Celeb Online

“อภิชาต สนิทวงศ์ ณ อยุธยา” สตาร์ทอัพรุ่นใหม่ที่น่าจับตามอง


นับตั้งแต่การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) มาเยือน พาให้หลายธุรกิจซึมๆ ชะลอการลงทุนเพื่อรอดูทิศทางตลาด แต่สำหรับคนหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรงที่มีหัวธุรกิจ อย่าง “โตโต้-อภิชาต สนิทวงศ์ ณ อยุธยา” กลับคิดต่าง เลือกฉวยวิกฤตให้เป็นโอกาสซุ่มปลุกปั้น 2 ธุรกิจใหม่


นำร่องเปิดตัวแบบซอฟต์ๆ ไปก่อน สำหรับร้าน Bangkok View ร้านนั่งชิลในย่านท่องเที่ยวยามค่ำคืน อย่าง ถนนข้าวสาร กับอีกธุรกิจที่เพิ่งจะเปิดตัวคือ แอปพลิเคชัน Snapo มาร์เก็ตเพลสที่รวมช่างภาพหลากแนวหลายสไตล์ ไว้ตอบโจทย์เจ้าของธุรกิจที่มองหาช่างภาพ มาพร้อมจุดเด่นคือ คิดค่าบริการเป็นรายชั่วโมง เบื้องหลังแนวคิดสวนกระแสของโตโต้จะเป็นอย่างไร หนุ่มหล่อมีคำตอบพร้อมให้ค้นหา

“ผมอยากทำธุรกิจส่วนตัวอยู่แล้ว หลังจากเรียนจบจากอเมริกา ผมไปหาประสบการณ์การทำงานที่ บริษัท บุญรอด บริวเวอรี ก่อนจะออกมาเรียนต่อ MBA ที่ศศินทร์ ด้านผู้ประกอบการ ควบคู่กับการปลุกปั้นธุรกิจส่วนตัว ซึ่งเดิมมีแค่แอปฯ ส่วนร้าน Bangkok view ไม่ได้วางแผนไว้แต่ต้น แต่เกิดจากมีผู้ใหญ่ที่เป็นเจ้าของตึกที่ตั้งร้านชักชวนให้มาทำโปรเจกต์ด้วยกัน ก็เลยตัดสินใจมาทำร้าน ซึ่งตั้งอยู่ชั้น 6 และดาดฟ้าของตึก”


คอนเซ็ปต์ของร้านคือ ยังคงกลิ่นอายความเป็นข้าวสาร แต่ให้ความรู้สึกที่แตกต่าง “ผมตั้งใจให้ร้านนี้เป็นร้านอาหารที่นั่งชิล มานั่งชมวิว กินบรรยากาศ มากกว่าเป็นร้านเหล้า แต่ยังคงกลิ่นอายบรรยากาศความเป็นข้าวสาร ย่านที่เต็มไปด้วยแสงสี สะท้อนผ่านการตกแต่งร้านให้มีความดิบ มีการใช้พวกงานแฮนด์เมดมาตกแต่ง นำเสนอบริการที่มาแล้วชวนให้ประทับใจ”

เพิ่งเปิดตัวได้ไม่กี่เดือน แต่โตโต้บอกว่า “แนวโน้มโอเคเลยครับ ศุกร์-เสาร์เต็มตลอด วันธรรมดาก็มีลูกค้าที่วอล์กอินเข้ามาบ้าง แต่ไม่เยอะ ตอนนี้ร้านยังอยู่ในช่วง Test Run ไม่ได้เรียบร้อย 100% ที่สำคัญยังไม่ได้โปรโมทเต็มตัว แค่เริ่มทำการตลาดออนไลน์ไปบ้าง ซึ่งกระแสตอบรับค่อนข้างดี”


ถามว่าทำไมเลือกเปิดธุรกิจในช่วงที่หลายๆ คนเลือกที่จะแตะเบรก “ผมมองว่า ช่วงวิกฤตแบบนี้ ถ้าเราใจกล้านิดหนึ่ง อาจจะเห็นโอกาสว่ามีอะไรที่น่าทำหลายอย่างที่รู้ๆ ช่วงนี้หลายคนพยายามหางาน ก็เป็นโอกาสที่เราจะได้คนดีๆ มาร่วมงาน ผู้รับเหมาก็อยากได้งาน คนก็อยากขายของ ดังนั้น เริ่มตอนนี้ แม้ตลาดจะเงียบๆ แต่ในเชิงการลงทุน ช่วยลดต้นทุนหลายอย่างเลยครับ”

