Celeb Online

เปิดมุมหวานคู่รักซูเปอร์คาร์ “บูบี-วารีนิธิ” & “บูม-ชาคริต”


จัดว่าเป็นอีกหนึ่งคู่หวานที่ทำเอาหลายคนตาร้อนผ่าวไม่เบา สำหรับ “บูบี-วารีนิธิ กันท์ไพบูลย์” เซเลบสาวนักซิ่งผู้ชื่นชอบซูเปอร์คาร์ที่เพิ่งสละโสด ควงแขนแฟนหนุ่มนักธุรกิจนำเข้ารถหรู “บูม-ชาคริต เอื้อวิศาลสิน” ซึ่งคบหาดูใจกันมานานกว่า 3 ปี เข้าประตูวิวาห์กันไปหมาดๆ ส่วนดีกรีความหวานหลังเปลี่ยนสเตตัสจากแฟนมาเป็นคู่ชีวิต จะเป็นอย่างไร? Celeb Online ไม่พลาดชวนทั้งคู่มาอัปเดตความหวาน ต้อนรับเทศกาลแห่งความรักที่จะมาถึงกันดีกว่า

เบื้องหลังงานวิวาห์ที่เลอค่ากว่าที่ฝัน


ในขณะที่ หลายคู่อาจจะต้องปวดหัวกับการเตรียมงานหมั้นและงานแต่ง เพราะมีหลายอย่างให้ต้องวางแผนและตระเตรียม แต่สำหรับว่าที่เจ้าสาวป้ายแดงกลับบอกว่า เป็นเจ้าสาวยุคโควิด-19 อาจจะหนักใจกับสถานการณ์ที่ต้องมีการจำกัดจำนวนคน แต่ถ้าพูดถึงการเตรียมงานขอใช้คำว่าชิลมาก

“บูบีมีภาพงานแต่งงานในฝันมาตั้งแต่จำความได้อยู่แล้วค่ะ เรารู้ว่าเราได้อยากได้อะไร พอมาถึงวันที่ได้แต่งงานจริงๆ เลยแค่ตกผลึกสิ่งที่อยู่ในหัวออกมา (ยิ้ม) ซึ่งบางคู่เวลาเตรียมงานแต่งอาจจะมีทะเลาะกัน แต่คู่เราไม่เลย เพราะพี่บูมก็ตามใจบูบีทุกอย่าง เสียดายแค่โควิด-19 ระลอกใหม่กลับมาซะก่อน เลยได้แต่จัดงานเช้า ซึ่งเป็นงานหมั้นและรดน้ำสังข์ตามกำหนดเดิม เราเชิญแต่ญาติ และเพื่อนเจ้าบ่าว-เจ้าสาว ส่วนงานเลี้ยงต้องดีเลย์ไปก่อน เพื่อรอให้สถานการณ์โอเคกว่านี้ค่อยจัด เพราะตอนนี้รัฐบาลค่อนข้างเข้มงวดกับจำนวนคนที่มาร่วมงาน ซึ่งบีกับพี่บูมก็ไม่อยากตัดรายชื่อแขกออกแล้ว”


เช่นเดียวกับ แผนปั๊มทายาทที่ต้องดีเลย์ตามไปด้วย “เดิมตั้งใจว่าแต่งแล้วอยากมีลูกเลย คิดไว้ว่าอยากมี 2 คน จะชายหรือหญิงก็ได้ แต่พองานทุกอย่างยังไม่เรียบร้อย เลยคิดว่าถ้าเกิดท้องขึ้นมา ชุดที่เตรียมไว้ว่าจะใส่ก็จะใส่ไม่ได้ หรือ ถ้าจะรอคลอดก็จะอาจลากยาวไป เลยคิดว่าขอเลื่อนไปก่อน” บูบีเปิดฉากเล่าถึงแผนงานวิวาห์ที่เพิ่งจัดไปเมื่อเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา ก่อนจะถือโอกาสย้อนเส้นทางความรักแสนหวานของทั้งคู่​


