คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม
ฉันและเพื่อนใจไม่ได้ย้ายไปปักหลักอยู่ที่สิงห์บุรีในทันที พอออกจากเชียงใหม่ เราเดินทางมาสู่กรุงเทพฯอีกครั้ง และในครั้งนี้เป็นการย้ายกลับมาอยู่อย่างจริงจังกว่าครั้งไหนๆ นับแต่ที่หลายปีก่อนฉันได้ลาจากที่นี่ไป
บ้านบนดอยที่เคยฝันถึง ฉันก็ได้ไปอยู่มาแล้ว และเมื่อท้ายที่สุดต้องจากบ้านในเมืองชนบทที่แสนสวยด้วยท้องทุ่งนาและภูเขามาเสียแล้ว ชีวิตของฉันช่างราวกับสายน้ำ จาก ณ วันหนึ่งที่เคยคิดเคยตั้งใจไว้อย่างหนึ่ง แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป เหตุการณ์ในชีวิตที่ประสบพบเจอในเวลาต่อมา ก็ทำให้ความตั้งใจแต่แรกเริ่มนั้นต้องมีอันเปลี่ยนแปลงไป ในกาลเวลาต่อมา และฉันไม่มีทางหยั่งรู้ได้เลยว่า จะมีสิ่งใดๆ เกิดขึ้นอีก..
การมีชีวิตคู่นั้นเป็นชีวิตของคนสองคนที่ได้มาอยู่ด้วยกัน เพียงความฝันของใครคนใดคนหนึ่งไม่อาจถูกนำไปครอบคลุมชะตาชีวิต ของใครอีกคนหนึ่ง ที่อยู่ด้วยกันได้
เราทั้งสองและสุนัขที่ชื่อสำลี จึงได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่คอนโดห้องเล็กๆ ห้องนั้นของฉันที่เคยอยู่มาแต่เก่าก่อนอีกครั้งหนึ่ง ฉันขออนุญาตกับผู้ดูแลสถานที่ในคอนโดแห่งนั้น สำหรับการนำสุนัขหนึ่งตัวเข้ามาอาศัยอยู่ในห้องด้วยและได้รับอนุญาตเป็นที่เรียบร้อย
ชีวิตที่ต้องกลับเข้ามาอยู่ในเมืองหลวงอีกครั้งหนึ่งนั้น ไม่มีความรื่นรมย์ใดๆ เหลืออยู่สำหรับฉันเลย ภายในห้องเล็กๆ ฉันประกอบการทำอาหารกินเองด้วยกระทะไฟฟ้า ทั้งการหุงหาอาหาร การกิน การนอน ต่างก็ใช้พื้นที่ในห้องเดียวกัน แต่ฉันก็จัดเก็บข้าวของทุกสิ่งทุกอย่างให้เข้าที่อย่างเรียบร้อย เมื่อทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเสร็จเสมอ…แม้ที่อยู่ของเราจะเล็กและแคบปานใด เมื่อได้ถูกจัดการให้สะอาดและมีระเบียบในเบื้องต้นนั้น นับเป็นการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี ที่มีผลต่อจิตใจของฉัน เพื่อที่จะสามารถอยู่และรวบรวมแรงใจให้สร้างงานออกมาได้…
ชีวิตในกรุงเทพ ไม่มีสิ่งใดที่เป็นแรงจูงใจให้ฉันอยากขับรถออกไปยังนอกห้อง เพราะถนนในเมืองและบ้านเรือนของที่นี่ไม่ได้ทำให้ฉันอยากออกไปดูมัน และเพื่อนใจของฉันก็ต้องใช้รถเพื่อเป็นพาหนะขับออกไปทำการงานที่ข้างนอกแทบทุกวัน เนื่องจากเขาไปรับสอนเด็กๆ ตามโรงเรียนต่างๆ ในวิชาการปั้นดินนั่นเอง แม้จะมีรายได้บ้าง ไม่มีรายได้บ้าง แต่เขาก็เต็มใจออกไปให้ความรู้ในวิชาศิลปวิทยาการปั้นแก่คนข้างนอกอยู่เสมอ..
