Celeb Online

“ศรัณย์ภัค เพ็ญชาติ” กับครอบครัวนักเดินทาง พ่อ-แม่-ลูก ไปไหนไปกัน!


วันนี้ พามาเกาะติดไลฟ์สไตล์ครอบครัวนักเดินทาง ของ “อ้อมแอ้ม-ศรัณย์ภัค เพ็ญชาติ” ที่มีผู้นำครอบครัว อย่าง “ศรัณย์ และ ณัฏฐกา เพ็ญชาติ” 3 คน พ่อ-แม่-ลูก ได้ชื่อว่าเป็นสิงห์นักเที่ยวครอบครัวหนึ่ง


ปัจจุบันคุณพ่อศรัณย์ในวัยกึ่งเกษียณ 67 ปี ที่ยังคงทำงานอยู่ แต่ก็ยังมีความสุขกับชีวิตที่มีเวลามากขึ้น ได้ไปเที่ยวมากขึ้น บอกว่า “เวลาไปเที่ยว ถ้าเป็นทริปครอบครัวไปกับภรรยาและลูก ลูกจะเป็นคนวางแผนทั้งหมด แต่บางครั้งก็มีจะทริปที่ไปกับเพื่อนนักเรียน ซึ่งตอนนี้ส่วนใหญ่ไม่ได้ทำงานกันแล้ว”

ส่วนคุณแม่ไม่ต้องพูดถึง ด้วยอาชีพแอร์โฮสเตสของคุณแม่ ทำให้ได้เดินทางไปแล้วเกือบทั่วโลก


สำหรับอ้อมแอ้มนั้น เธอเล่าว่า “ทริปของแอ้มมีทั้งทริปที่ไปกับเพื่อนสนิท ที่อักษรฯ กับจิตรลดา ซึ่งเราไปเที่ยวทั้งในและต่างประเทศด้วยกัน แต่ถ้าเมื่อไหร่เป็นช่วงหยุดยาว เป็นอันรู้กันว่าไม่ต้องนัดแอ้ม เพราะต้องไปเที่ยวกับพ่อแม่ ปกติเราจะมีทริปประจำปีไปกับอีกครอบครัวหนึ่ง ซึ่งเราสนิทมากทั้งที่ไม่ได้เป็นญาติกัน แต่เรามีรสนิยมการเที่ยวใกล้เคียงกัน แรกๆ ก็เริ่มจากทริปญี่ปุ่น จนตอนหลังไปยุโรป ล่องเรือ อย่าง สงกรานต์ที่ผ่านมา จริงๆ เรามีแผนไปจอร์เจียกัน พ.ย.นี้ ก็มีแผนไปฟินแลนด์ แต่พอโควิด-19 มาก็ต้องเลื่อนไปเป็นปีหน้า ซึ่งหวังว่าเราจะได้ไป(ยิ้ม)”


ในฐานะที่ไปเที่ยวมาเยอะ ตะลุยมาหลายเดสติเนชัน ถ้าให้เลือกทริปที่ประทับใจที่สุด ทั้งสามลงความเห็นเป็นเอกฉันท์ ยกให้ทริปล่องทะเลเมดิเตอร์เรเดียนเป็นเวลา 2 อาทิตย์ ซึ่งแพ็กกระเป๋าไปเมื่อ ก.ค.ปีที่แล้ว

“ทริปนั้นเราไปใช้ชีวิตบนเรือ กลางวันลงเรือมาเช่ารถตู้ที่จอดอยู่แถวท่าเรือให้พาไปเที่ยวสถานที่ต่างๆ พอถึงเวลาก็พากลับมาส่งที่เรือ นอนบนเรือล่องไปเรื่อยๆ จากโรมไปจบที่สเปน แวะกรีซ อิตาลี ได้ไปมอนเตเนโกร เป็นประเทศที่เราไม่เคยไปมาก่อน เป็นอะไรที่ประทับใจมาก” ทั้งสามช่วยกันเล่าและวาดภาพความประทับใจให้เห็นราวกับเพิ่งกลับจากทริปเมื่อวาน พร้อมเสริมแผนการเดินทางในปีนี้ว่า ด้วยสถานการณ์ที่ไม่อำนวยปีนี้คงต้องพับแผน กลับมาเที่ยวเมืองไทย ซึ่งสวยไม่แพ้ประเทศใดในโลกไปก่อน


