ลำพังธุรกิจใน เครือซัมมิท กรุ๊ป มูลค่ากว่าหมื่นล้านบาท ที่ “ณัฐ-ณัฐพล จุฬางกูร” ดูแลทั้งบริหารธุรกิจสนามกอล์ฟ โรงแรม โรงเรียนนานาชาติ Berkeley และอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน ก็ว่ามากแล้ว แต่ใครจะรู้ว่า หนึ่งในธุรกิจในฝันที่ณัฐมีแพสชั่นว่าอยากทำมาตลอดคือ ธุรกิจบันเทิง ถึงขั้นขอทำตามหัวใจ ด้วยการเลือกเรียนปริญญาตรี คณะนิเทศศาสตร์ เอกวิทยุ โทรทัศน์ มหาวิทยาลัยรังสิต ก่อนจะลัดฟ้าไปเรียนต่อด้านบริหารธุรกิจ ที่ซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา เพื่อกลับมาสานต่อธุรกิจครอบครัว
เก็บงำความฝันมากว่า 15 ปี ในที่สุด จังหวะและโอกาสก็ลงตัว ณัฐจึงตัดสินใจใช้เงินลงทุนส่วนตัวร่วมร้อยล้าน เพื่อเปิด บริษัท แอคท์ แทรคชั่น จำกัด ทำธุรกิจด้านบันเทิง โดยแท็กทีมกับ วีเจเอก-รัฐวิชญ์ พีระศราโรจน์ และครูล๊อต จิรันธนิน-ปานประเสริฐโชค ซึ่งคร่ำหวอดในวงการบันเทิงมาอย่างยาวนาน
“ผมชอบธุรกิจบันเทิงมาตั้งแต่สมัยเรียน เลือกเรียนสาขานิเทศศาสตร์ สมัยเรียนก็ได้ลองทั้งงานเบื้องหน้าและเบื้องหลัง จนพบว่า ลึกๆ ผมไม่ได้อยากเป็นนักแสดง หรือวาดภาพตัวเองว่าต้องเป็นพระเอก แต่ผมสนุกกับการทำงานเบื้องหลัง อยากสร้างหนัง หรือไม่ก็เป็นผู้จัดละคร แต่ตอนนั้นผมรู้ดีว่า อนาคตผมต้องมากลับมาสานต่อธุรกิจ เลยอยากทำตรงนั้นให้ดีก่อน ทั้งที่ผ่านมาก็มีคนมาชวนตลอดว่า ให้มาทำธุรกิจบันเทิง แต่ก็ปฏิเสธมาตลอด จนพอหลังโควิด-19 หลายอย่างเริ่มลงตัว เลยตัดสินใจมาทำธุรกิจที่คาใจมานานว่าอยากทำ”
แม้จะเป็นอีกก้าวสำคัญของการพลิกบทบาทผู้บริหารของณัฐ แต่เจ้าตัวบอกว่า มีความสุขและสนุกกับก้าวใหม่ ที่ได้ใช้ทั้งความรู้และประสบการณ์ที่มี ควบคู่ไปกับการเปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ โดยเป้าหมายของณัฐในการปั้นธุรกิจใหม่ คือ อยากจะนำผลงานของคนไทยไปสู่สายตาชาวโลก โดยจะเน้นเสิร์ฟคอนเทนต์คุณภาพไปชิงส่วนแบ่งการตลาดในแถบจีน เกาหลี ญี่ปุ่น รวมถึงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก่อน