“แม้ผมจะเติบโตในครอบครัวที่ทำธุรกิจร้านอาหาร และเคยมีประสบการณ์ทำงานที่บุญรอดฯ แต่ก็ยังต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะ เพราะการเปิดร้านอาหารไม่ได้มีสูตรสำเร็จ กระบวนการบางอย่างอาจจะคล้ายกัน แต่ลูกค้า ทำเล และตัวร้าน ย่อมมีความแตกต่าง ยกตัวอย่าง ร้านผมอยู่ชั้น 6 และดาดฟ้า แต่ครัวอยู่ชั้น 1 ซึ่งการบริหารจัดการไม่เหมือนกับร้านที่มีครัวอยู่ข้างหลังอยู่แล้ว แต่อย่างน้อยการมีชั่วโมงบิน เรามีประสบการณ์ ก็ช่วยเซฟเราจากปัญหาที่จะเกิดได้เยอะ เช่น เรื่องต้นทุน ซัพพลายเออร์ที่เรารู้จัก”


โตโต้ยังเสริมด้วยว่า ตอนเริ่มทำงานที่บุญรอดฯ เขาเริ่มจากการเป็น Business Development ดูแลลูกค้าต่างชาติ และร้านอาหารที่เชียงราย ดูส่วนธุรกิจที่อยู่นอกเหนือจากกลุ่มบุญรอดฯ เน้นกลุ่มนักท่องเที่ยว จากนั้นย้ายเข้ามาอยู่ในทีมซัพพลายเชน เน้นด้านไอที ซึ่งเป็นสายงานที่สนใจ เพราะมองว่าเทรนด์โลกจะมาด้านนี้ และกลายเป็นตัวจุดประกายให้ลุกขึ้นมาพัฒนาแอปพลิเคชัน Snapo

“จริงๆ ธุรกิจนี้วางแผนมาเป็นปีแล้ว ตั้งใจจะเปิดตัว เม.ย.ที่ผ่านมา แต่ติดโควิด-19 เลยเลื่อนมาเป็น พ.ย.นี้ เพราะคิดว่าเป็นช่วงหมดหน้าฝนเข้าหน้าหนาว คนเริ่มเที่ยว ธุรกิจเริ่มกลับมาเปิดอีกครั้ง จุดเด่นของแอปฯ คือ เป็นตัวกลางระหว่างเจ้าของกิจการโดยเฉพาะ เอสเอ็มอี ที่ต้องการช่างภาพมืออาชีพในราคาที่เอื้อมถึง ช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา จะเห็นว่าหลายคนมาเปิดร้านขายเสื้อผ้า คาเฟ่ ร้านอาหารเล็กๆ เพราะฉะนั้น แทนที่จะจ้างช่างภาพด้วยงบหลักหมื่น เราช่วยประหยัดต้นทุนด้วยการนำเสนอช่างภาพที่คิดค่าบริการเป็นรายชั่วโมง พูดง่ายๆ มีเสื้อผ้า 2 ชุดก็ถ่ายรูปได้ ไม่ต้องรอเป็นคอลเลกชันแล้วถ่ายทีเดียว”


นอกจากนี้ ช่างภาพที่อยู่ในฐานข้อมูลยังมีหลากหลายแนว ถ่ายได้ทั้งงานอีเวนต์ สินค้า โอกาสสำคัญ มีพอร์ตให้ดูประกอบการตัดสินใจ โดยในช่วงเริ่มต้นจะโฟกัสกรุงเทพฯ ก่อน

งานนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่า โตโต้เอาจริงเอาจังกับสองธุรกิจนี้แค่ไหน เพราะออกตัวเลยว่า ลงทุนขายรถซูบารุ มาลงทุนพัฒนาแอปฯ แล้วยังขอยืมเงินคุณแม่มาอีกก้อน ซึ่งเจ้าตัวหมายมั่นว่าจะต้องคืนเงินก้อนนี้ให้คุณแม่แน่นอน เพราะอยากได้ชื่อว่า ปลุกปั้นธุรกิจด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองจริงๆ