Art Eye View

ไมตรี ลิมปิชาติ เขียนชีวิต “มนุษย์ต่างดาว… ถวัลย์ ดัชนี”

Pinterest LinkedIn Tumblr


โดย…ฮักก้า

ความสามารถที่เกินมนุษย์ธรรมดาทั่วไป ของ ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) ปี 2544 และศิลปินคนแรกของอาเซียนที่ได้รับรางวัล Fukuoka Asian Culture จากประเทศญี่ปุ่น (ในความเห็นของ สุเทพ สังข์เพชร เพื่อนร่วมรุ่นโรงเรียนเพาะช่างของถวัลย์) ทำให้หนังสือสารคดีประวัติชีวิตของเขา ซึ่งเรียบเรียงโดย ไมตรี ลิมปิชาติ ถูกตั้งชื่อว่า “มนุษย์ต่างดาว ถวัลย์ ดัชนี”
        
  อดีตนายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย และนักเขียนเจ้าของผลงานเขียนหลายเล่ม ที่หันมาทุ่มเทให้กับการเขียนภาพเมื่อ 8 ปีที่แล้ว หลังจากที่เกษียณจากตำแหน่ง ผู้ช่วยผู้ว่าการประปานครหลวง จนมีผลงานบางส่วนจัดแสดงให้ชมมาแล้วในรูปแบบนิทรรศการ และปัจจุบันมีติดแสดงที่ “ไมตรี แกลเลอรี่” ส่วนหนึ่งของ “ร้านทำนา” (ระหว่างสามเสน ซอย 3 และ5) บอกเล่าว่าก่อนที่จะลงมือเรียบเรียงเรื่องราวชีวิตของ ถวัลย์ ดัชนี ออกมาเป็นรูปเล่ม ตนเองมีประทับใจตัวศิลปินถวัลย์มานาน ต่อมาเมื่อ สุเทพ สังข์เพชร แนะนำให้รู้จักเป็นการส่วนตัว ครั้งไปเยือนบ้านดำ ของถวัลย์ ที่ ต.นางแล อ.เมือง จ.เชียงราย ได้เห็นผลงานและสัมผัสตัวตนของถวัลย์ ก็ยิ่งประทับใจมากขึ้น และถวัลย์เองก็เคยให้เกียรติมาร่วมงานวันคล้ายวันเกิดอายุ 60 ปีของตัวเองด้วย
         
ต่อเนื่องจากที่เคยเขียนถึง “ถวัลย์ ดัชนี คนธรรมดาที่ไม่ธรรมดา” ผ่านคอลัมน์ประจำในหนังสือพิมพ์ และเคยเปรยกับถวัลย์มานานว่าอยากจะเขียนประวัติชีวิตสักครั้ง เมื่อไมตรีเก็บสะสมข้อมูลเกี่ยวกับถวัลย์ได้มากพอ โดยเป็นการรวบรวมข้อมูลจากสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ,ข้อมูลที่ได้จากคนใกล้ชิดและข้อมูลที่ไมตรีได้ยินได้ฟังจากปากคำของถวัลย์ด้วยตัวเอง ระยะเวลา 3 เดือน สารคดีประวัติชีวิตและผลงานของนักจิตรกรรมสากล “มนุษย์ต่างดาว ถวัลย์ ดัชนี” จึงสำเร็จออกมาเป็นรูปเล่มในที่สุด และไม่ทันที่จะวางจำหน่ายตามร้านหนังสือต่างๆก็มีคนในแวดวงศิลปะสั่งจองไปแล้วหลายเล่ม แต่ครั้นจะใช้ชื่อเช่นที่เคยเขียนลงคอลัมน์ ก็เกรงว่าจะซ้ำกับ “ไม่ธรรมดา” หนังสือเล่มที่ เพชรยุพา บูรณ์สิริจรุงรัฐ เขียนถึง ศิลปินแห่งวัดร่องขุ่น เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ แม้ว่าตนจะเคยใช้เขียนถึงถวัลย์มาก่อน
        