“จุดเด่นของเราคือ เราไม่ได้มองว่าเราทำคอนเทนต์เพื่อตอบโจทย์คนไทย เราต้องการสร้างมิติใหม่ให้กับวงการซีรีส์ สร้างสีสันให้ซีรีส์มีความแปลกใหม่ แหวกแนวมากขึ้น ไม่จำเจกับเนื้อเรื่องแบบเดิมๆ เพราะเราตั้งใจว่าจะส่งซีรีส์ออกไปเจาะตลาดต่างประเทศด้วย ดังนั้น ซีรีส์เรานอกจากจะเน้นเรื่องคุณภาพในการถ่ายทำ ความคมชัด เนื้อหาของซีรีส์ยังต้องแปลกใหม่แต่ตรงใจตลาดและผู้ชม
อย่าง ซีรีส์วายเรื่องแรกที่เราเพิ่งเปิดกล้องไปคือ LAPLUIE “ฝนตกครั้งนั้น ฉันรักเธอ” เรานำมาจากบทประพันธ์ที่ได้รับความนิยมจากคนอ่านกว่าล้านคน พล็อตเรื่องเล่าถึงคนที่เป็นโรคหูดับ และมีเพียงคู่แท้ที่จะได้ยินเสียงกันในวันฝนตก จะเห็นว่าแค่พล็อตก็แตกต่างจากซีรีส์วายในตลาด ที่ส่วนใหญ่เน้นชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย ที่เปิดเรื่องมาก็พอจะเดาทางได้ไม่ยาก โดยเรามีการแคสต์นักแสดงใหม่ ซึ่งผมก็ได้ไปช่วยแคสต์ ไปดูกองถ่าย โดยซีรีส์เรื่องนี้กำหนดจะออกอากาศ ทางช่อง One 31 ช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 และยังมีแผนจะขายลิขสิทธิ์ละครเรื่องดังกล่าวไปต่างประเทศกว่า 10 ประเทศด้วย”
ณัฐยังเสริมด้วยว่า แม้จะเลือกเปิดตัวด้วยซีรีส์วาย แต่จริงๆ แล้วเขาไม่ได้โฟกัสว่าจะทำแต่ซีรีส์วายเท่านั้น แต่เปิดกว้างสำหรับซีรีส์แนวอื่นๆ ด้วย รวมทั้งตอนนี้ยังมีโปรเจกต์ที่ทำคู่ไปกับซีรีส์คือ ปั้นวง Boy Band 2 วง และ Girl Group 1 วง ตอนนี้อยู่ในช่วงฝึกซ้อมและทำเพลง ซึ่งทางบริษัทมีแผนจะส่งไปฝึกที่เกาหลีด้วย
แม้แพสชั่นจะมาเต็ม แต่เพราะไม่เคยลงมือทำธุรกิจบันเทิงมาก่อน แต่งานนี้ไม่ใช่ปัญหาเพราะอย่างที่รู้ว่า ณัฐมีเพื่อนสนิทในวงการบันเทิงไม่น้อย และยังเป็นเพื่อนสนิทกับ อั้ม-พัชราภา ไชยเชื้อ ซุปตาร์ชื่อดัง งานนี้ถ้าถามว่าเพื่อนๆ ให้คำแนะนำอย่างไร หลังเห็นเพื่อนรักผันตัวมาเป็นผู้บริหารค่ายและผู้จัดละคร
ณัฐตอบอย่างอารมณ์ดีว่า ส่วนใหญ่จะแซวและให้กำลังใจมากกว่า “เพื่อนๆ จะแซวว่างานหนักไม่พอหรือถึงมาทำธุรกิจเพิ่ม แถมยังเลือกธุรกิจที่หินพอควร เพราะต้องดูทุกรายละเอียด แต่เพื่อนๆ ก็น่ารักคอยซัพพอร์ตตลอด อย่างเวลาเราทำพล็อตละครออกมา ก็จะเอาไปให้ช่วยดูช่วยวิจารณ์ ด้วยความที่เราคบกันมานาน เราจะเป็นแนวพูดตรงๆ ไม่ต้องเอาแต่ชม แต่ส่วนใหญ่เพื่อนๆ ดูแล้วก็ฟีดแบ็กกลับมาดีว่า ภาพสวย พล็อตดีน่าติดตาม เดาทางไม่ถูก ซึ่งพอได้ฟังฟีดแบ็กแบบนี้จากคนในวงการ ก็ยิ่งทำให้มั่นใจ”