หากวันไหนที่เป็นวันที่ไม่มีงานต้องออกไป เขาก็จะนั่งทำการวาดรูป เด็กและเณร ลงบนเฟรมผ้าใบ เพื่อนำไปฝากขายยังร้านของเพื่อนคนเดิมที่สวนจตุจักร
ส่วนฉันนั้นชีวิตส่วนใหญ่ก็ขลุกอยู่แต่ในห้อง กับสำลี ฉันไม่สามารถออกไปไหนนานๆ ได้ ด้วยความเป็นห่วงและไม่ต้องการขังสำลีไว้ในห้องตัวเดียวเป็นเวลานานๆ หลายชั่วโมง เรามีดินเหนียวไว้สำหรับทำงานซึ่งเราได้ตระเตรียมมาจากเชียงใหม่..
วันแต่ละวันที่หมดไปของฉันจึงหมดไปกับการนั่งปั้นงานรูปหญิงสาว พร้อมๆ ไปกับการฟังธรรมะจากพระเทศน์ทางโทรทัศน์ที่มีอยู่ในห้องนั่นเอง แม้จะต้องกลับมาอยู่ในที่ๆฉันไม่ปรารถนาที่อยากจะอยู่ แต่หัวใจของฉันนั้นได้ถูกผูกตรึงอยู่ด้วยความรักความห่วงในตัวของสำลีและเพื่อนใจของฉัน ขณะที่การให้ความสำคัญแก่เรื่องในจิตใจใดๆ ของตัวฉันเองนั้นแทบไม่มีเหลืออยู่เลย..
ชีวิตของฉันช่างราวกับกระแสน้ำ ที่ถูกพัดไหลไปตามร่องทางแห่งสายน้ำ ร่องทางแห่งสายน้ำไหลไปทางใด น้ำก็ไหลไปทางนั้น ไม่สามารถแม้แต่จะตั้งมั่นและคิดหยัดยืนได้ด้วยตัวของตนเอง..
การฟังธรรมะ จึงเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ฉันเกิดกำลังใจ และการปั้นงานรูปหญิงสาวของฉันก็เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ฉันรู้สึกว่า ฉันยังมีตัวตนอยู่..
ร้านขายงานศิลปะของเพื่อนที่สวนจตุจักรนั้น เป็นความหวัง ในการมีรายได้เลี้ยงชีวิตของเรา และหากขัดสนเพื่อนผู้เป็นเจ้าของร้านก็จะให้เพื่อนใจของฉันหยิบยืมเงินมาใช้ก่อนเสมอๆ
เมื่อเราปั้นงานได้และมีจำนวนงานมากพอสมควร เราก็จะนำงานทั้งหมดบรรทุกใส่รถและขับเอาไปทำการเผายังเตาเผาที่สร้างไว้ที่สิงห์บุรี
งานปั้นรูปหญิงสาวของฉันนั้นขายได้อย่างสม่ำเสมอ แต่ฉันก็มักจะทำงานไปอย่างเรื่อยๆ ตามแต่ใจของตนเองและตามความรู้สึก อันเป็นคุณสมบัติส่วนตัวของฉันตั้งแต่แรกเริ่ม ฉันไม่สามารถที่จะปั้นงานซ้ำๆ หรือปั้นงานในเวลาเดียวกันได้ทีละหลายๆ ชิ้น แม้จะมีคำเรียกร้องของเพื่อนผู้เป็นเจ้าของร้าน ว่ามีคนอยากได้งานทีละหลายๆ ชิ้นก็ตาม
ส่วนเพื่อนใจของฉัน แม้เขาจะต้องใช้เวลาออกไปสอนวิชาการปั้นดินนอกบ้าน จนแทบไม่มีเวลาปั้นงาน แต่เขาก็ได้หันมานั่งเขียนภาพแทนและนำภาพเขียนรูปเด็กและเณรของเขาไปวางขาย และภาพเขียนของเขานั้นก็กลับมีคนซื้อหาอย่างต่อเนื่อง
เราจึงคิดกันว่า เราควรจะเริ่มสร้างบ้านที่สิงห์บุรี กันเสียที โดยวิธีการจ้างช่างชาวบ้านแถวนั้นมาสร้าง เมื่อเรามีเงินค่าจ้างและค่าซื้อสิ่งของในการสร้างบ้าน เราก็จะเรียกให้ช่างมาทำงาน และเมื่อเงินเราหมดเราก็จะหยุดไว้ก่อน เมื่อคิดได้ดังนั้น เราก็เริ่มทำตามที่คิด..