“ผมปิ๊งเขาตั้งแต่ยังไม่เจอตัวจริงนะครับ เห็นรูปเขาในไอจี เพราะเขาเป็นเพื่อนกับลูกพี่ลูกน้องผม ผมก็เลยลองส่งข้อความทักไปหาเขาทางไอจี ซึ่งก็โชคดีมากครับ ที่ผมทักไปถูกจังหวะ เป็นตอนที่เขาโสดพอดี เขาก็เลยคุยด้วย” ฝ่ายชายสารภาพแบบเขินๆ ว่า

“จริงๆ บูบีมีคนส่งข้อความมาหาทางไอจีแทบทุกวัน ซึ่งบางทีเราแค่ดูจากข้อความที่พิมพ์มา กับวิธีเข้าหาก็พอจะจับทางได้ว่าคนนี้มาแนวไหน หรือบางคนถ้าเข้าไปดูไอจีเขา จะรู้เลยว่ามีไลฟ์สไตล์แบบไหน เข้ากันได้หรือเปล่า แต่พี่บูมแตกต่างจากคนอื่น เพราะเขาเป็นคนสุภาพ พูดจาดี แค่ได้ลองคุยก็ยอมรับนะว่าแอบชอบเขานิดๆ” บูบีเสริม ก่อนที่ฝ่ายชายจะเสริมว่า

“ถามว่าเขาเป็นสเปกผมมั้ย จริงๆ ผมไม่ได้มีสเปกในหัว ถ้าเจอแล้วปิ๊งก็คือปิ๊ง ซึ่งน้องบีก็คือคนที่ผมปิ๊ง แต่กว่าจะจีบติดก็สักพักเลยครับ ต้องฝ่าฟันอุปสรรคเยอะเหมือนกัน ให้น้องบีช่วยเล่าดีกว่าครับ (หัวเราะ)” บูมฉวยโอกาสโยนให้ฝ่ายหญิงช่วยตอบ


“ในจำนวนผู้ชายทั้งหมดที่เข้ามาจีบ บีว่าพี่บูมจีบหนักสุดเลย อย่างตอนที่เริ่มจีบกันใหม่ๆ ด้วยความที่บ้านพี่บูมอยู่แถว ซ.ร่วมฤดี ส่วนบ้านบีอยูู่แถวเอกมัย เขารู้สึกว่าไกลกันนิดหนึ่ง พี่บูมเลยลงทุนซื้อคอนโดฯ ที่ทองหล่อ เพื่อที่เราจะได้อยู่ใกล้กันมากขึ้น เจอกันบ่อยขึ้น หรืออย่างเขารู้ว่าบีอยากกินขนมร้านหนึ่งที่คิวยาวมาก พี่บูมก็ไปรอตั้งแต่ห้างเปิดเพื่อซื้อมาให้​ แล้วก็ยังมีอีกหลายอย่างที่เขาทำให้บีประทับใจ แต่ที่ทำให้บีชอบพี่บูมคือเขาเป็นคนเอาใจใส่ คุยกันแล้วรู้สึกว่าเราเข้าใจกัน แถมยังตรงสเปกที่บีชอบคือ อายุมากกว่า เรียบร้อย พูดเพราะและเป็นคนสุภาพ เพราะบีก็เป็นผู้หญิงหวานๆ”

ด้วยความที่ต่างฝ่ายต่างตรงสเปก ทำให้ความรักของทั้งคู่ก่อตัวอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าถามว่าเมื่อต้องมาจีบสาวฮอต บูมมีเทคนิคในการจีบอย่างไรให้ติด บูมตอบสั้นๆ ว่า แสดงความจริงใจให้เขาเห็นครับ

“หลังจากคุยกันมาได้สักพัก ผมตัดสินใจชวนเขาไปเดต เดตแรกผมชวนเขาไปงานแต่งงานเพื่อนผมครับ อารมณ์ประมาณว่าอยากพาไปเปิดตัวกับเพื่อนๆ ซึ่งแค่เจอครั้งแรก เพื่อนๆ ผมทุกคนก็ชอบน้องบีหมดเลยครับ”