ส่วนเรื่องที่จะชักชวนเพื่อนๆ มาทำผลงานร่วมกัน ณัฐบอกว่าอาจจะยาก เพราะส่วนใหญ่เพื่อนๆ ติดสัญญาช่องหลัก ดังนั้น สิ่งที่เพื่อนๆ จะซัพพอร์ตได้คือช่วยให้คำแนะนำ คำปรึกษามากกว่า
ทั้งนี้ นอกจากบทบาทใหม่ที่ทำเพราะแพสชั่น ณัฐยังเป็นประธานบริหาร กลุ่มซัมมิท วินด์มิลล์ กรุ๊ป และรองประธานบริหารกลุ่ม ซัมมิท คอร์ปอเรชั่น ซึ่งในอนาคตจะมีโปรเจกต์ใหม่ๆ ต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นโปรเจกต์หมื่นล้าน ในการพัฒนาที่ิดินตรงหัวมุมพญาไทและราชเทวี เป็นโรงแรมและออฟฟิศให้เช่า โปรเจกต์พัฒนาที่ดินโรงเรียนนานาชาติ Berkeley เพื่อทำสนามบาสเกตบอล สนามแบตมินตัน ห้องออดิเทรียมและห้องเรียนเพิ่ม รวมถึงยังมีโปรเจกต์พัฒนาอีกหลายโรงแรม
“เทคนิคในการแบ่งเวลาของผมคือ ผมจะแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวชัดเจน แต่ละวันจะมีตารางเลยว่าต้องไปประชุมที่ไหน ผมเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องเวลามาก ไม่ชอบผิดนัดหรือไปสาย เพราะรู้สึกว่าเป็นการไม่ให้เกียรติอีกฝ่าย ถ้าหมดเวลางาน ผมจะพยายามไม่คิดเรื่องงาน เวลาว่าง ถ้าไม่เดินทาง ผมก็ไปตีแบต ออกงานสังคมบ้างแต่ไม่บ่อย (หัวเราะ) ไปดูหนัง เล่นฟิตเนส 2 วันต่อสัปดาห์ โดยผมจะมีเทรนเนอร์ที่ช่วยเทรน”
ปิดท้ายด้วยคำถามที่หลายคนอาจจะสงสัยว่า ในฐานะทายาทหมื่นล้าน จริงจังกับธุรกิจใหม่แค่ไหนหรือทำสนุกๆ ณัฐตอบชัดว่า “ผมเป็นคนทำอะไรทำจริง และผมเองก็เรียนมาทางนี้ คิดมาตลอดว่าอยากทำ แต่เพิ่งมีเวลาและโอกาสได้ทำ ซึ่งผมไม่ได้คิดว่าจะต้องทุ่มเงินเยอะๆ เพื่อให้บริษัทโตเร็วๆ แต่เน้นแบบค่อยเป็นค่อยไป พยายามเอาประสบการณ์ในการบริหารที่สั่งสมมา พัฒนาระบบหลังบ้านในบริษัทใหม่ให้แข็งแรง”
ส่วนคำถามยอดฮิตที่หลายคนชอบถามว่า จะได้เห็นผู้บริหารหนุ่มมาสวมบทนักแสดงหรือไม่ ณัฐถือโอกาสเคลียร์ชัดทิ้งท้ายตรงนี้เลยว่า “คงไม่ผันตัวมาอยู่เบื้องหน้า เพราะตั้งแต่สมัยเรียนก็ไม่ชินกับการเห็นตัวเองอยู่บนหน้าจอ ผ่านมาหลายสิบปีความรู้สึกนี้ก็ยังอยู่ เพราะฉะนั้น วันนี้ขอมีความสุขกับการทำงานเบื้องหลัง”