ไม้พื้นเรือนเก่าที่ถูกรื้อมาจากบ้านของย่า หลังจากย่าเสียชีวิตไปได้ถูกเก็บไว้ส่วนหนึ่งสำหรับฉัน และมันก็มีจำนวนพอที่จะนำมาทำเป็นพื้นบ้านหลังเล็กๆ ได้…
ราวกับคนโชคดีหรือมีใครช่วย นับตั้งแต่เราเริ่มนำเงินก้อนแรกที่ได้จากการขายภาพเขียนของเพื่อนใจของฉัน มาจ้างช่างปลูกบ้าน ภาพเขียนภาพถัดๆ มาของเขาก็ถูกคนซื้อไปอย่างต่อเนื่องแทบไม่ขาดสาย จนกระทั่งเพื่อนผู้เป็นเจ้าของร้านที่ขายงานให้ถึงกับออกปากกับเพื่อนใจของฉันว่า “มึงเล่นของหรือไงวะ งานขายได้ขายดีอยู่คนเดียวทั้งร้าน และมีแต่คนถามหา..”
เพื่อนใจของฉันนั่งวาดภาพเณรน้อยของเขาด้วยความพากเพียร รูปแล้วรูปเล่า เมื่อขายได้ก็ส่งเงินมาให้ช่างปลูกบ้าน เราโชคดีที่แม้จะไม่ได้มาอยู่เฝ้าดูช่างทำงาน แต่ช่างก็ได้ทำหน้าที่ของพวกเขาเป็นอย่างดี เราได้บ้านใต้ถุนสูงหลังเล็กๆ น่ารัก ที่มีฐานรากและตัวบ้านอันมั่นคงแข็งแรง ในที่สุดบ้านของเราก็สำเร็จเสร็จลง เหลือเพียงบานหน้าต่างกระจกที่นอกห้องนอนเท่านั้นที่ยังไม่ได้ใส่และว่างโล่งอยู่
แต่ก็ไม่เห็นเป็นไร นั่นเป็นเรื่องเล็กๆ ขอแค่มีห้องนอนอันมิดชิดและปลอดภัยก็เป็นอันอุ่นใจ ในขั้นแรกแล้วสำหรับฉัน..
แต่เราก็แทบไม่ได้เดินทางมาอยู่สิงห์บุรีอย่างเป็นเรื่องเป็นราวหรือจริงจัง เพราะหน้าที่การงานหลักๆ ของเพื่อนใจของฉัน ในขณะนั้นเต็มไปด้วยการงานในหลายแห่งหนที่เขาต้องติดต่อประสานงานอยู่แต่ในกรุงเทพฯนั่นเอง
ส่วนฉันนั้นเล่า ก็ไม่ค่อยได้ออกไปไหนมาไหนกับเพื่อนใจของฉันดังเช่นที่อยู่เชียงใหม่ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะฉันเป็นห่วงสำลี ไม่ชอบที่จะขังมันไว้เพียงลำพังในห้อง และสถานที่ในกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่นั้นก็ไม่ต้อนรับสุนัข…แต่ในส่วนลึกของจิตใจฉันก็ไม่ค่อยอยากไปพบปะกับใครๆ ด้วยเช่นกัน
ความรู้สึกว่าเคยเบื่อสังคมเมืองอย่างที่เคยเบื่อและเคยหันหน้าหนีจากไป เมื่อหลายปีก่อนเคยเป็นอย่างไร ฉันก็ยังคงรู้สึกอย่างนั้น การอยู่กับสุนัขและทำงานอย่างเงียบๆ ที่ห้องในคอนโด จึงเป็นสิ่งที่ฉันเลือก..