ในขณะที่ หนุ่มบูมปลาบปลื้มกับเดตแรกเหลือเกิน หารู้ไม่ว่า เดตครั้งนั้นก็สร้างความประทับใจให้ฝ่ายหญิงไม่น้อย

“เดตแรกบีก็ค่อนข้างประทับใจเขานะ จำได้เลยว่าพี่บูมเอาเฟอร์รารี่มารับ ที่น่ารักและทำให้บีจำมาถึงทุกวันนี้คือ ในขณะที่ ผู้ชายส่วนใหญ่จะหวงรถ ไม่อยากให้เอาของขึ้นมากินบนรถ เพราะกลัวจะหกเลอะเทอะหรือมีกลิ่น แต่วันนั้นพี่บูมเอากระเพาะปลาสดที่คุณแม่ทำ (ซึ่งรสชาติอร่อยมาก) มาให้บีกินรองท้องบนรถ เพราะเราต้องไปงานแต่งช่วงเช้า ต้องออกจากบ้านค่อนข้างเช้าเลยกลัวว่าบีจะหิว ฟังดูอาจจะเป็นเรื่องเล็กๆ แต่มันทำให้บีรู้สึกว่าเขาเป็นห่วงเรามากกว่าห่วงรถ ประทับใจมาถึงทุกวันนี้ ที่สำคัญ การที่เขาพาเราไปเจอเพื่อนๆ หรือครอบครัว ทำให้บีรู้สึกว่าเขาจริงใจและจริงจัง ไม่ได้คบกับเล่นๆ รู้กันสองคน”

ด้านบูมเสริมว่า “ตั้งแต่เริ่มคุยกันผมจะหาโอกาสบอกให้เขารู้ว่า ผมวางแผนอนาคตไว้อย่างไร ซึ่งเขาเองก็มีสิ่งที่วางแผนไว้ในชีวิตเหมือนกัน ขณะเดียวกัน ก็พยายามหาโอกาสสร้างโมเมนต์ดีๆ อย่าง รู้ว่าเขาเปิดร้านสาขาใหม่ ก็ส่งดอกไม้สวยๆ ไปแสดงความยินดี หรืออย่างที่บีบอกว่าผมไปต่อคิวซื้อขนมให้ เรื่องมีอยู่ว่าเราไปเดินผ่านร้านขนมที่พารากอน เขาก็บอกว่าน่ากิน แต่เห็นว่าคิวยาวเราเลยไม่ได้ไปต่อแถว วันรุ่งขึ้นผมไปรอตั้งแต่ 9 โมงเช้า เพื่อเดินเข้าห้างเป็นคนแรกมุ่งไปซื้อขนมร้านนี้ เอาทุกรสชาติ ส่งไปให้เขาที่บ้าน พอเขาตื่นมาเห็นก็เซอร์ไพรส์”


หลังจากคบหาดูใจกันได้ 2 ปีกว่า ทั้งคู่ก็เริ่มวางแผนชีวิตคู่ เพราะมีภาพอนาคตร่วมกันว่า อยากแต่งงานสร้างครอบครัวและมีลูก “ผมเองวางแผนว่าอยากแต่งงานตอน 30 ต้นๆ อยู่แล้ว ส่วนน้องบีเขาก็อยากแต่งงานแล้วมีลูกเลย ไม่อยากรอให้อายุเยอะแล้วค่อยมีลูก เพราะกลัวว่าจะเลี้ยงไม่ไหว”

เมื่อหัวใจสองดวงตรงกัน ฝ่ายชายจึงเริ่มวางแผนเซอร์ไพรส์ขอแต่งงาน “ผมวางแผนอยู่หลายเดือนเลยครับ เริ่มจากกล่องแหวน ผมไปซื้อมาจากอิตาลี ซึ่งทริปนั้นเราไปด้วยกัน แต่น้องเขาไม่รู้”

