Celeb Online

เปิดตัวหนุ่มผู้กุมหัวใจ "จิราภา ลักษณวิศิษฏ์" หลานสาว รมต.พาณิชย์


ค่านิยมในสังคมที่เปลี่ยนไป ทำให้เทรนด์คู่รักยุคใหม่เลือกที่จะมีความสัมพันธ์แบบไม่ผูกมัด หลายคู่คบหาดูใจกันเป็นสิบปี ก็ยังไม่มีวี่แววจะแต่งงาน เพราะอาจจะยังแฮปปี้กับชีวิตโสด หรือไม่ได้ให้ความสำคัญกับการแต่งงาน แต่สำหรับ “เคน-ปวีร์ สมประสงค์” ทายาทร้านชุดครุยชื่อดัง อย่าง ร้านครุยคัทลียา ปิ่นเกล้า วัย 27 ปี และหวานใจ “มิลกี้-จิราภา ลักษณวิศิษฏ์” หลานสาวคนสวยวัย 25 ปี ของ “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กลับเป็นตัวแทนคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่คิดต่าง


แม้จะเพิ่งคบหาดูใจกัน 4 ปี แต่เมื่อมั่นใจแล้วว่า อีกฝ่ายคือคนที่เข้าใจ พร้อมจะเคียงข้างและซัพพอร์ตกัน บวกกับความเชื่อที่ว่า เมื่อชีวิตนี้เจอคนที่ใช่ ก็ไม่จำเป็นต้องรีรออีกต่อไป พร้อมที่จะเดินหน้าปักหลักเพื่อสร้างครอบครัว หลังจากปลายปีที่แล้ว ฝ่ายชายรวบรวมความกล้าคุกเข่าขอสาวมิลกี้แต่งงานริมทะเล โดยทั้งคู่เตรียมจะเข้าพิธีวิวาห์ที่โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล ในวันที่ 11 มิถุนายนนี้

ดังนั้น เพื่อเป็นการต้อนรับเทศกาลแห่งความรักที่จะถึงนี้ Celeb Online ชวนทุกคนไปสำรวจเส้นทางความรักของทั้งคู่ว่าหวานแค่ไหน ที่สำคัญ อะไรทำให้ทั้งคู่มั่นใจ จนพร้อมจะเปลี่ยนสถานะจากแฟนมาเป็นคู่ชีวิต


จุดเริ่มต้นความรักแบบปุ๊บปั๊บ

“ผมเจอน้องเขาครั้งแรกตอนไปจัดการเรื่องชุดครุยที่ศิลปากร นครปฐมครับ ตอนนั้นน้องเขามารับชุด แต่ตอนที่เขามาผมไม่อยู่ แต่พอพี่ที่ร้านเห็นว่าน้องเขาน่ารักมาก บวกกับอาจจะเห็นว่าผมโสดมานาน เลยรีบไปบอกคุณแม่ คุณแม่ก็เลยรีบโทร.เรียกผมให้กลับมาที่บูธ ตอนแรกผมก็งงๆ เรียกกลับมาทำไม เพราะเพิ่งออกไปพักกินข้าวได้ประมาณ 5 นาที แต่พอได้เจอน้องเขา ก็รู้สึกว่าน้องเขาน่ารักจริงๆ วันนั้นผมก็ได้มีโอกาสช่วยน้องลองชุดครุย ทำความรู้จักแล้วก็เดินไปส่งน้องที่รถ เลยได้มีโอกาสขอไลน์” เคนเปิดฉากเล่าถึงเส้นทางความรักที่ทั้งคู่เห็นตรงกันว่า ถ้าวันนั้นไม่มีคนใกล้ตัวเป็นกามเทพก็คงไม่มีวันโคจรมาเจอกันได้

