ใครจะคิดว่า จากไลฟ์สไตล์ชื่นชอบตระเวนกินของอร่อยของคู่เพื่อนซี้ อย่าง “ไท้-วสุวัส คูหาเปรมกิจ” ทายาทเจ้าของธุรกิจขายส่งทองรูปพรรณ ห้างทองจิ้นไถ่เฮงของครอบครัว รวมถึงศูนย์ค้าทองคำแท่ง GCAP GOLD กับ “อิน-สาริน รณเกียรติ” นักแสดงหนุ่มทายาทธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่เข้ามาชิมลางในหลากหลายธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น แบรนด์เสื้อผ้า hye everyday แบรนด์เครื่องประดับ unisex อย่าง hye Bangkok รวมถึง Community Mall อย่าง OURS ย่านเจริญนคร เมื่อโคจรมาเจอกันแล้ว จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจใหม่ อย่าง แบรนด์ “Holiday Pastry” ร้านขนมและ All Day Dining ที่เปิดตัวมา 3 ปีทำรายได้หลักร้อยล้าน
“เราเป็นคนชอบกินทั้งคู่ครับ เลยชอบชวนกันไปตระเวนกินของอร่อยทั่วไทยและทั่วโลก เวลาไปเจอขนมอร่อยๆ ก็จะชอบซื้อกลับมาฝากคนรู้จัก หรือแนะนำให้ไปกินตาม ซึ่งส่วนใหญ่ใครก็ตามที่ได้ขนมที่เราซื้อมาฝาก หรือตามไปร้านที่เราแนะนำ ก็จะชอบ พอเป็นแบบนี้บ่อยๆ เลยทำให้รู้สึกว่า ลิ้นของเราอาจจะตอบโจทย์ความอร่อยของคนส่วนใหญ่ (หัวเราะ)” อินเล่าถึงไลฟ์สไตล์โปรดของทั้งคู่ก่อนเสริมต่อว่า
“อินชอบกินขนมมาก ถึงขนาดกินได้ทั้งวัน บางครั้งกินขนมก่อนของคาวด้วยซ้ำ เพราะพื้นที่ในท้องมีจำกัด เลยกลัวว่าจะกินขนมได้น้อย เลยเลือกที่จะกินขนมก่อนซะเลย (หัวเราะ)”
ด้วยความที่เป็นสายกินบวกกับสนใจในธุรกิจขนมอยู่บ้าน พอเห็นช่องว่างของตลาดร้านขนมในไทย ทั้งคู่จึงตัดสินใจเปิดร้านขนมออนไลน์ เมื่อ 3 ปีก่อน
“ย้อนไปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว เรามองว่าประเทศไทยยังมีโอกาสอีกเยอะ สำหรับผู้เล่นที่เป็นร้านขนม เพราะถ้าเปรียบเทียบกับในต่างประเทศ จะเห็นว่ามีผู้เล่นที่เป็นเอสเอ็มอีหรือร้านขนมเยอะมาก ผิดกับเมืองไทยที่ยังมีร้านขนมค่อนข้างน้อย เลยคิดว่าจะเอาดีในธุรกิจนี้” ไท้เสริม
ส่วนเหตุผลที่ตั้งชื่อว่า Holiday Pastry เพราะทั้งคู่เห็นพ้องว่า อยากให้ร้านขนมแห่งนี้เป็นตัวแทนของช่วงเวลาดีๆ ที่เต็มไปด้วยความสุขเหมือนช่วงวันหยุด เลยเลือกใช้คำว่า Holiday ส่วน Pastry เพื่อสื่อถึงการเป็นร้านขนมหวาน และเลือกใช้สีโทนอุ่นอย่าง สีเหลือง เพื่อสื่อถึงช่วงเวลาแห่งการพักผ่อน
“คอนเซ็ปต์ของแบรนด์เราคือ วันพักผ่อน เราเลยเลือกใช้สีเหลือง ที่ให้ความรู้สึกสบายๆ และยังเข้ากับขนมและอาหาร ที่สำคัญ พอไปเซอร์เวย์แล้ว ยังไม่มีผู้เล่นไหนในตลาด ที่หยิบสีเหลืองมาใช้เป็นสีของแบรนด์อย่างจริงจัง ส่วนธีมในการออกแบบทั้งอาหารและขนม เราเลือกหยิบไอเดียเจ๋งๆ จากทั่วโลกมานำเสนอ เลยจำลองบรรยากาศร้านให้เป็นเสมือนล็อบบี้ของโรงแรม ที่พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก”
