แม้วันนี้สายงานในโรงแรมจะไม่สวยหรูอย่างที่เคย หลังจากต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตโรคโควิด-19 แต่ “แจ็ก-ณิศรุจ ธนพุทธิ” ผู้จัดการอาวุโส แผนกการขาย โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ คนหนุ่มไฟแรงที่มีแพสชันในการทำงานล้นเหลือ ยังส่งพลังบวกที่พร้อมจะกัดฟันสู้ต่อ เพราะงานโรงแรมเป็นงานที่รัก และเป็นอาชีพในฝันตั้งแต่เริ่มจำความได้
“ชีวิตผมวัยเด็กคือการเดินทางครับ ตั้งแต่อายุ 4 ขวบ ผมก็ตามคุณพ่อไปอยู่ซูริก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ไปเข้าโรงเรียนอนุบาล หลักสูตรอินเตอร์ฯ ที่นั่น เรียนอยู่ 5 ปีก็กลับมาอยู่เมืองไทย เลยยังไม่ได้มีโอกาสฝึกภาษาฝรั่งเศสหรือเยอรมนีเท่าไหร่ พอกลับมาคุณพ่อคุณแม่เลือกให้เข้าโรงเรียนไทย เพราะอยากให้ผมฝึกอ่านและเขียนภาษาไทย จำได้เลยว่ากลับมาเรียน ป.4 ผมยังหัดคัด ก.ไก่ ข.ไข่ อยู่เลย เรียนอยู่ 3 ปีจนเขียนได้คล่อง ผมก็ตามคุณพ่อไปอยู่แอลเอ สหรัฐอเมริกาอีก 3 ปี ก่อนจะกลับมาอยู่เมืองไทยยาว คราวนี้คุณพ่อคุณแม่ให้มาเรียนต่อที่โรงเรียนนานาชาติไอเอสบี”
ชีวิตที่มีโอกาสได้เดินทางไปใช้ชีวิตในต่างแดนตั้งแต่ยังเป็นเด็กชาย เพราะคุณพ่อคุณแม่ทำงานอยู่ที่การบินไทย บวกกับนิสัยส่วนตัวที่ชอบความเนี้ยบและเป๊ะเป็นทุนเดิม จุดประกายให้แจ็กมีความฝันว่า อยากจะทำงานโรงแรมมาตั้งแต่เด็ก เพราะชอบอะไรที่ดูดี ดูเนี้ยบ เป๊ะ
“สมัยเด็กเวลาไปเข้าพักตามโรงแรมต่างๆ แล้วเห็นคนที่ทำงานโรงแรมแต่งตัวดี ลุคดูเนี้ยบ เป๊ะมาก ผมก็แบบเด็กๆ ว่า อยากเป็นแบบนั้นบ้าง ตอนนั้นไม่รู้หรอกว่าจริงๆ แล้วงานโรงแรมมีอะไรบ้าง ผมก็จะบอกคุณแม่ตลอดว่าอยากไปอยู่จุดนั้นบ้าง คุณแม่ก็จะแซวว่า อยากจะไปเป็น Bell boy เหรอ (หัวเราะ) เพราะจริงๆ นะครับ ทั้งโรงแรมตำแหน่งนี้แต่งตัวอลังการสุด เป็นด่านแรกที่ต้อนรับ
พอโตขึ้นจากที่ตั้งใจว่าจะเรียนต่อด้านการโรงแรม แต่ครอบครัวมองว่าไม่อยากให้กำหนดกรอบวิชาความรู้ของตัวเองจนเกินไป สุดท้ายผมเลยเบนเข็มมาเรียนคณะเศรษฐศาสตร์ (อินเตอร์) จุฬาฯ ก่อนจะไปต่อปริญญาโทด้านการตลาดที่มหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ”
แจ็กบอกว่า แม้เวลาจะผ่านไปแต่แพสชันที่มีไม่เคยหายไป ดังนั้น พอเรียนจบมีรุ่นพี่แนะนำว่า น่าจะไปสมัครงานฝ่ายขายและการตลาด ผมเลยไปลองสมัครและได้เริ่มงานแรกที่โรงแรมดุสิตธานี หัวหิน แต่นั่งทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ หลังจากหาประสบการณ์ได้ 2 ปี แจ็กตัดสินใจย้ายไปทำงานที่ เจดับบลิว แมริออท ภูเก็ต