“บีจำได้เลยว่า ตอนที่เห็นพี่บูมแบกกล่องออกมาจากช็อปหลุยส์ บีบ่นตั้งแต่ช็อปจนเดินไปถึงรถ คิดแต่ว่าจะขนกลับอย่างไร เพราะกล่องมันใหญ่มาก พยายามหว่านล้อมให้พี่บูมทิ้งกล่องแล้วเอาแต่ของข้างในไป บีจะช่วยถือ แต่เขาก็ไม่ยอม บอกว่าเพื่อนฝากซื้อ ต้องเอากลับไปทั้งแบบนี้”


หลังจากได้กล่องแหวนสุดอลังการมาแล้ว ก็ถึงเวลาเลือกแหวนแต่งงาน ซึ่งบูมก็ตระเวนหาอยู่หลายที่จนได้วงที่ถูกใจ คราวนี้ก็มาถึงแผนการเซอร์ไพรส์ขอแต่งงาน

“ด้วยความที่เขาชอบดอกไม้มาก เพราะฉะนั้น ผมก็วางแผนเลยว่า จะใช้ดอกไม้มาตกแต่งสถานที่ที่จะใช้ขอแต่งงาน แต่ด้วยความที่ตอนนั้นเป็นช่วงหน้าร้อน อากาศร้อนมาก ถ้าจะจัดดอกไม้ไว้ล่วงหน้าก็กลัวจะเฉา ผมเลยต้องหาช่างมา 7-8 คน เพื่อรุมกันจัดดอกไม้ให้เสร็จภายใน 2 ชม. แล้วก็วางแผนกับพี่สาวบี ให้พาน้องบีมา”

ขณะที่ ฟังแผนขอแต่งงานที่สามีเล่าอย่างออกรส บูบีถือโอกาสเสริมว่า “วันนั้นบีรู้แค่ว่ามีนัดกับทางแสนสิริให้ไปรีวิวโครงการ เราก็จัดชุดเต็มมาเลย ปรากฏมาถึงเห็นดอกไม้เต็มเลย ตกใจมาก หลังจากนั้นพี่บูมก็เดินออกมาเซอร์ไพรส์ ซึ่งเอาจริงๆ ถ้าบีรู้ก่อนจะใส่ชุดที่ลากยาวมาตั้งแต่หน้าปากซอยเลยค่ะ และจะไม่ใช้กระเป๋าสีฟ้ากับใส่รองเท้าลายเสือเด็ดขาด เพราะว่าไม่แมตช์กันเลย” บูบีเล่าไปขำไปก่อนเสริมว่า “จริงๆ บีฝันถึงโมเมนต์การขอแต่งงานแบบนี้มาตลอดนะ แต่สิ่งที่พี่บูมทำให้สวยงามกว่าที่ฝันไว้มาก บียังจำบรรยากาศวันนั้นได้ขึ้นใจเลยค่ะ”


ได้ยินผู้หญิงที่รักพูดแบบนี้ หนุ่มบูมก็อดปลื้มใจไม่น้อย “ผมรู้ว่า เขาเป็นคนให้ความสำคัญกับเรื่องความรัก งานแต่งงาน ฉะนั้น ในเมื่อคิดว่าเป็นโอกาสเดียวในชีวิต ผมก็เลยอยากทำให้ดีที่สุด”

นอกจากโอกาสสำคัญจะโรแมนติกสุดๆ แล้ว ถามว่าปกติหนุ่มบูมโรแมนติกขนาดไหน บูบีเฉลยว่า “ก็โรแมนติกนะ ตอนคบกันใหม่ๆ ช่วงโปรโมชัน เขารู้ว่าบีชอบดอกไม้ก็จะส่งให้เกือบทุกวัน นอกจากจะมาแบบช่อสวยๆ ใหญ่ๆ ยังมีพันธุ์แปลกๆ มาให้ตลอด จนตอนนี้กลายเป็นว่าเขามีความรู้เรื่องดอกไม้มากกว่าบีอีก เวลาเพื่อนจะเซอร์ไพรส์แฟน ก็ต้องถามพี่บูมว่าจะให้พันธุ์อะไรดี แต่หลังๆ บีบอกพี่บูมว่า​ไม่เอาดอกไม้แล้วนะ เก็บตังค์ไว้ซื้ออย่างอื่นดีกว่า บีอยากได้ของที่มีคุณค่าทางจิตใจ เก็บได้นานๆ เพราะดอกไม้สุดท้ายก็เน่า ทำได้ดีที่สุดคือ เอาไปตากแดดเพื่อเก็บไปดอกไม้แห้ง ซึ่งช่อแรกๆ ที่เขาให้บีก็ยังเก็บอยู่นะ”

แต่ถ้าพูดถึงของขวัญที่ฝ่ายชายมอบให้แล้วบูบีชอบที่สุด เธอยกให้แอกเซสซอรีที่ฝ่ายชายเลือกซื้อให้ในโอกาสสำคัญ “เพราะแต่ละชิ้นที่เลือกมา สะท้อนว่า เขารู้ใจ รู้ว่าบีชอบสไตล์ไหน อย่าง บีเองก็เหมือนกัน เวลาเจอเสื้อผ้า รองเท้าที่ดูแล้วว่าเข้ากับสไตล์เขา คิดว่าเขาใส่แบบนี้แล้วต้องดูหล่อ บีก็จะซื้อให้ เหมือนเป็นสไตลิสต์ส่วนตัวเลยค่ะ”

จากคู่รักเป็นคู่ชีวิต


ดื่มด่ำกับเรื่องราวความรักบทที่หนึ่งไปแล้ว มาถึงบันทึกหน้าใหม่ของการเริ่มต้นชีวิตคู่ ซึ่งตอนนี้ทั้งอยู่ระหว่างรอเรือนหอร้อยล้านสร้างเสร็จ คาดว่าอีกไม่กี่เดือนน่าจะย้ายเข้าไปอยู่ได้

“ตอนนี้เหลือตกแต่งภายในอีกนิดหน่อยค่ะ พอดีเราทำห้องแต่งตัวเพิ่ม แล้วก็เพิ่มพื้นที่จอดรถในบ้าน เพราะด้วยความที่เราชอบรถทั้งคู่ เลยอยากให้มีส่วนของโรงรถอยู่ในตัวบ้าน โดยในโรงรถก็จะมีห้องทำงานเล็กๆ ของพี่บูมอยู่ด้วย​ เวลาทำงานพี่บูมจะได้เห็นรถ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขารักตลอด เท่าที่คำนวณจากพื้่นที่ คิดว่าน่าจะจอดได้ประมาณ 6 คัน ซึ่งเราคงต้องเลือกว่าจะเอาคันไหนมาจอดบ้าง ตอนนี้ที่คิดกันไว้คือ อาจจะคุมเลือกตามธีมสีรถก่อน”


ถามว่าทำไมถึงเลือกออกมาสร้างเรือนหอ แทนที่จะอยู่บ้านคุณพ่อคุณแม่ บูบีบอกว่า “เราอยากสร้างครอบครัวใหม่ด้วยกัน เราอยากมีสเปซของตัวเอง บีรู้สึกว่าความสัมพันธ์กับครอบครัวของเราทั้งสองฝ่ายตอนนี้ดีมากๆ จนไม่อยากให้มีปัญหาเล็กๆ อะไรก็ตามมากระทบ เพราะขนาดตอนนี้เราอยู่ด้วยกันสองคน ก็ยังต้องปรับจูนเข้าหากัน บีเลยคุยกับพี่บูมว่า ไม่อยากเป็นเหมือนบางคู่ที่พออยู่เป็นครอบครัวใหญ่ แล้วทำให้มีปัญหา เลยเลือกตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ซึ่งพี่บูมก็เห็นด้วยกับเหตุผลนี้”

เข้าอกเข้าใจกันแทบจะทุกเรื่องแบบนี้ อดสงสัยไม่ได้ว่า เคยมีโมเมนต์พ่อแง่แม่งอนบ้างมั้ย บูมชิงตอบว่าสมัยก่อนมีแต่เดี๋ยวนี้แทบจะไม่มี “ส่วนใหญ่บีจะเป็นฝ่ายงอน บางทีผมก็ไม่รู้ครับเลยไม่ได้ง้อ ต้องรอให้เขาบอก ซึ่งพอรู้ว่าอะไรที่เขาไม่ชอบผมก็พยายามปรับ ซึ่งเรื่องที่เรางอนกันส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ”

