบ้านสาลีฯ ออกขายอีกด้วย
ส่วนในเรื่องของเครื่องประดับแบรนด์ Middle_M Jewelry ที่หนุ่มมิคผลิตออกมาขายเองนั้น มิ้งค์ก็จะช่วยวางรูปแบบเวลาที่จะถ่ายภาพเพื่อโปรโมท โดยจะช่วยหาเสื้อผ้าให้นางแบบใส่ ดูในเรื่องของ mood and tone จะเรียกว่าทั้งเสื้อผ้า หน้าผม ทั้งหมดก็ว่าได้
ในส่วนของมิ้งค์นั้น หลังๆ ที่ไม่ค่อยได้ไปออกงานสังคม ก็จะทำขนมอยู่กับบ้าน และหันมาหยิบผ้าไทยทำเป็นเสื้อใส่เอง อย่าง เสื้อคอกระเช้าและที่มัดผมลายผ้าขาวม้า ซึ่งเมื่อมีคนเห็นในอินสตาแกรมของเธอ ก็ให้ความสนใจถามไถ่กันเข้ามามาก จนสาวมิ้งค์คิดที่จะทำเสื้อที่ผลิตจากผ้าขาวม้าให้ออกมาสมัยใหม่มากขึ้น แบรนด์ “พัตราภรณ์” จึงเกิดขึ้นโดยมีคุณแม่เป็นผู้ตั้งชื่อให้ ซึ่งมาจากคำว่าเสื้อผ้า เป็นการนำของเก่ามาเล่าใหม่ให้อยู่ในยุคปัจจุบันได้ จากนั้น คอลเลกชันที่ 2 ก็ตามมา เป็น “กระโปรงยาว” ที่หยิบจับมาใส่เมื่อไหร่ก็ได้แถมยังสวยด้วย ซึ่งก็มีหนุ่มมิคซึ่งกำลังอินกับการถ่ายภาพด้วยกล้องฟิล์ม ช่วยถ่ายภาพโปรโมทนอกสถานที่ให้ ล่าสุด ยังมีผ้าซิ่น และกระเป๋าสานย่านลิเภา อีกด้วย
แม้จะดูว่าเป็นธุรกิจเล็กๆ ที่ทำกันอย่างค่อยเป็นค่อยไปในครอบครัว ทั้งคู่ก็ทำด้วยแพสชั่นที่ตรงกัน ไปในทางเดียวกัน ด้วยความที่เป็นพี่น้องจึงมีความสนิทสนม ไว้ใจและเข้าใจกัน ประกอบกับ ทุกอย่างที่ทำนั้นอยู่ภายใต้แบรนด์ House of Sali อันอบอุ่นนั่นเอง
ต่างก็ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ปรึกษากันตลอดเวลา โดยมิคซึ่งร่ำเรียนมาทางด้าน International Business แต่มีหัวศิลปะ เขาจึงช่วยเหลือทุกอย่าง หลักๆ แล้วจะดูภาพรวม วางระบบออนไลน์ ดูแบรนด์ดิ้ง ภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ ทั้งคู่ต่างโฟกัสและสนุกกับธุรกิจที่ทำ แม้รายได้จะไม่อู้ฟู่แต่ก็เป็นธุรกิจที่ดี และเติบโตขึ้นทุกวัน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการได้ใช้ชีวิตในแบบที่ชอบและมีเป้าหมาย คือความสุขในแบบฉบับของตัวเอง
มาถึงอีกหนึ่งคู่พี่น้องนักธุรกิจรุ่นใหม่ “เปเป้-วาริธร กับ บูบี-วารีนิธิ กันท์ไพบูลย์ สองสาวแฟชั่นนิสต้าที่รักในการแต่งตัว แถมด้วยหน้าตาที่สะสวย และการดูแลรูปร่างให้เป๊ะประหนึ่งนางแบบ ทำให้แบรนด์ “Varithorn Boutique” ที่ก่อตั้งร่วมกันมา โดนใจสาวๆ ทั้งในและต่างประเทศ เพราะด้วยสไตล์เสื้อผ้าสตรีทแวร์ของแบรนด์นี้ ที่มีเปเป้เป็นดีไซเนอร์นั้น ออกแบบมาได้อย่างเรียบหรู อินเทรนด์ ใส่ง่าย แถมยังดูดีมีสไตล์ จากที่ก่อนหน้าที่จะทำขายสองสาวออกแบบเสื้อผ้าใส่เอง โพสต์ลงในอินสตาแกรม จนหลายๆ คนชื่นชอบ ทำให้ต้องทำแบรนด์เสื้อผ้าผู้หญิงออกมาจำหน่ายก่อน พอเปเป้มีลูกสาวจึงเกิดไอเดีย ทำชุดคู่แม่ลูกใส่คู่กับ “น้องไอรา” วัย 6 ขวบ ผลตอบรับก็ดีเกินคาด จนน้องไอราขึ้นแท่นเป็น ซูเปอร์โมเดลรุ่นจิ๋วไปเรียบร้อยแล้ว แถมตอนนี้ยังมีเสื้อผ้าสำหรับเด็กผู้ชายออกมาอีกด้วย
ด้านบูบีที่มีตำแหน่งแบรนด์แอมบาสเดอร์ของแบรนด์คู่กับพี่สาว ก็ยังคงต้องทำหน้าที่หลักคือ ประสานงานกับลูกค้า ดูแลด้านการจัดจำหน่าย และภาพรวมทั้งหมด ยิ่งตอนนี้กำลังอินเลิฟกับนักธุรกิจชาวมาเลเซีย “เอ็ดดี้ โลห์” ทายาทเจ้าของ TMC College เจ้าของบริษัท Superasia Enterprise ผู้ผลิตน้ำดื่มยักษ์ใหญ่ในมาเลเซีย และยังมีบริษัทให้บริการดูแลรักษาความปลอดภัย เธอจึงนำเสื้อผ้าของแบรนด์ Varithorn ไปเปิดตลาดใหม่ที่มาเลเซีย
จากที่ขายในออนไลน์จนมามีหน้าร้านในประเทศไทยและส่งออกไปขายยังต่างประเทศ นับว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก ด้วยสไตล์ของสองสาวที่ต่างกัน เปเป้จะออกแนวเท่ๆ หรูๆ ส่วนบูบีจะชอบแนวหวานๆ น่ารัก แต่ทั้งคู่ก็สามารถทำเสื้อผ้าออกมาได้อย่างลงตัว เพราะหลักในการทำงานไม่มีอะไรตายตัว ต้องมีความสุขในการทำงานนั่นเอง
ปิดท้ายที่คู่พี่น้องนักธุรกิจเต็มตัว “กุ๊กกุ๊ก-รัสวดี ควรทรงธรรม” กับ “กิ๊กกิ๊ก-รวีพร ควรทรงธรรม” สองสาวทายาทสถาบันการศึกษาเซนต์จอห์น ของ “คุณพ่อวิโรจน์ และคุณแม่ฤดีทิพย์ ควรทรงธรรม” ที่คนพี่-กุ๊กกุ๊ก เพิ่งแต่งงานไปเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2564 ด้วยความที่กุ๊กกุ๊กสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก สาขาวิชาบริหารการศึกษา ภาควิชานโยบายการจัดการและความเป็นผู้นำทางการศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ เธอจึงต้องมาสานต่อธุรกิจของครอบครัว โดยมีน้องสาวคนเก่ง-กิ๊กกิ๊ก ช่วยกันบริหารงาน จนปัจจุบันจากธุรกิจการศึกษาของครอบครัว สู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โครงการ The Saint Residences ที่สองสาวร่วมแรงร่วมใจกันพัฒนาจนประสบความสำเร็จ
ที่ผ่านมา สองสาวจะแยกการทำงานกันอย่างชัดเจน โดยกุ๊กกุ๊กจะเน้นไปที่การบริหารด้านการศึกษา ส่วนกิ๊กกิ๊กจะดูแลด้านการบริหาร การตลาด ร่วมประชุมกับคณะกรรมการบริษัท วางแผนด้านการก่อสร้าง และดูแลภาพรวมขององค์กร ความสำเร็จที่ได้มา เพราะสองสาวพยายามเปิดโลกให้กว้าง รับฟังคำแนะนำของผู้ใหญ่และความคิดเห็นของคนอื่น เรียนรู้ให้เยอะ ยอมรับการเปลี่ยนแปลงให้ได้ แล้วต้องคิดบวกอยู่เสมอ ทั้งยังยึดคติของโรงเรียนเซนต์จอห์นที่ว่า “คุณธรรมเท่านั้นที่ทำให้มนุษย์มีเกียรติ” ซึ่งคุณตาของทั้งคู่เป็นคนตั้งขึ้นในอดีต ส่วนกิ๊กกิ๊กบอกว่า “ทำวันนี้ให้ดีที่สุด” โดยโฟกัสที่ปัจจุบัน ด้านกุ๊กกุ๊กเสริมว่า ต้องใช้ชีวิตอย่างสมบูรณ์ทุกด้าน มีเวลาให้ตัวเอง ครอบครัว แล้วก็งาน การพักผ่อนสำคัญมาก เพราะจะทำให้เรามีแรงในการทำงาน
ด้วยเจตนารมณ์ที่ชัดเจน กับความเป็นพี่น้องทำให้การทำงานด้วยกันง่ายขึ้น ไม่มีความขัดแย้ง มีปัญหาอะไรทั้งคู่ก็จะคุยกันด้วยเหตุผล แม้ว่าอาจจะมีมุมมองที่ต่างกันบ้าง แต่สุดท้ายก็เข้าใจกัน
Comments are closed.