“ถ้าต่างประเทศ ให้แม่เขาตัดสินใจ เราเดินตาม ถ้าเมืองไทย เราวางแผนกับลูกก่อน เพราะลูกเป็นคนยุติธรรม ไม่เข้าข้างพ่อหรือแม่ ดังนั้น คำตัดสินของแอ้มเป็นที่สิ้นสุด นานๆ ทีอาจจะมีไปล็อบบี้ก่อน เช่น การเลือกโรงแรม ถ้าไปใต้ ผมจะเลือกโรงแรมที่อยู่เนินเขา เพราะเผื่อเกิดสึนามิ ล่าสุด ไปเกาะยาวน้อย ภูเก็ต สวยและถูก อาหารถูกปาก นักท่องเที่ยวไม่เยอะ” คุณพ่อเล่าอย่างมีความสุข

“พอเจอโควิด-19 ไปไหนไม่ได้ คราวนี้ใช้ชีวิตติดกันเหมือนตังเม อ้วนขึ้นทุกคน ยกเว้นแอ้ม เพราะตื่นเช้ามาเราก็ถามกันแล้วว่า จะกินอะไร ซึ่งถึงเราจะไม่ได้เข้าครัว แต่ก็ไม่อด เพราะช่วงนั้นมีลูกเรือหารายได้พิเศษ ทำอาหารขายเยอะมาก เราก็ช่วยอุดหนุนเต็มที่ จนอาหาร-ขนมเต็มตู้เย็น พอมีเวลาว่างก็ออกกำลัง เลือกคนละมุมในบ้าน เพราะอย่างคุณพ่อเขาจะวิ่งลู่ ส่วนแอ้มเขาดูคลาสออกกำลังกาย” คุณแม่ช่วยฉายภาพชีวิตช่วงโควิด-19


“ช่วงนั้น ออกกำลังกายเยอะมาก ออกทุกวัน วันละ 2-3 ครั้ง พอคลายล็อกดาวน์ ไม่รู้สึกอ้วนขึ้นเรื่อย เพราะกินเยอะ ออกกำลังกายเยอะ แข็งแรงขึ้นด้วย” แอ้มเสริมก่อนคุณแม่จะแซวว่า “ตอนเด็กๆ เขาอ้วนมากจนไม่คิดว่าจะผอมได้ (หัวเราะ) กินเสร็จนอน เวลาพาไปกินแฮมเบอร์เกอร์ก็เลือกชิ้นใหญ่ ๆ กินก๋วยเตี๋ยวก็ขอ 2 ชาม จนเรียนอยู่ ป.5- ป.6 ก็อ้วนอยู่ มีวันหนึ่งกลับมาบ้านร้องไห้ เจอเพื่อนบอกว่า เธอสวยนะแต่อ้วนไปหน่อย เลยเป็นแรงบันดาลใจให้ลุกขึ้นมาลดน้ำหนัก ทั้งที่พ่อแม่ไม่เคยบอกให้ลด เขาคิดเองทำเอง

สมัยก่อนเราจะไปกินข้าวที่บ้านคุณปู่ พอญาติๆ เห็นว่า แอ้มกินผลไม้แทนข้าว ทุกคนก็หาว่าพ่อแม่บังคับ พอทำไปเรื่อยๆ เริ่มผอม ญาติๆ ก็บอกว่าไม่ต้องลดแล้ว แต่ตอนนั้นแอ้มก็ไม่ฟัง เพราะมีเป้าในใจว่าอยากลดน้ำหนักให้เหลือเท่าไหร่ ยังกินผลไม้แทนอาหารเย็น ทำการบ้านเสร็จก็ไปว่ายน้ำ ที่บ้านไปกินบุฟเฟต์ ก็กินแต่ผลไม้ จำได้เลยว่า มีครั้งหนึ่ง นั่งกินผลไม้ในร้านบุฟเฟต์แล้วก็ร้องไห้ จนทุกคนหาว่าเราบังคับลูก ความจริงคือไม่เคย” คุณแม่เล่าอย่างอารมณ์ดี จนคุณพ่อทนไม่ไหว ต้องเสริม


“เขาเป็นคนมีระเบียบ มีความรับผิดชอบ จะเรียกว่าเป็นโชคดีของพ่อแม่ก็ได้ เรียนหนังสือก็ไม่ต้องเคี่ยวเข็ญ พอเป็นวัยรุ่นจะไปเที่ยวกลับตี 1 ตี 2 ก็ให้พ่อไปรับ ซึ่งเขาก็ไม่ได้เที่ยวบ่อย บางทีมาขอไปก็กลับมาเร็วจนแม่เขายังแปลกใจ ยังไม่ทันเข้านอนเลย ที่สำคัญเพื่อนๆ ที่ไปด้วยเราก็รู้จักหมด”