“หลังๆ เราเข้าใจกันมากขึ้นค่ะ เพราะบีเองก็พยายามปล่อยวางได้มากขึ้น บางเรื่องเล็กก็จะไม่เอามาใส่หัว บางทีงอนแค่เห็นเขายิ้มมาก็หายแล้ว รู้สึกว่าแค่เรามีกันและกันก็พอแล้ว บวกกับบีเป็นคนโกรธง่ายหายเร็ว บางทีโกรธแล้วไม่ต้องง้อ เดี๋ยวหายเอง”


ถามถึงชีวิตหลังแต่งงานต้องปรับตัวอย่างไร บูบีชิงตอบว่า “แต่งงานมาเดือนกว่าชีวิตค่อนข้างเหมือนเดิม ยังทำงานเยอะทั้งคู่ โชคดีที่เป็นคนชอบทำงานทั้งคู่เลยไม่ซีเรียส ถือคติทำงานเก็บเงินก่อน สวีตเมื่อไหร่ก็ได้ ถ้ามีเวลาว่างตรงกันก็จะกินข้าวด้วยกัน ส่วนแผนฮันนีมูน จริงๆ เราก็ไปกันมาทั่วโลกแล้ว ตอนนี้เลยคิดว่าทำงานเก็บเงินรอโควิด-19 ไปก่อนค่อยว่ากัน”

ด้านหนุ่มบูมเสริมว่า “ปกติถ้ามีทริปเราต้องวางแผนล่วงหน้า จองทุกอย่างไว้ก่อน เพราะบางครั้งน้องบีเขาก็จะบ่นว่า ไปเที่ยวแล้วทำให้เขาเสียงานอีเวนต์ไปหลายงาน (หัวเราะ) อย่างปีที่แล้วผมจองไปแล้ว 4 ทริป 4 ประเทศ แต่พอโควิด-19 มาก็ต้องรอ ตอนนี้ตั๋วเครื่องบินยังค้างอยู่เลย ปกติเราจะมีก๊วนเพื่อนที่ไปด้วยกัน เราก็จะมีกลุ่ม 4 คนเอาไว้คุยกันตลอด ว่าอยากไปไหน เพราะเราชอบเที่ยวแนวเดียวกันอยู่แล้ว เวลาไปก็เหมือนไปกัน 2 คู่”


นอกจากการเดินทาง อีกหนึ่งงานอดิเรกและของสะสมแสนรักของทั้งคู่คือ ซูเปอร์คาร์ ชอบเป็นชีวิตจิตใจจนได้ฉายาว่าเป็นคู่รักซูเปอร์คาร์ เรียกว่ามีเวลาว่างเมื่อไหร่ต้องชวนกันไปขับรถเที่ยว ไม่เว้นแม้แต่เวลาไปต่างประเทศ งานนี้ถ้าถามว่าใครเป็นสายซิ่งมากกว่ากัน บูบียอมรับแต่โดยดี

“บีเป็นคนชอบขับรถค่ะ ถ้ามีเวลาบีชอบไปออกทริปอยู่เสมอ จนตอนนี้เริ่มคิดแล้วว่า ออกทริปครั้งหน้าจะแยกกันขับไปคนละคัน (หัวเราะ) กับพี่บูม เพราะเราชอบขับรถทั้งคู่”

แต่เมื่อถามถึงซูเปอร์คาร์คันโปรด ขณะที่ หนุ่มบูมยกให้เฟอร์รรารี รุ่น 355 ซึ่งเป็นรถคลาสสิกอายุ 20 กว่าปี เป็นเกียร์แมนวล เป็นที่หนึ่งในใจ บูบีบอกว่า ไม่ปักใจกับคันไหนเป็นพิเศษ ขึ้นอยู่กับว่าได้คันไหนมาใหม่ๆ ก็อาจจะเห่อเป็นพิเศษ