 “มนุษย์ต่างดาว ถวัลย์ ดัชนี” พิมพ์สี่สี กว่า 200 หน้า จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ วสี ครีเอชั่น จำหน่ายในราคาเล่มละ 450 บาท เนื้อหาประกอบไปด้วย ประวัติย่น,มนุษย์ต่างดาว,วัยเยาว์,โรงเรียนเพาะช่าง,มหาวิทยาลัยศิลปากร,อารมณ์ศิลปิน,แต่งเนื้อแต่งตัว,ความรัก,ดอกเตอร์ถวัลย์ ดัชนี,บ้านดำ นางแล,วาดรูปประดับปราสาท,ครั้งหนึ่งที่แอลเอ,เศรษฐีวาดรูป,มองงานตัวเอง,ศิลปะเกื้อกูลศิลปะ,นิทรรศการไตรสูรย์,ชีวิตประจำวัน,ถวัลย์กับหนังสือ,ช่วยเหลือสังคม,เพื่อเก่าเล่าเรื่องเก่า,พญาหิ่งห้อย,ผลงาน,รางวัลอันทรงเกียรติ,ถวัลย์ ดัชนีกับบุคคลต่างๆที่เกี่ยวข้อง ฯลฯ
         
จากข้อมูลซึ่งถูกนำมาเรียบเรียงโดยของไมตรี ลิมปิชาติ หลายส่วนหลายตอน น่าจะเป็นสิ่งที่ช่วยยืนยันในสิ่งที่ใครหลายคนเห็นว่าถวัลย์เป็นมากกว่าช่างวาดรูป และบ่อยครั้งที่ถวัลย์ วัย 70 ปี เคยเอ่ยบอกท่ามกลางคนหมู่มากว่าตนเป็นศิลปินไม่มีสาขา เพราะไม่ใช่ชายสี่บะหมี่เกี๊ยว แต่เป็นเช่นเนื้อเค็มแม่เล็ก ที่มีขายที่บางลำพูเจ้าเดียวเท่านั้น แม้จะเป็นการพูดในเชิงล้อเล่นแต่ก็ทำให้อดคิดไม่ได้ว่ารางวัลศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) ดูจะน้อยไปสำหรับคนที่มีความสามารถในหลายๆทางเช่นเขา
         
พอศึกษาชีวิตพี่หวันขึ้นมาจริงๆแล้ว พี่หวันไม่ใช่เป็นศิลปินอย่างเดียว เหมือนกับที่คุณกมล ทัศนาญชลี (ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ ประเภทจิตรกรรมและสื่อผสม ปี 2540) บอกว่าพี่หวันเนี่ยไม่ใช่เป็นศิลปินอย่างเดียวนะ แต่ยังเป็นปราชญ์ด้วย และบางคนก็ยกย่องว่าแกเป็นสถาปนิกเอกด้วยนะ ดูได้จากบ้านแต่ละหลังของพี่หวัน และอะไรต่อมิอะไรที่บอกให้รู้ว่า แกเก่งจริงๆ

แล้วผมชอบลูกเล่นของพี่หวัน เช่น ผมเคยถามพี่หวันว่าบ้านดำนางแลของพี่หวันมีกี่ไร่ แกตอบว่า ให้ใช้ธนูยิง 7 ดอก แล้วถึงจะสุดที่ของแก ซึ่งแกจะมีอะไรอย่างนี้ที่เราชอบ มีอะไรที่ไม่เหมือนคนอื่น ก็เลยยิ่งทึ่งแกไปใหญ่ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่แกบอกว่า ถ้าแกตาย อยากให้คนตัดเนื้อเป็นชิ้นๆ แล้วไปโยนให้อีแร้งกิน แล้วแกก็ชอบให้สัมภาษณ์เรื่องความตาย ไม่กลัวตาย ผมเองก็เคยพูดกับพี่หวันว่าศพของพี่หวัน ไม่ควรเผา ไม่ควรฝัง ไม่ควรทำอะไรกับศพพี่หวันเลยนะ ควรจะทำอย่างเดียวคือส่งศพพี่หวันไปที่โรงพยาบาล

