22 ปีคืออายุงานที่ “แจ๋-ณัฐศมน วงศ์กิตติพัฒน์” ผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายการตลาด เดอะ มอลล์ กรุ๊ป สั่งสมประสบการณ์การทำงานในสายห้าง จนเรียกได้ว่า เธอคือ “เจ้าแม่พีอาร์ห้าง” วัยเก๋า ที่มีชั่วโมงบินและคอนเนกชันในการทำงานมาอย่างโชกโชน ผ่านมาหมดแล้วทั้งวิกฤตใหญ่ ไปจนถึงโปรเจกต์ระดับเวิล์ดคลาส ที่เคยสร้างปรากฏการณ์ระดับประเทศ งานนี้ Celeb Online เลยอยากชวนผู้บริหารคนเก่ง มาถ่ายทอดเคล็ดวิชาที่เธอได้ตกผลึกจากการทำงาน พร้อมคำแนะนำถึงเด็กรุ่นใหม่ที่กำลังก้าวสู่โลกการทำงาน
ก่อนจะมาเป็นส่วนหนึ่งของ ครอบครัวเดอะ มอลล์ กรุ๊ป แจ๋สั่งสมประสบการณ์การทำงานมารอบด้าน เริ่มต้นจากการทำงานเป็นพีอาร์ที่โอกิลวี่ ซึ่งเป็นการตามฝันของเด็กที่เรียนจบนิเทศศาสตร์อย่างเธอ ได้มีโอกาสทำงานกับแบรนด์ใหญ่ๆ อย่าง เป็บซี่ ในยุคที่ ไมเคิล แจ็กสัน ศิลปินในตำนานเป็นพรีเซนเตอร์ เก็บเกี่ยวประสบการณ์อยู่ราว 5-6 ปี ก็ย้ายไปทำงานกับบริษัทข้ามชาติยักษ์ใหญ่อีกแห่ง อย่าง จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน โดยคราวนี้จับงานด้าน Corporate, Marketing, Communication และ HR
แจ๋บอกว่า ข้อดีของการที่ได้ทำงานบริษัทใหญ่ และบริษัทฝรั่งตั้งแต่เริ่มทำงาน ทำให้ได้เห็นการทำงานที่เป็นระบบ ได้ฝึกภาษา เรียนรู้สกิลการเข้าหาลูกค้า และได้สั่งสมคอนเนกชัน เธอทำอยู่ที่นั่นอีกราว 5-6 ปี ก็ตัดสินใจกลับมาทำงานสายเอเจนซีช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนได้รับการทาบทามให้ไปทำงานที่ สยามทีวี กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของธนาคารไทยพาณิชย์ แต่พอเกิดวิกฤตต้มยำกุ้งบริษัทต้องปิดตัว เลยตกงานแบบไม่ทันตั้งตัว
“ตอนนั้นก็แอบเคว้งนะ แต่ยังคิดบวกว่า ด้วยประสบการณ์แบบเราน่าจะหางานใหม่ได้แหละ ช่วงว่างก็เลยไปเรียนต่อปริญญาโทที่นิด้า หลังจากนั้น ก็ได้มีโอกาสมาร่วมงานกับทาง เดอะ มอลล์ กรุ๊ป ช่วยดูภาพรวมด้านการตลาดและพีอาร์ ตอนนั้นในแง่เนื้องานถือว่าไม่ได้หิน เพราะเรามีประสบการณ์ทั้งฝั่งโฆษณา พีอาร์ และคอร์ปอเรทมาแล้ว เพียงแต่งานค่อนข้างยุ่ง เพราะงานห้างนอกจากพื้นฐานต้องดี ยังต้องมีความรู้ที่หลากหลาย ต้องรอบรู้ เพราะการทำห้างมีรายละเอียดเยอะมาก”
