คงไม่เกินไปหากจะบอกว่า เธอคือหญิงสาวที่หลงใหลในโลกอาหารอย่างถอนตัวไม่ขึ้น เพราะแม้จะไม่ได้ร่ำเรียนในสายอาหาร แถมยังโลดแล่นในสายการเงินและการธนาคารมาทั้งชีวิต จนถึงตอนนี้เธอก็ยังทำงานธนาคารที่สิงคโปร์มายาวนานถึง 12 ปี แต่แล้วโชคชะตา ก็ทำให้ “ตุ่น-ประดินันท์ อัครชิโนเรศ” เจ้าของร้านอาหาร “Khao” และ “ร้านข้าวจานโปรด” ได้กลับมาสานฝัน และทำในสิ่งที่เธอหลงรัก
“หนังสือเล่มแรกที่ไม่ใช่หนังสือเรียนแต่ตุ่นซื้อมาอ่านคือ ตำราทำของว่างไทย ซึ่งอ่านแล้วชอบมาก เพราะแต่ละเมนูต้องใช้ฝีมือในการทำแบบประณีตมาก และในชีวิตจริง แม้สมัยเด็กจะตามคุณแม่เข้าครัว ช่วยทำอาหาร ทำให้พอมีวิชาติดตัว แต่ก็เป็นเมนูทั่วๆ ไป พอเริ่มโตแอบอิจฉาคนที่ได้เรียนสายคหกรรมและนาฏศิลป์ เพราะสมัยก่อนผู้ใหญ่ก็จะอยากให้เรียนสายอาชีพที่ไปต่อยอดได้มากกว่า สุดท้ายตุ่นก็เลือกสอบเข้าคณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์เหมือนคุณพ่อ”
หลังจากเรียนจบก็เข้ามาทำงานที่บริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง เข้าไปช่วงที่เซ็ตอัพบริษัทเลยได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง ตอนนั้นสนุกมาก หลังจากทำอยู่ 4 ปี งานเริ่มเข้ามาเป็นรูทีนมาขึ้น จึงเปลี่ยนมาทำงานธนาคารต่างชาติในประเทศไทย”
แต่พอเกิดช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ธนาคารที่ทำอยู่จะปิดสำนักงานในไทย ต้องโอนย้ายไปต่างประเทศ ระหว่างรอเธอเลยไปเรียนทำอาหารที่ เลอ กอร์ดอง เบลอ ดุสิต จากตอนแรกตั้งใจจะเรียนแค่พื้นฐาน ใช้เวลาประมาณ 3 เดือน ปรากกฏว่าเรียนไปเรียนมายาวถึง 12 เดือน
“ตอนแรกกะจะไปลงเรียนพื้นฐาน แต่พอเห็นคนเรียน Intermediate ก็เริ่มอิจฉา ทำไมเรายังหั่นหัวไชเท้า คนอื่นหั่นแกะ รู้สึกว่าคนอื่นเก่งกว่าเราไม่ได้ จากพื้นฐานก็ไปลงเรียน Intermediate แล้วก็เรียนต่อไปเรื่อยๆ จนครบหลักสูตรที่มีตอนนั้น สิริรวม 1 ปี แผนชีวิตก็เลยเปลี่ยน จากที่จะรอโอนย้ายไปฮ่องกง ก็ไปได้งานแบบเดียวกัน แต่เป็นอีกธนาคาร คราวนี้ต้องย้ายไปทำงานที่สิงคโปร์ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ต้องไปทำงานที่ต่างประเทศ ช่วงนั้น เลยลืมความฝันทำอาหาร เน้นปรับตัวกับการทำงานในต่างประเทศ”
ในขณะที่ หน้าที่การงานกำลังไปได้สวย โอกาสก็วิ่งเข้ามาหาอีกครั้ง เมื่อเธอได้ไปทานอาหารที่ร้าน “Khao” และหลังจากนั้นก็ได้ทราบจากเจ้าของท่านเดิมว่าต้องการขาย ให้คนมาดูแลร้านต่อ ด้วยแพสชั่นที่มีต่ออาหารเป็นทุนเดิม เธอจึงตัดสินใจมาลุยในธุรกิจอาหาร ซึ่งหลังจากรับช่วงได้เดือนเดียว ร้าน Khao ก็ได้รางวัล Bib Gourmand ซึ่งเหมือนเป็นโจทย์ที่ทำให้เธอต้องพยายามรักษามาตรฐาน จนปีต่อมาก็ได้มิชลิน 1 ดาว แต่ที่ไม่คาดคิดคือ มาเจอวิกฤตโควิด ซึ่งเป็นช่วงที่ขยายสาขาสองไปที่ซอยต้นสนพอดี