แม้จะอยู่อย่างเงียบๆ แต่ด้วยสองมือที่ไม่ได้หยุดในการสร้างงาน เมื่องานของฉันเดินทางออกไป มันก็ได้นำพาคนที่สนใจในงานให้อยากดั้นด้นค้นหาและรู้จักผู้สร้างงานอยู่บ่อยๆ..แต่ฉันเลือกที่จะพบใครเพียงบางครั้งบางคราวเท่านั้น..
ในช่วงเวลานี้นี่เองที่ฉันได้เริ่มใฝ่ฝันถึงการนำงานของตนเองไปหล่อ ออกมาเป็นวัสดุงานบรอนซ์..เมื่อฉันกับเพื่อนใจได้มีโอกาสไปยังโรงหล่อแห่งหนึ่งใน อำเภอบ้านหมี่ จ.ลพบุรี และได้เห็นงานประติมากรรมมากมายหลายแบบที่ถูกหล่อเป็นบรอนซ์ งานเหล่านั้นงดงามสง่าดูดีมีคุณค่าในแบบของวัสดุบรอนซ์ ซึ่งแตกต่างจากงานปั้นดินเผาซึ่งงดงามอย่างเข้ากับธรรมชาติ และดูน่ารักเรียบง่าย
เมื่อเราได้รับรู้ ถึงขั้นตอนและกระบวนการของการนำงานไปหล่อทำเป็นบรอนซ์จากทางโรงหล่อแห่งนั้นแล้ว เราจึงนำความปราถนาของเราไปบอกเล่ายังผู้ใหญ่อีกท่านหนึ่งที่เป็นผู้ซึ่งมีความเมตตาและมีน้ำใจกับเราทั้งสองคือ คุณสายสัมพันธ์ ปัญญศิริ ซึ่งเป็นผู้ดูแลและจัดการกิจการงานต่างๆ ทั้งหมดภายในเสถียรธรรมสถานนั่นเอง เมื่อท่านได้รับฟังความปราถนาของเราก็ได้ให้ความสนับสนุนช่วยเหลือกับเราเป็นอย่างดี จนเราได้นำงานไปหล่อออกมาเป็นบรอนซ์ในครั้งแรกอย่างที่ฝันไว้ กับโรงหล่อที่ชื่อว่า ‘กินรี’ ในจังหวัดฉะเชิงเทรา..
เพื่อนใจของฉันหล่องานเป็นรูปเด็กและเณรน้อยต่างๆ ของเขา ส่วนฉันหล่องานรูปนางกวัก..ผู้หญิงท้อง และนางฟ้าตัวเล็กๆ ด้วยความสนับสนุนเกื้อกูลค่าหล่องานทั้งหมดโดยคุณสายสัมพันธ์ ปัญญศิริ นั่นเอง
นอกจากนั้นทางเสถียรธรรมสถานยังได้ส่งเพื่อนใจของฉันและฉัน ให้ได้มีโอกาสไปเรียนรู้การสร้างบ้านด้วยดินกับคุณโจน จันใด ผู้ซึ่งกำลังริเริ่มการสร้างบ้านดินขึ้นมาเป็นแห่งแรกๆ ในขณะนั้นอีกด้วย
เมื่อเราจบจากการเรียนรู้การสร้างบ้านด้วยดินกับคุณโจน จันใด ที่ จ.ยโสธร เพื่อนใจของฉันจึงกลายเป็นผู้สร้างบ้านดินอันใช้ศิลปะการปั้นรูปปั้น ติดประกอบกับตัวบ้านไปด้วย เราจึงไม่ได้กลับไปอยู่ยังสิงห์บุรีแต่อย่างใด…
ในขณะที่ฉันเหนื่อยหน่ายกับสังคมเมืองอยู่ในส่วนลึก แต่เพื่อนใจของฉันกลับอยู่ในสถานภาพที่มีคนต้องการตัวเขาและมีคนให้เขาต้องไปพบพานมากขึ้น..มากขึ้น ฉันเริ่มรู้สึกถึงการเดินที่สวนทางกันระหว่างเรา…
ฉันแอบขุ่นข้องหมองใจอยู่เสมอถึงชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปของเรา…ฉันอยากมีชีวิตที่สงบสุขกับชายบ้านนอกที่รักกัน และอยู่อย่างอบอุ่นด้วยกันอย่างปราศจากคนมาข้องเกี่ยวรบกวน…ด้วยความหักเหที่สวนทางกันเช่นนี้ ทำให้เราทั้งสองค่อยๆ เกิดช่องว่างระหว่างกัน และในบางครั้งก็กลับกลายคล้ายดังคนแปลกหน้าที่มาอยู่ร่วมกัน..
และด้วยฉันเป็นคนที่อ่อนไหวในความรู้สึก จิตใจของฉันจะแยกแยะอย่างละเอียดระหว่างคนที่ชอบและคนที่ไม่ชอบ กับผู้คนที่เข้ามาเกี่ยวเนื่องข้องแวะกับเพื่อนใจของฉัน จนทำให้เขาต้องอึดอัดใจเสมอ..
ในขณะที่เขากำลังเดินไปข้างหน้า..แต่ทว่าฉันกลับพอใจที่จะหยุดอยู่ตรงที่เดิม..
เช่นในขณะที่มีเหตุการณ์ที่เป็นโอกาสอันดีของชีวิตที่เราทั้งสองคนจะได้เดินทางไปยังประเทศฝรั่งเศส โดยเพื่อนใจของฉันได้ติดต่อขอไปทำงานสร้างรูปปั้นติดไว้ในวัดไทยที่โน่น โดยระบุให้ฉันเป็นผู้ช่วยงานที่จะติดตามไปด้วยกัน
แต่เมื่อเอกสารและการประสานงานทุกสิ่งทุกอย่างได้เสร็จเรียบร้อยลงด้วยความยากลำบาก ของผู้ติดต่อและช่วยในการประสาน ฉันก็ปฏิเสธการเดินทางฝรั่งเศสกับเขาอย่างปัจจุบันทันด่วน เพราะไม่อาจตัดใจทิ้งสำลีสุนัขแสนรักของฉันไปเป็นเวลาหลายเดือนได้
เพื่อนใจของฉันนั้นมีความสุขและมีความฝันเกี่ยวกับการได้เดินทาง ฉันเองก็รู้สึกดีใจกับเขาและสัญญาว่าจะอยู่ดูแลสุนัขของเราเป็นอย่างดี
การสวนทางกันของความปรารถนาต่างๆ ในชีวิต ที่เกิดขึ้นนั้น ทำให้ฉันและเพื่อนใจของฉันได้หยุดเพื่อกลับมาทบทวนชีวิตคู่ระหว่างเราสองคน และในที่สุดเราก็ได้ตกลงกันที่จะลองแยกกันอยู่ โดยค่อยๆ เปลี่ยนความสัมพันธ์จากคนรัก มาเป็นเพื่อนกัน และแม้จะแยกกันอยู่แต่เขาก็จะยังดูแลไม่ทอดทิ้งฉัน
แปดปีกว่าที่เราอยู่ด้วยกันมา เราทุกข์ยากลำบาก ผ่านมาด้วยกันในหลายสถานที่หลายแห่งหน เมื่อฉันลำบากเพื่อนใจของฉันก็ลำบาก
แต่ในความลำบากฉันเห็นความเป็นผู้ให้ของเขาที่นึกถึงคนอื่นๆ และตัวฉัน ก่อนตัวเองเสมอ
ต่อจากนี้ถ้าหนทางชีวิตที่เป็นอิสระจากกันจะทำให้เขามีความสุขขึ้น ฉันก็ยินดีที่จะคืนให้กับเขา ในที่สุดเราจึงตัดสินใจแยกกันอยู่ และฉันได้ตัดสินใจตอบรับคำชวนของท่านผู้เป็นนักสะสมงานศิลปะท่านหนึ่ง ซึ่งมีบ้านอยู่หัวหินคือ คุณชุมพล ดอนสกุลและภรรยา โดยมีเพื่อนใจของฉันขับรถไปส่งฉันและสำลี เขาทิ้งรถไว้ให้ฉันใช้ และซื้อโทรศัพท์มือถือหนึ่งเครื่องให้ฉันไว้ใช้ และเพื่อที่เขาจะสามารถติดต่อ,รับรู้ถึงทุกข์สุขของฉัน และรู้ว่าฉันอยู่ที่ไหน ก่อนจะจากไปเพียงตัว