อย่างไรก็ตาม แม้จะดูเหมือนว่า ทุกอย่างถูกวางแผนมาอย่างดี แต่อินบอกว่า ตอนที่คิดจะลุยธุรกิจขนม กลับไม่ได้ใช้เวลาเตรียมการนาน โดยเริ่มจากการเปิดพรีออเดอร์ทางออนไลน์ โปรโมทผ่านอินสตาแกรม พร้อมเปิดไลน์แอดเพื่อรับออเดอร์
“ผมโชคดีที่ครอบครัวผมมาทางด้านค้าขายอยู่แล้ว ทำให้เรามีแพสชั่น บวกกับได้มีโอกาสไปทำงานในองค์กรใหญ่ ทำให้เข้าใจเรื่องการวางระบบ ดังนั้น พอเราเห็นแล้วว่าธุรกิจไปได้ เราก็เริ่มวางไดเรกชันให้กับแบรนด์ ทำ 5-Year Plan โดยแบ่งหน้าที่กันชัดเจน อินจะดูด้าน Branding และ Marketing ส่วนผมจะดูด้าน Product, Operation และ Business Development เพื่อดูว่าโอกาสของธุรกิจจะมีอะไรบ้าง มีโอกาสอะไรใหม่ๆ ให้กับแบรนด์และบริษัท”
หลายคนอาจจะสงสัยว่า แล้วจากเพื่อนซี้พอมาทำธุรกิจด้วยกัน มีความกังวลหรือไม่ว่าจะกระทบกับมิตรภาพ
สำหรับเรื่องนี้ อินมองว่า ที่ผ่านมาเขาเคยชินกับการทำงานกับพาร์ตเนอร์หลายๆ คน บวกกับเป็นคนที่เชื่อใจใครแล้ว จะไม่หวั่นไหวหรือกลัวว่าจะผิดพลาด เหมือนกับการเสิร์ฟขนมให้ลูกค้า ก็มั่นใจว่าได้คัดสรรสิ่งที่ดีที่สุดมาแล้ว
ขณะที่ ไท้มองว่า การสื่อสารและความไว้ใจเป็นเรื่องที่สำคัญ “เราค่อนข้างให้ความสำคัญกับการสื่อสาร อย่างเวลาที่ต้องตัดสินใจเรื่องอะไรก็ตาม เราจะเคารพในบทบาทของอีกฝ่าย หรือถ้าเป็นเรื่องที่ต้องตัดสินใจร่วมกัน เราจะดูว่ามีมุมมองไหนบ้างแล้วนำมาคุยกัน”
อย่างไรก็ตาม แม้เส้นทางของการทำธุรกิจไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่ทั้งคู่ไม่ได้มองว่าปัญหาคืออุปสรรค แต่มองว่าเป็นชาเลนจ์หรือความท้าทาย
“เรามองว่าปัญหาคือสิ่งที่ต้องเจออยู่แล้ว แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือการนำปัญหาที่เจอมาเรียนรู้ พยายามวิเคราะห์ว่าปัญหาเกิดจากอะไร แล้วหาโซลูชันพร้อมกับหาทางป้องกัน ไม่ให้เกิดปัญหาแบบเดียวกันอีกในอนาคต พูดง่ายๆ ว่า เรายินดีที่จะเจอกับปัญหา แต่จะแก้ไขอย่างไรเพื่อให้ไม่เกิดซ้ำมากกว่า”
ปิดท้ายด้วยเป้าหมายที่ทั้งคู่วางไว้ อินบอกว่า “เราทุ่มเทแรงกายแรงใจกับร้านนี้ อยากให้แบรนด์เป็นที่รักและไว้ใจ ดีใจทุกครั้งที่ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ และวางใจให้เราเข้าไปอยู่ในหลายๆ โอกาสสำคัญและพิเศษของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็น วันเกิด หรือวันไหว้พระจันทร์”
ส่วนเป้าหมายระยะยาวคือ การขยายธุรกิจให้เป็นมากกว่าแบรนด์ร้านอาหารหรือขนม “ในอนาคต Holiday Pastry จะเป็น 1 ในแบรนด์ในกรุ๊ป ในปีนี้จะเห็นว่า นอกจากเราจะขยายสาขาเข้าศูนย์การค้า เรายังขยายออฟฟิศ ครัวกลาง พร้อมขยายสาขาแรกที่เจริญนคร เป็นแฟล็กชิปที่มีพื้นที่ร่วม 400 ตร.ม. และปีหน้าจะเปิดตัวแบรนด์ใหม่ 3-4 แบรนด์ รวมไปถึงมีไอเดียจะนำแบรนด์จากต่างประเทศเข้ามาอีกด้วย” ไท้กล่าวทิ้งท้าย