คู่รักนักบริหาร


อัปเดตเรื่องความรัก ไลฟ์สไตล์อย่างออกรสไปแล้ว มาชวนคุยเรื่องหนักๆอย่างธุรกิจที่ทั้งสองคนกำลังปลุกปั้นกันอยู่บ้าง

เริ่มจากบูบี ซึ่งตอนนี้หลักๆ ยังโฟกัสกับการบริหารแบรนด์เสื้อผ้า Varithorn Boutique ซึ่งได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ไม่ต่างจากธุรกิจอื่น โชคดีที่แบรนด์ปรับตัวไว และเป็นแบรนด์แรกๆ ที่ลุกขึ้นมาทำหน้ากากผ้าที่ไม่ใช่แค่เน้นดีไซน์ แต่ยังมาพร้อมฟังก์ชันช่วยป้องกันไวรัส ก่อนจะแตกแบรนด์น้องใหม่อย่าง Varithorn Basic official

“หลังจากทำหน้ากากผ้ามา 7 เดือน พอเห็นว่ากระแสหน้ากากผ้าเริ่มซา เราก็เริ่มคิดว่าจะทำอย่างไรต่อดี เพราะเสื้อผ้า Varithorn Boutique เน้นคัตติ้งเนี้ยบๆ สำหรับใส่ออกงาน​หรือไปทำงาน แต่พอคนเปลี่ยนมาทำงานจากที่บ้าน เราก็เลยเปิดแบรนด์ Varithorn Basic Official ขึ้นมา โดยปรับมาเป็นเสื้อผ้าสไตล์ลำลอง เหมาะกับการอยู่บ้านหรือทำงานที่บ้านมากขึ้น ราคาจับต้องได้มากขึ้น ซึ่งก็ได้รับกระแสตอบรับดี มีออเดอร์ทั้งจากในและต่างประเทศ อย่างมาเลเซีย เขมร ฮ่องกง สิงคโปร์ ส่วนฝั่งอเมริกาตอนนี้ก็ยังมีออเดอร์หน้ากากเข้ามาอยู่ เรียกว่าวิกฤตที่เกิดขึ้นเหมือนสร้างโอกาสให้เราได้เปิดตลาดใหม่ มีฐานลูกค้าที่กว้างขึ้น ซึ่งเราวางแผนว่า อนาคตจะเพิ่มไลน์รองเท้า กระเป๋า เครื่องหนัง แอกเซสซอรีใน varinthorn basic official


นอกจากจะทำแบรนด์ บูบียังนำความชอบเรื่องซูเปอร์คาร์ มาต่อยอดอีกหนึ่งธุรกิจที่เอื้อกับสามี นั่นคือ การเป็นตัวกลางในการซื้อซูเปอร์คาร์มาขายต่อ

“ช่วงไหนว่างๆ​ จังหวะดีๆ ก็จะมีคนเอาซูเปอร์คาร์มาฝากขาย บีก็จะเป็นตัวกลางช่วยหาคนซื้อ ข้อดีของธุรกิจนี้ ซึ่งบีทำเป็นงานอดิเรกคือ ​ได้เทสต์ไดรฟ์รถหลากหลายรุ่น ซึ่งเราชอบอยู่แล้ว แถมยังทำกำไรได้ด้วย”


ด้านสามีก็อยู่ในแวดวงรถหรูเหมือนกัน ปัจจุบันเป็นกรรมการบริหาร บริษัท สไปเดอร์ ออโต้ อิมพอร์ท จำกัด หนึ่งในผู้นำเข้าอิสระรถยนต์จากต่างประเทศมาร่วม 10 ปี