“ตอนนั้นจะโปรโมทก็ยาก เพราะไม่รู้ว่าวิกฤตที่เกิดขึ้นจะยืดเยื้อแค่ไหน จะลดคนเราก็ไม่อยากทำ เพราะว่าเราต้องการรักษาคนที่รู้รสชาติอาหารของเราจริงๆ ความตั้งใจตอนที่เปิดสาขาสองคือ ถ้าทำแกงสองชามมาวางเทียบกัน ต้องแยกแทบไม่ออกว่าชามไหนมาจากร้านไหน เพราะต่อให้รสมือเชฟแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน แต่เราพยายามคุมสูตรและคุณภาพให้ออกมาใกล้เคียงกันมากที่สุด”
กระทั่งปลายปีที่แล้ว ได้มีโอกาสคุยกับ Central World เธอมีไอเดียจะทำร้านอาหารไทยในคอนเซ็ปต์ “อาหารไทย” ในความทรงจำ Bring Back my Memories เหมือนการนึกถึงความทรงจำจากการที่เราเคยรับประทานตอนเด็กๆ จึงตั้งชื่อร้านว่า “ข้าวจานโปรด”
“ตุ่นอยากทำร้านอาหารไทย ที่คนไทยนึกอยากกินอาหารไทยสมัยก่อนแล้วจะต้องได้กิน อย่างช่วงโควิดหลายคนไปใช้ชีวิตต่างประเทศไม่ได้กลับบ้านนาน แต่พอมีโอกาสได้กลับมา แล้วนึกอยากจะทานเมนูที่เราคุ้นเคยตอนเด็กๆ ถ้ามาสั่งที่ร้านเราแล้วจะต้องได้กิน ไม่ว่าจะเป็น น้ำพริกกะปิ แกงปูใบชะพลู มัสมั่นน่องแกะ และผักพริกขิงปลาดุกฟู ส่วนอาหารฝรั่งจะไม่ใช่แนวฟิวชั่น แต่เป็นเมนูอาหารฝรั่งแบบที่คุณแม่ หรือแม่ครัวคนไทยอยากลองทำ เช่น สปาเก็ตตี้ซอสเนื้อ สตูไก่ สตูลิ้นวัว
ปัจจุบันนอกจากร้าน Khao สาขาเอกมัย และข้าวจานโปรดที่ เซ็นทรัลเวิลด์ แล้ว เรายังมี Collaboration กับโรงแรมไฮแอท รีเจนซี กรุงเทพ สุขุมวิท สำหรับเมนูอาหารไทยมื้อดินเนอร์ และกำลังเตรียมเปิดสาขาสามเร็วๆ นี้อีกด้วย”
“เรายังถือว่าใหม่ในวงการอาหาร แต่เราโชคดีที่มีทีมงานดี ตอนที่เราไปรับช่วงต่อร้าน Khao ก็ได้ทีมงานเดิม ทำให้ในมุมของลูกค้าไม่ได้รู้สึกแตกต่างมากนัก บวกกับตัวตุ่นเองก็มีพื้นฐานการทำอาหาร ชอบชิมอาหาร และช่างสังเกต ดังนั้น เราค่อนข้างจะแยกแยะรสชาติและจดจำอาหารได้ดี เช่น กุ้งผิดขนาด รสชาติไม่เสถียร ก็จะรู้ทันที ที่สำคัญ นอกจากการเรียนทำอาหารจะได้ความรู้ ยังเป็นการฝึกให้เราสามารถทำงานภายใต้ความกดดัน เลยทำให้ตอนที่ย้ายไปทำงานต่างประเทศก็ไม่มีปัญหา และกลายเป็นว่าเรามีคำพูดติดปากคือ ไม่ยุ่ง ไม่เหนื่อย และไม่เครียด”
สำหรับกิจกรรมยามว่าง ตุ่นชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับอาหาร ซึ่งเธอมีอยู่มากกว่า 2,000 เล่ม หรือไม่ก็เล่นกับน้องหมา ปัจจุบันเธอยังสนุกกับการทำงานธนาคาร ควบคู่ไปกับการดูแลร้านอาหาร และยังทำซอสทำอาหารวางขายตามซูเปอร์มาร์เก็ตในราคาย่อมเยา ภายใต้แบรนด์ Khao ซึ่งเป็นแบรนด์ที่คนรู้จักอยู่แล้ว มานำเสนอในคอนเซ็ปต์ นำความอร่อยแบบร้าน Khao ไปเสิร์ฟถึงบ้าน