กว่า 20 ปีที่ผ่านร้อนผ่านหนาวในวงการห้าง ผลงานชิ้นโบแดงที่แจ๋ภูมิใจคือ ตอนที่ไปเปิด เดอะมอลล์ โคราช ซึ่งถือเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของจังหวัด อีกครั้งคือ การได้เป็นส่วนหนึ่งในโปรเจกต์สยามพารากอน ตั้งแต่ตอนที่มีการรื้ออาคารสยาม อินเตอร์คอน ซึ่งเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คของกรุงเทพฯ ได้ร่วมจัดงานเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ และจัดกิจกรรมโปรโมตห้างอย่างต่อเนื่อง
กระทั่ง มาเจอวิกฤตโควิด-19 ซึ่งแจ๋ยอมรับว่าหนักสุด “ปกติปิดห้างครึ่งวันยอดขายหดไปก็เครียดแล้ว นี่ปิดเป็นเดือนๆ เลย ตอนนั้นเราเน้นเรื่อง Crisis Management เพื่อรับมือกับสถานการณ์ ช่วงแรกที่ห้างยังไม่ปิด ก็โฟกัสเรื่องความสะอาด ปลอดภัย จนถึงวันที่ห้างต้องปิด ถึงมีการจัดสรรทีมพีอาร์ไปช่วยทำออนไลน์ สร้างยอดขายให้บริษัท
“พอตอนหลังมาทำศูนย์ฉีดวัคซีน ด้วยความที่เรามีประสบการณ์จากการไปดูงานของกระทรวงสาธารณสุข พอทาง กทม.ร่วมกับสมาคมค้าปลีกและหลายๆ ภาคส่วน จัดศูนย์ฉีดวัคซีน เราเลยสามารถใช้ เดอะ มอลล์ บางกะปิ เป็นต้นแบบ เพราะเราเห็นภาพแล้วว่า ต้องจัดระเบียบศูนย์อย่างไรให้ออกมาเรียบร้อย จนกลายเป็นว่าทุกห้างต้องมาดูงานที่เรา ซึ่งเราดีใจและยินดีมากๆ ที่จะถ่ายทอดสิ่งที่เรารู้ เพื่อให้นำไปต่อยอดให้ดียิ่งขึ้น”
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากการทำงานที่มีโจทย์ท้าทาย มาให้รับมือไม่ขาดสาย อีกหนึ่งบทเรียนที่แจ๋ได้เรียนรู้คือ การทำงานร่วมกับพนักงานหลากหลายเจนเนอเรชัน
“การทำงานกับคนต่างวัย ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจว่าแต่ละคนมีความรู้ ประสบการณ์ที่แตกต่างกัน จึงต้องมีวิธีจัดการที่ต่างกัน อย่าง เด็กรุ่นใหม่ เราจะเห็นความแตกต่างที่ชัดเจนคือ ทัศนคติที่มีต่องาน อย่าง คนสมัยก่อนทำงานเพื่อมีชีวิต แต่คนรุ่นใหม่มองว่า การทำงานเป็นเพียงส่วนหนึ่งของชีวิต ฉะนั้น หลังเลิกงานเขาต้องมีไลฟ์สไตล์ด้านอื่นๆ เรื่อง Work Life Balance คือสิ่งที่คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญ ซึ่งเราก็เห็นด้วยนะ
“อีกความแตกต่างคือ เด็กรุ่นใหม่จะมีกรอบในการทำงานชัดเจน ว่าเขาเข้ามาทำงาน โดยมีบทบาทความรับผิดชอบอะไรบ้าง สมมติ บอกไว้ 1-10 ถ้ามี 11 เขาจะเริ่มไม่โอเคแล้ว เพราะคนยุคนี้รู้สึกว่านี่คือการทำงาน เขาไม่ได้อินหรือรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของเหมือนคนยุคก่อน”