แต่ทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ เหมือนกัน ทำอยู่ปีครึ่ง ชีวิตเดินทางมาถึงจุดเปลี่ยน เริ่มรู้สึกไม่แน่ใจในเส้นทางที่เลือก เลยตัดสินใจลาออกไปชิมลางสายงานอื่นสักพัก เพื่อค้นหาตัวเอง ใช้เวลาไม่นานก็พบว่า สายงานโรงแรมคืองานที่ใช่ เลยกลับมาทำงานโรงแรมอีกครั้งที่ แกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ จากวันนั้นถึงวันนี้ก็เข้าสู่ปีที่ 9 แล้ว
เพื่อให้เข้าใจโลกการทำงานของเซลโรงแรมมากขึ้น แจ็กฉายภาพให้เห็นว่า “ทีมผมจะแบ่งกันดูแลลูกค้าแยกย่อยตามอุตสาหกรรม อย่างผมเองจะเน้นคอร์ปอเรตสายไอทีและเอนเตอร์เทนเมนต์ ฉะนั้น นอกจากจะมีลูกค้าเป็นผู้บริหารระดับสูง ยังมีศิลปินระดับโลกอีกหลายท่าน แน่นอนว่า เพื่อจะให้แขกระดับนี้เลือกมาใช้บริการโรงแรมของเรา ต้องแข่งขันกับโรงแรมห้าดาวอื่นๆ ในการสร้างความประทับใจให้ลูกค้าเชื่อมั่น ไว้วางใจมาเลือกใช้บริการของโรงแรมเรา ยกตัวอย่าง ถ้ารู้ว่ามีแบรนด์ไอทีต่างชาติจะมาจัดงานเปิดตัวที่เมืองไทย ต้องการห้องพักประมาณ 100 ห้อง ผมก็ต้องทำการบ้านแล้วว่าจะนำเสนอเซอร์วิสของเราอย่างไร เพื่อตอบโจทย์ที่เขาต้องการ และมีอะไรมานำเสนอให้เขาว้าว หรือรู้สึกเหนือกว่าความคาดหมายจนตัดสินใจเลือกโรงแรมของเรา เพราะตอนนี้โรงแรม 5 ดาวในกรุงเทพฯ มีไม่น้อย”
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้คนที่ทำงานสายนี้ต้องเป็นคนอัปเดต ทันสมัย อะไรอินเทรนด์ มีบริการอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ ต้องก้าวให้ทัน และไม่หยุดเรียนรู้คู่แข่งว่ากำลังทำอะไร เพื่อที่อย่างน้อยจะได้กลับมาพัฒนาโรงแรมของเราให้ดีเทียบเท่า
“ผมโชคดี เติบโตมาในครอบครัวที่มาสาย Hospitality หรือธุรกิจงานบริการทั้งหมด ข้อดีคือ ทำให้เราได้เดินทางเยอะมาตั้งแต่เด็ก ยิ่งเราอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ซึ่งท่านก็เป็นผู้ใหญ่ (อย่างคุณพ่อผมท่านเป็นรองกรรมการที่การบินไทย แต่เกษียณมา 10 กว่าปีแล้ว) ได้มีโอกาสเจอกับเพื่อนๆ คุณพ่อ ทำให้ผมได้เรียนรู้ว่าเวลาอยู่กับผู้ใหญ่ต้องปฏิบัติตัวอย่างไร เพราะลูกค้าของผมมีตั้งแต่คุยกับเลขาฯ ผู้บริหารไปจนถึงดีลกับผู้บริหารระดับสูง แต่ข้อเสียคือ พอเจอวิกฤตโควิด-19 ผมกับพี่สาวซึ่งทำงานอยู่การบินไทย ได้รับผลกระทบเต็มๆ ทั้งคู่ (หัวเราะ)
แต่ถ้าเป็นลูกค้าสายเอนเตอร์เทนเมนต์ อย่างเวลามีศิลปินระดับโลกมาเข้าพักที่โรงแรม เขาจะมีไบเบิลเป็นเล่มมาเลยว่า ทางโรงแรมต้องเตรียมอะไรให้บ้าง เช่น น้ำดื่มยี่ห้ออะไร เทียนหอมต้องกลิ่นนี้ ยาสีฟันยี่ห้ออะไร ตื่นเช้ามาต้องมีมะนาว 3 สไลด์วางอยู่ข้างเตียง หรือบางทีผู้จัดการศิลปินก็อาจจะมีรีเควสว่า ให้ทางโรงแรมช่วยเป็นหูเป็นตา ไม่ให้ศิลปินสั่งเครื่องดื่มแอลกฮอล์ หรือออกจากห้องพักก็มี