ถ้าสมมุติว่าผมเป็นหมอ ผมจะผ่าดู เช็คดูเลยนะว่า ทำไมแกถึงฉลาดนัก เพราะพี่หวันพูดได้กว่า 7 ภาษา พูดแบบใช้งานได้ด้วยนะ เขียนก็ได้ แล้วก็เป็นคนที่จำคนได้แม่นมาก เพื่อนนักเรียนรุ่นเดียวกันสมัยที่เรียนเพาะช่างคุณสุเทพบอกเล่าว่าแกจำชื่อได้หมด ทั้งๆที่จากกันไปตั้ง 50 ปี ถือว่าสมองของแกไม่ธรรมดา และแกยังสามารถท่องบทกวี ของกวีคนนั้นคนนี้ ได้หมดเลย รู้อย่างนี้เราก็ยิ่งอยากเขียนประวัติ คนแบบนี้ปล่อยทิ้งได้ไง”
ไมตรี ลิมปิชาติ
แต่ไม่ว่าข้อมูลในหลายด้านในชีวิตของถวัลย์ ที่รับรู้มา จะทำให้ไมตรีรู้สึกสนุกทุกครั้งที่จรดปากกาเรียบเรียง กระนั้นไมตรีก็ยอมรับว่ามีสิ่งที่ต้องเหนื่อยใจเช่นกัน เพราะนอกจากนิสัยที่ชอบพูดทีเล่นทีจริงของถวัลย์ บางครั้งก็ทำให้ไม่แน่ใจว่า อะไรคือเรื่องจริง อะไรคือเรื่องหลอก จึงต้องพยายามกลั่นกรองข้อมูลให้ดีก่อนนำมาถ่ายทอดเพราะเกรงว่าจะส่งผลกระทบถึงบุคคลที่ถูกพาดพิงถึง
         
“พอเราเอาข้อมูลมาจากหนังสือต่างๆ เหนื่อยใจว่าข้อเท็จจริง ตรงนั้น ตรงนี้เราควรเอาลงไหม เช่นเรื่องที่แกต่อว่ารัฐบาล หรือการพูดถึงใครบางคน ต้องมาคิดดูอีกทีว่าเราควรเอามาลงหรือตัดออกดีไหม ผมว่าประวัติของถวัลย์ ดัชนี มีคนอยากเขียนเยอะ แต่เพราะไม่รู้ว่าอันไหนแกพูดจริงหรือพูดเล่น จึงทำให้หลายคนคิดเปลี่ยนใจ ”
         
เรื่องที่ไมตรี หลีกเลี่ยงที่จะเขียนถึงโดยละเอียดและคิดว่าตัวเองยังเขียนถึงได้ไม่ดีพอคือ ชีวิตรักส่วนตัว
         
“ยังเขียนได้ไม่ลึก เป็นต้นว่าวันหนึ่งผมไปเห็นเสื้อของแฟนแกที่แกเก็บไว้ จึงเขียนเกริ่นไว้แค่นั้นไม่อธิบายต่อ เพราะยังเกรงใจอยู่นิดๆ”
         
แต่ข้อมูลในหนังสือตอนที่ชื่อ “ความรัก” ก็ได้เผยให้เรารู้จัก มากาเร็ต ฟันเดอร์ฮุค ผู้หญิงในชีวิตของถวัลย์มากขึ้น ซึ่งเธอได้เดินไปจากชีวิตของถวัลย์นานมากแล้ว และเธอคนนี้เองที่เป็นแม่ของ ม่องต้อย – ดอยธิเษศร์ ดัชนี ทายาทคนเดียวที่ทำให้ถวัลย์เข้าใจอารมณ์ของคนเป็นพ่อ ก่อนที่ถวัลย์จะมี ทิพยชาติ วรรณกุล เป็นเงาตามติดเช่นทุกวันนี้