แจ๋ยังเสริมด้วยว่า “บางคนก็อาจจะอยากเป็นเจ้าของธุรกิจมากกว่าเป็นพนักงานในบริษัท ซึ่งไม่ผิด แต่อย่าลืมว่าคนที่จะทำธุรกิจแล้วประสบความสำเร็จ จาก 100 คน อาจจะมีที่ทำได้แค่ 5-10% ฉะนั้น ไม่ผิดที่จะลอง เพราะบางครั้งเราไม่รู้ตัวว่าในตัวเรามีข้อดีอะไร จนกว่าจะได้ลอง เพียงแต่ก่อนจะลงมือทำ เราอาจจะต้องสำรวจตัวเองว่า มีความรู้ มีต้นทุนหรือความชำนาญในสิ่งนั้น เพื่อเป็นหัวเชื้อในการทำให้ประสบความสำเร็จหรือไม่”
ถามว่าอะไรคือสิ่งที่แจ๋ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ทำงาน โดยเฉพาะ การได้ทำงานใกล้ชิดกับหญิงแกร่ง อย่าง แอ๊ว (ศุภลักษณ์ อัมพุช)
แจ๋บอกว่า “สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการทำงานกับคุณแอ๊ว คือเรื่องความมุ่งมั่นและความแอคทีฟ ทำอะไรแล้วทุกอย่างต้องสุด คุณแอ๊วเป็นคนที่รักลูกน้องมาก แกมีหลักในการใช้ชีวิตและดูแลครอบครัวเดอะมอลล์คือ Love Share Care Forgive Forgot (รัก แบ่งปัน ใส่ใจ ให้อภัย ยกโทษให้) ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราทำงานอยู่ที่นี่ได้อย่างมีความสุข บวกกับการได้เรียนรู้จากทีมผู้บริหารที่มีฝีมือ ทำให้เราไม่เคยคิดย้ายไปทำงานที่อื่น พร้อมนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ มาปรับใช้ในการทำงาน อย่างทุกวันนี้เวลาเรารับพนักงาน เราไม่ได้คิดว่า รับ 1 คน ต้องทำทุกอย่างได้ 100% แต่จะมองว่าทีมเราขาดสกิลอะไร ก็หาอีกคนมาแทน มาเป็นจิ๊กซอว์ เพราะเราเชื่อว่าทุกคนไม่ได้เพอร์เฟกต์ แต่เมื่อมาต่อกันแล้วต้องเพอร์เฟกต์”
ในวันที่ชีวิตมาถึงวัยเกษียณ แจ๋บอกว่าพ้นวัยเกษียณมา 3 ปีแล้วก็จริง แต่ยังคงทำงานอยู่ที่เดอะมอลล์ ตอนนี้บทบาทหลักๆ คือ ช่วยดูแลด้าน CSR, PR, Event บางส่วน สำหรับอนาคต เธอสนใจนำประสบการณ์ที่มีมาต่อยอดในงานด้านที่ปรึกษา
ส่วนไลฟ์สไตล์วันว่าง นอกจากจะมีความสุขกับการช่วยเลี้ยงหลาน เธอยังชื่นชอบการเดินทาง “ถ้าไม่ติดโควิด คงได้ไปท่องเที่ยวอีกหลายที่ สถานที่ท่องเที่ยวที่ประทับใจคือ นอร์เวย์และสวีเดน เพราะชอบธรรมชาติ ส่วนประเทศที่ตั้งใจว่าจะไปสักครั้งในชีวิตคือ สหรัฐอเมริกา เชื่อมั้ยว่าไปยุโรปมาทั่วแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสไปอเมริกาซักที เพราะรู้สึกว่าเป็นประเทศใหญ่ เดินทางยากกว่ายุโรป ที่นั่งรถไฟไปถึงกันได้หมด แต่คิดว่าภายใน 10 ปีนี้ต้องได้ไป เพราะล่าสุดเพิ่งไปทำวีซ่าอเมริกา ได้แบบ 10 ปีมา เดี๋ยวจะแพลนทริปไปให้ได้แหละค่ะ” แจ๋ทิ้งท้ายอย่างอารมณ์ดี