ร่วม 13 ปีแล้วที่ผ่านร้อนผ่านหนาวในสายงานที่รัก แจ็กเล่าอย่างออกรสว่า ผ่านมาแล้วทุกรสชาติ จนมาถึงวิกฤตโควิด-19 นี้ ที่ถือได้ว่าหนักหนาที่สุด ไม่เคยคาดคิดว่าจะเกิดอะไรแบบนี้ขึ้น
“ผมอยู่ในวงการมาสิบกว่าปี ไม่เคยเจออะไรแย่แบบนี้ เพื่อนร่วมงานหลายคนที่อยู่มานานกว่าผม ก็บอกว่าเป็นครั้งแรกเหมือนกัน ช่วงแรกๆ ที่หยุดอยู่บ้าน ยังคิดบวกว่า ไม่นานสถานการณ์ก็คงกลับมาปกติ แต่ตอนนี้ผมคิดว่าต้องใช้เวลาไม่น้อยกกว่า 2 ปี คนถึงจะกลับมาเริ่มเดินทาง มีวัคซีนให้ใช้ ยอมรับครับว่า มีช่วงที่เครียดมากจนคิดว่าหรือต้องหาสายงานใหม่ เพราะจากที่เราเคยขายห้องพักได้ดี พอไม่มีการเดินทาง ยอดแทบจะกลายเป็นศูนย์ ถึงจะปรับตัวไปหาลูกค้าบริษัทใหญ่ๆ ในไทย ให้มาเข้าพักที่กรุงเทพฯ แต่ก็ค่อนข้างยากเพราะหลายปัจจัย โดยเฉพาะ ราคา สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือ ปรับตัว นำเสนอบริการใหม่ๆ ทำอะไรได้ก็ต้องช่วยกัน ฝ่ายมาร์เก็ตติ้งอย่างเราก็ต้องช่วยมองหาช่องทางหารายได้ เช่น การส่งทีมแม่บ้านของโรงแรมไปทำความสะอาดข้างนอก มีการปรับโครงสร้างภายใน อย่างผมเอง ด้วยความเป็นสายฟู้ดเลิฟเวอร์ก็ถูกโยกให้ไปช่วยทำการตลาดให้แผนก F&B ของห้องอาหาร เป็นต้น”
อย่างไรก็ตาม แจ็กยังเชื่อในความแข็งแรงของแบรนด์ “แกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ” บวกกับจุดเด่นเรื่องบริการและโลเกชั่น “กรุงเทพฯ ยังเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางธุรกิจในภูมิภาค มีนักธุรกิจจากหลายประเทศเดินทางมาเยอะไม่แพ้สิงคโปร์ ถึงจะมีโรงแรมใหม่ๆ เปิดตลอด ก็ยังไม่ถือว่าโอเวอร์ซัพพลาย ที่น่ากลัวกว่าคือ วิถี New Normal ที่ทำให้มีการนำเทคโนโลยี อย่าง Zoom เข้ามาใช้ในการประชุมทางไกล อาจส่งผลกระทบระยะยาว ทำให้การเดินทางมาประชุม หรือเดินทางเพื่อธุรกิจลดลงจนหายไปเลย”
ถามว่าอะไรคือเสน่ห์ของงานโรงแรม โดยเฉพาะ สายงานขาย แจ็กตอบชัดว่า ได้เปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ตลอดเวลา เจอคนที่หลากหลาย “เราเป็นคนชอบพูด ชอบพบเจอผู้คน อย่างถ้าเจอลูกค้าเงียบก็ต้องคิดหาวิธีรับมือ ในทางกลับกัน ถ้าเจอลูกค้าพูดเยอะเราก็ต้องเปลี่ยนมาเป็นคนฟังเยอะ เป็นความท้าทาย แต่ละวัน เราไม่รู้ว่าจะเจอลูกค้าแบบไหน ไม่จำเจ บางครั้งก็เจอลูกค้าดีเวอร์ บางครั้งก็เหวี่ยงเราก็ต้องนิ่ง ค่อยๆ ดูและแก้ไขสถานการณ์ ผมชอบและมีความสุขกับอาชีพนี้มาก ได้อยู่กับสิ่งที่ชอบ อย่าง ความเนี้ยบ การบริการมาตรฐานสูง และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของตัวผม ที่ชอบเป็นเมือง เสียงสี ทันสมัย ชอบความวุ่นวายแบบเมืองใหญ่ ถ้าให้ทำงานอะไรคนเดียว แบบอยู่เงียบๆ ก็คงจะไม่มีความสุข”
มาถึงกิจกรรมยามว่าง “ถ้ามีเวลาผมก็พยายามไปออกกำลัง เพราะอายุมากขึ้นก็ยิ่งต้องดูแลทั้งรูปลักษณ์และสุขภาพให้ดูดี แต่ผมไม่ใช่สายบ้าออกกำลังกาย ไม่ไปแล้วหงุดหงิด ไปทางชอบกิน โดยเฉพาะ อาหารไทย อาหารอิตาเลียน เวลาเห็นร้านใหม่ๆ ในไอจีหรือตามเพจ ก็โทร.ชวนเพื่อนไปลอง ยิ่งช่วงโควิด-19 มีร้านสวยๆ ดีๆ เปิดเยอะ ส่วนไลฟ์สไตล์การเดินทาง ผมไปได้ทุกแนวแต่ที่อยากไปและยังไม่มีโอกาสได้ไปคือ อเมริกาใต้ อยากไปเปรู ไปศึกษาอารยธรรมโบราณ สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ที่เคยไปมาแล้วชอบมากคือ ตอนที่ได้ไปขี่อูฐข้างพีระมิดที่อียิปต์ เป็นอะไรที่ไม่น่าเชื่อเลย เราได้มาเห็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก พอไปตามอ่านประวัติศาสตร์ความเป็นมายิ่งรู้สึกหลงใหล อาจจะดูขัดแย้งในความเป็นคนที่ชอบอะไรที่ดูโมเดิร์น แต่ผมชอบแนวนี้”
แจ็กยังบอกด้วยว่า ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ เขาไปสายเที่ยวตามสะดวกตามวันว่างจะเอื้ออำนวย แต่เฉลี่ยจะมีทริปต่างประเทศปีละ 2-3 ครั้ง ไม่รวมทริปทำงานที่ต้องเดินทางไปหาลูกค้าที่สิงคโปร์และฮ่องกงเป็นประจำ ทริปส่วนใหญ่จะไปกับเพื่อน เพราะคุณพ่อคุณแม่ก็มีทริปไปกับเพื่อนๆ แต่ที่แน่ๆ คือ แจ็กไม่ขอเที่ยวคนเดียวเด็ดขาด เพราะชอบความครึกครื้น
“อย่างปีนี้ ได้นั่งเครื่องบินไปแค่เชียงใหม่ แล้วก็ไปหัวหิน พัทยา (หัวเราะ) เวลานั่งดูคลิปเมืองนอกก็คิดว่าน่าไปจัง แต่ก็ปลอบใจตัวเองว่า ถ้าไปแล้วไม่ปลอดภัย อย่าไปเลย หรือถ้าต้องลาเป็นเดือนเผื่อเวลากักตัว แต่ได้เที่ยวแค่ไม่กี่วัน สู้อดใจไว้ก่อน แล้วใช้โอกาสนี้เที่ยวเมืองไทยแทนดีกว่าครับ”
ไหนๆ ก็ชวนคุยเรื่องเบาๆ แล้ว ถือโอกาสปิดท้ายด้วยสไตล์การแต่งตัว แจ็กบอกว่าไม่ได้มีแบรนด์ประจำ แต่ชอบสไตล์เรียบๆ คุมโทนสีเข้มๆ อย่าง สีดำ ขาว กรมท่า เน้นความเนี้ยบของคัตติ้ง “ไม่ใช่เฉพาะที่ใส่ทำงานนะครับ เพราะถ้าเวลาไปเที่ยว ผมก็ไม่ได้เป็นสายที่แต่งตัวสีฉูดฉาด แต่จะเน้นความเป๊ะ สีคุมโทนเข้มเท่านั้นครับ”
เรียกว่าเป็นคนหนุ่มที่คีฟลุคเนี้ยบและเป๊ะได้ไม่มีตกหล่น เหมือนกับตัวเขาเองที่แม้จะแตกแถวจากธุรกิจการบิน มาทำงานโรงแรม แต่ก็ยังเป็นลูกไม้ใต้ต้นที่โลดแล่นในสายงานบริการ