“แม่ของไอ้ม่องต้อยไปตั้งแต่ผมอายุ 42 ปี ตั้งแต่นั้นมา ผมจึงต้องอยู่คนเดียว เหมือนแรด ผมอายุมากแล้ว อีกไม่ช้าไม่นานก็จะต้องลงหลุม อยากทำงานศิลป์ให้นานกว่านี้หน่อย เพราะที่ทำมามันยังไม่ได้เรื่องสักรูปหนึ่ง เพียงแต่หวังว่า บางทีมันอาจจะมีสักรูปที่พอทนได้ ก่อนเราจะเดินลงไปในหลุมฝังศพอย่างสง่าผ่าเผย

…ลูกผมมันทำอะไรช้ามาตั้งแต่อยู่ในท้อง ต้องนับเป็นบุคลิกภาพของเขา ถึงเวลาคลอดกลับไม่ยอมออกมา ตอนนั้นแม่เขาอยากให้คลอดวันเดียวกับผมคือวันที่ 27 กันยายน แต่ก็อยากคลอดแบบธรรมชาติ ไม่อยากผ่าออก เวลาจึงล่วงไปถึงวันที่ 3 ตุลาคม
         
แม่เขาท้องใหญ่เบ้อเร่อ แต่ลูกออกมาตัวนิดเดียว เท่าหัวแม่มือ ผิวตามตัวลูกแดงหมดเลย เพราะไม่มีน้ำหล่อเลี้ยงไง ไหลออกมาหมดแล้ว …ตอนที่เดินไปดู ลูกยังหลับอยู่ ยังไม่ลืมตามอง มันมีความรู้สึกอย่างหนึ่งที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน เป็นความรู้สึกที่ประหลาด พอมายืนดูลูกตัวเล็กๆ ผมก็เพิ่งเข้าใจว่า อารมณ์ของคนเป็นพ่อนั้นเป็นอย่างไร

พออายุได้ 3 อาทิตย์ ผมเอาลูกขึ้นไปฝากให้ย่าเลี้ยง เพราะแม่เขาไม่ใช่คนไทย พูดจาภาษาไทยแทบไม่ได้ แล้วทำงานเป็นกระเป๋าเครื่องบิน ผมเองก็ต้องไปแสดงงานที่อิสราเอลกับสวิตเซอร์แลนด์..”
      
หรือในบางตอนของหนังสือที่ทำให้เราต้องปรบมือให้กับไหวพริบและปฏิภาณของถวัลย์ ที่สามารถต่อกรกับนักเรียนอเมริกันผิวขาวที่ชอบดูถูกและเดียดฉันท์คนผิวสี ตัวอย่างเช่นในครั้งที่ถวัลย์ได้รับเชิญไปบรรยายที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด หนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของสหรัฐอมเริกา

 “คุณธารินทร์ นิมมานเหมินท์ จบจากที่นี่ เพื่อนผม อาจารย์นคร พงศ์น้อย ก็จบจากที่นี่ แม้ผมจะไม่จบจากที่นี่ แต่ก็ได้รับเชิญมาเป็นอาจารย์สอนก็น่ายินดี

เหตุผลอย่างหนึ่งที่ผมรับไปสอน คือผมสนุกที่จะไปเพื่อเสนอความคิด ได้ฟังคำถามและข้อเสนอแปลกๆ จากนักศึกษาทั้งยุโรปและอเมริกา โดยเฉพาะเด็กอเมริกันนั้น ก็มีทั้งที่เป็นเชื้อสายเกาหลี อิตาเลียน ไทย ฟิลิปปินส์ ที่เกิดและใช้ชีวิตในอเมริกา แล้วตามที่ผมเป็นคนผิวเหลือง มันก็ยิ่งดูถูกขึ้นมาอีกสองเท่า ยิ่งกว่าไอ้มืดอีก เพราะอย่างน้อยไอ้มืดมันก็เป็นคนอเมริกัน