ท่านเจ้าของบ้านศิลปินที่หัวหิน ได้ให้ฉันกับสำลีอาศัยอยู่ในบ้านไม้ทรงไทยหลังใหญ่แต่ผู้เดียวตามลำพังกับสำลี ในบรรยากาศรอบบ้านที่เงียบสงบ
จุดประสงค์ของผู้เป็นเจ้าของบ้านในการสร้างบ้านศิลปินแห่งนี้ขึ้นมานั้น โดยหวังจะชักชวนคนทำงานศิลปะที่เขาชอบพอ ให้มาอยู่ด้วยกันอยู่แล้วนั่นเอง
ในช่วงเวลาของเริ่มต้นอยู่ตามลำพังนั้น มันช่างเป็นช่วงเวลาที่แสนเศร้า ฉันต้องทนต่อสู้กับความหดหู่ช้ำตรมในจิตใจ
วันแล้ววันเล่า..วันแล้ววันเล่า ที่ได้ผ่านพ้นไป ยังดีที่มีสุนัขแสนรักของฉันคอยอยู่ใกล้ๆ ตลอดเวลา และฉันรักมันมากพอกับที่รักตัวของฉันเอง
ส่วนเพื่อนใจของฉันก็ได้คอยโทรศัพท์มาหาฉันด้วยความห่วงใยที่ยังมีต่อกันเสมอๆ..และคอยส่งเงินมาให้ไม่ขาดสำหรับเป็นค่าใช้จ่าย
ฉันใช้ชีวิตอยู่อย่างเงียบๆ นานๆ จะแวะไปนั่งคุยกับบ้านของพี่ทวี เกศางาม ซึ่งเป็นศิลปินซึ่งอยู่ที่บ้านอีกหลังหนึ่ง ในบริเวณเดียวกันสักครั้ง…
ฉันขับรถออกจากบ้านเพื่อไปทำบุญตักบาตรพระ และเดินดูตลาดในตอนเช้าแทบทุกเช้า สถานที่ที่ฉันได้อาศัยอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองมากนักเพียงสี่กิโลจากบ้านก็ถึงตัวเมืองอันเจริญและศิวิไลซ์ ของหัวหิน
ส่วนสำลี ฉันก็ปล่อยให้เดินเล่นนั่งนอนรออยู่บนระเบียงบ้านอย่างปลอดภัยเพราะฉันได้ปิดประตูทางออกที่ระเบียงไว้อย่างเรียบร้อย…
วันเวลาค่อยๆ ผ่านไปอย่างเชื่องช้า ฉันเริ่มค่อยๆ หันมาใส่ใจในตัวเองอีกครั้ง ฉันเริ่มออกกำลังกาย ในทุกๆ วันที่ใต้ถุนบ้าน นอกจากสำลีแล้วฉันไม่มีใครคนอื่นคนใดที่ฉันจะรัก นอกจากตัวของฉันเอง
ชีวิตของคนตัวคนเดียวของฉันค่อยๆ เริ่มขึ้นอีกครั้ง อย่างคนที่ยังไม่มีจุดหมายปลายทางที่แน่นอน…
แม้งานปั้นที่เคยรัก ฉันก็ไม่แน่ใจว่าจะยังทำมันได้ต่อไปอีกหรือไม่
ในขณะนั้นฉันเพียงแต่ต้องการที่จะมีชีวิตให้ผ่านพ้นความทุกข์ตรมภายในใจ ให้ผ่านพ้นไปได้ในแต่ละวัน..แต่ละวัน เพียงเท่านั้น
รู้จัก… องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews
Comments are closed.