“ผมเรียนไฮสกูลที่โรงเรียนนานาชาติฮาร์โรว์ แล้วก็ต่อด้านบิซิเนส ไฟแนนซ์ที่มหิดลฯ อินเตอร์ เริ่มทำธุรกิจตั้งแต่เรียนอยู่ประมาณปี 2 ปี 3 ด้วยการเริ่มจากนำเข้ามือถือมาขายต่อ จนตอนหลังมารู้จักรุ่นพี่ที่เป็นนายหน้าขายรถ เลยมาลองทำดูบ้าง ค่อยๆ สั่งสมประสบการณ์ จนตอนหลังเริ่มนำเข้ารถเบนซ์จากต่างประเทศเอง โดยมาฝากขายตามโชว์รูมต่างๆ ก่อนจะรวมหุ้นกับหุ้นส่วนเปิดบริษัท โดยบูมโฟกัสด้านการขาย นอกจากนี้ ยังลงขันกับหุ้นส่วนเปิดร้านอาหารญี่ปุ่น และร้านอาหารกลางคืนอีกหลายแห่ง

ผมเป็นคนชอบค้าขาย ที่มาทำร้านอาหาร เพราะทุกเย็น หลังเลิกงาน ก็ต้องไปหาร้านกินข้าว แฮงก์เอาต์ เลยคิดกับหุ้นส่วนว่า น่าจะเปิดร้านอาหารของตัวเองซะเลย”


ล่าสุด บูมยังเพิ่งทำโครงการ Motor Square ศูนย์รวมรถยนต์มือสองเกรดพรีเมียม​อยู่ตรงเกษตร-นวมินทร์ โดยแบ่งพื้นที่เช่าเป็น 39 ล็อก จุดเด่นคือ มาพร้อมออฟฟิศ 2 ชั้นและระบบรักษาความปลอดภัย เสมือนเป็นคอมมูนิตีสำหรับคนขายรถมือสอง มีทั้งกลุ่มที่เน้นเฉพาะรถตู้ รถซิ่ง รถแต่ง เป็นแบบมัลติแบรนด์หรือขายเฉพาะแบรนด์ อย่าง เบนซ์ ปอร์เช่ เป็นต้น

ในฐานะที่อยู่ในวงการรถมานาน ถามว่าเห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างในวงการ บูมตอบว่า “วงการรถก็ไม่ต่างจากธุรกิจอื่น มีวัฏจักรขึ้นและลง​ อย่า ช่วงนี้ก็ถือว่าทรงๆ แต่ของผมช่วงนี้ถือว่าขายดี เพราะบริษัทผมช่วงนี้หันมาเน้นรถไฟฟ้า ซึ่งกำลังเป็นเทรนด์ที่คนสนใจ ผมเป็นเจ้าแรกๆ ที่ขายรถไฮบริดจ์ ช่วงแรกคนยังกลัวๆ ว่าค่าซ่อมจะแพงมั้ย กังวลเรื่องแบตเตอรี่ เราเลยสร้างศูนย์บริการเพื่อให้ลูกค้ามั่นใจด้วยว่า ซื้อไปแล้วซ่อมได้จริง มาถึงรถไฟฟ้า เรานำเข้าหลายแบรนด์ ทั้ง เทสลา มินิคูปเปอร์ ฮอนด้า ปอร์เช่ ผมมองว่าตลาดรถไฟฟ้าเป็นตลาดที่ใหญ่มาก ที่สำคัญ ในขณะที่ประเทศอื่นอาจจะค่อนข้างเป็นที่นิยม แต่บ้านเรายังมีแค่กลุ่มเล็ก 2-3% เท่านั้น”


อย่างไรก็ตาม บูมยังทิ้งท้ายอย่างน่าสนใจว่า ในการทำธุรกิจย่อมมีอุปสรรค แต่เพราะรู้สึกปล่อยวางและมีมุมมองที่เชื่อว่า ทุกสิ่งเกิดเพียงชั่วคราวทำให้ทำธุรกิจได้อย่างไม่เครียด

“ทำธุรกิจต้องเจอปัญหาแน่นอน โดนโกงก็เคยมาแล้ว แต่ผมพยายามไม่เครียด อะไรที่เกิดขึ้นแล้วไม่พยายามไม่ไปยึดติด หรือเสียเวลาอยู่กับความทุกข์นั้น ทุกอย่างเป็นเพียงสิ่งชั่วคราว”