…ฉนั้นมันจึงสอบภูมิผมแทนรูปแบบธรรมชาติ ผมพูดเสียงแปร่งหน่อยเดียว มันก็เยอะเย้ยถากถางแล้ว พูดยังไม่ชัดเลย ผมก็เลยบอกไปว่า พูดชัดกับความคิดมันคนละเรื่องกัน ผมอาจจะพูดแปร่ง แต่ความคิดผมชัด และผมไม่ได้เกิดที่นี่ ผมมาจากเมืองไทย ถ้าเจอผู้สอนผิวสี นักศึกษาจะพยายามถามให้จนตรอก ต้อนให้จนมุม แต่ผมไม่จนมุมหรอก เพราะผมเตรียมตัวไปดี”

เหล่านี้เป็นเพียงบางแง่มุมในชีวิต ของศิลปินผู้ใช้คำว่า ดร.นำหน้าน้อยครั้งนัก ทั้งที่ร่ำเรียนจนจบการศึกษาในระดับปริญญาเอก สาขาปรัชญาและสุนทรียศาสตร์ จากวิทยาลัยศิลปะแห่งชาติ อัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ที่ไม่ว่าจะนำมาฉายซ้ำสักกี่รอบ ก็ยังมีคนอยากรู้

ประวัติย่น  ถวัลย์ ดัชนี

เกิดวันพุธที่ 27 กันยายน 2482 เชียงราย

4 ขวบ : นิทรรศการแสดงเดี่ยว ศาลาราย วัดช้างมูบมิ่งเมือง เชียงราย

5 ขวบ :หมาบ้ากัด ทำให้เห่าหอนทุกคืนเดือนเพ็ญมาจนแก่

6 ขวบ : นิทรรศการเดี่ยว ศาลาวัด วัดมุงเมือง เชียงราย

7-8 ขวบ: ย้ายไปอยู่ป่า สงครามโลกครั้งที่ 2

9 ขวบ :เป็นผู้ชำนาญการดักสัตว์ขนาดเล็ก ปลา แมลง และสัตว์เลื้อยคลาน

10 ขวบ :ยิงหนังสติ๊กเป็นเยี่ยม ทั้งหมู่บ้าน เชียงราย พะเยา

11 ปี : เป็นนักบาสเกตบอล โรงเรียนจีนกุงหมินแซเซี้ยว เชียงราย

12 ปี :เป็นคนเขียนรูปจรยุทธ์ไปทั่วเชียงราย

13-16 ปี :มาอยู่ตามซอกตึก โรงเรียนเพาะช่าง เป็นแวนโก๊ะ เอลวิส เสือปืนไว

17-21 ปี :เรียนวิชาต่อสู้ด้วยปากเปล่า มหาวิทยาลัยศิลปากร

22-28 ปี :อกหัก ประกวดกรนได้ที่ 1 ที่ปารีส,โรม,อัมสเตอร์ดัม

30-35 ปี :รูปเขียนขนาดใหญ่ 10 รูป ถูกนักเรียนฟัน มีลูก พ่อตาย มีบ้านหลังที่ 1

35-40 ปี :เป็นผีตองเหลือง ร่อนเร่อยู่ระหว่าง เอเชีย ยุโรป อเมริกา

40-45 ปี :เป็นเก๊าต์ ริดสีดวงทวาร เป็นแชมป์กรนนานาชาติ ประกวดที่แกรนด์แคนยอย อเมริกา หัวหน้าอินเดียแดง เผ่ามูเอโบล ขอดูตัว

45–50 ปี :อ้วน แก่ หัวล้าน ลงพุง ฟันหัก

55-60 ปี :ธุดงค์ ไปทิเบต ภูฎาน เนปาล บาหลี ดูพิธีเผาศพ

61-62 ปี :เป็นไส้เลื่อน ลูกหมากโต ความดันทุรังสูง ความทรงจำเสื่อม สะดือจุ่น แม่ตาย พี่ชายตาย พี่สะใภ้ตาย 2 คนซ้อน

หมายเหตุ : ประวัติย่นข้างบนนี้ เขียนโดย ถวัลย์ ดัชนี น่าเสียดายที่ไม่มีต่อจนกระทั่งถึง พ.ศ.2552 ที่มีอายุครบ 70 ปี

Comments are closed.

Pin It