“ปกติมิลไม่ได้เรียนที่นครปฐม แต่พอต้องไปลองชุดครุยที่นั่น เลยชวนคุณแม่กับน้องชายไปด้วย จังหวะที่จะไปบูธ คุณแม่และน้องชายดันไปเข้าห้องน้ำพอดี พอพี่พนักงานที่บูธเขามาชวนคุย ชมว่าน่ารักจังมีแฟนหรือยัง มิลไม่ได้คิดอะไรเลยตอบไปว่า ยังไม่มี(หัวเราะ) จนเขาให้พี่เคนเข้ามาช่วยดูแลมิลก็ยังงงๆ นะว่านี่ใคร จำได้ว่าพอขึ้นรถ คุณแม่ยังถามว่าเขาเป็นใคร มิลก็บอกว่าไม่รู้เหมือนกัน คิดว่าน่าจะเป็นลูกเจ้าของ คุณแม่ยังแซวว่าจะไปฟ้องคุณพ่อ เพราะจริงๆ นั่นเป็นครั้งแรกที่มีผู้ชายมาอยู่ในระยะใกล้ขนาดนั้น เพราะเวลาลองชุดมันต้องมีจับเสื้อ ช่วยคลุมให้อ่ะค่ะ”


หลังจากได้รู้จักกัน เคนก็เริ่มปฏิบัติการจีบ เพื่อสานความสัมพันธ์ ด้วยการอาสามาเป็นสารถีรับ-ส่ง ตอนที่มิลกี้เรียนปริญญาโท ที่จุฬาฯ

“สำหรับผม น้องเขาตรงสเปคเลยครับ เรื่องหน้าตาไม่ต้องพูดถึง เจอครั้งแรกคือ สตั๊น บวกกับเขาเป็นผู้หญิงที่มีความเป๊ะ เข้าอกเข้าใจ มีความซื่อสัตย์ อยู่ด้วยแล้วสบายใจ คุยได้ทุกเรื่อง” เคนตอบไปเขินไป ก่อนที่มิลกี้จะเสริมว่า

“พี่เคนก็ตรงตามสเปกค่ะ ไม่ว่าจะเป็นความสูง ที่มิลค่อนข้างแคร์ เพราะ ด้วยความที่เราสูง 173 ซม. ดังนั้น ถ้าจะมีแฟนสูง 175 ซม. ก็อาจจะเหนื่อย ใส่รองเท้าส้นสูงไม่ได้เลย เพราะเราไม่อยากให้ตัวเองดูตัวสูงข่มแฟน เรื่องอายุก็สำคัญ อยากได้แฟนที่อายุมากกว่า ถ้าเท่ากันหรือเด็กกว่าอาจจะคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง ที่สำคัญ คือชอบผู้ชายผิวพรรณสะอาด ผิวไม่คล้ำ หน้าตาดี ซึ่งพี่เคนก็ตรงหมด แถมเขายังเป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย ตั้งแต่รู้จักกัน เขาจะเป็นฝ่ายโทร.หรือแชทมาหาก่อนทุกวัน ถ้ามีเวลาว่างก็จะมาหาตลอด เป็นคนเอาใจใส่ ไม่พาไปนอกลู่นอกทาง”


เซอร์ไพรส์ขอเป็นแฟน

ในเมื่อสอบผ่านด่านแรก ต่างฝ่ายต่างเป็นสเปคของอีกฝ่ายแล้ว มาถึงโมเมนต์การขอเป็นแฟน งานนี้ทั้งคู่อมยิ้มก่อนเคนจะชิงเล่าว่า “ผมเคยพยายามเซอร์ไพรส์ครับ แต่ส่วนใหญ่จะแป้ก อย่างตอนที่ขอเป็นแฟนในวันวาเลนไทน์ ครั้งแรกก็ล้มเหลว หรือตอนที่เซอร์ไพรส์ด้วยการซื้อกำไลให้เป็นของขวัญ ก็ไม่รอด เพราะพอเห็นว่าน้องเขาไม่ใส่ ผมก็รู้แล้วว่าไม่ชอบ หลังจากนั้นเลยคิดว่า ไม่เซอร์ไพรส์ดีกว่า ถ้าน้องเขาอยากได้อะไร เวลาวันเกิดหรือวันสำคัญ ก็จูงมือไปซื้อเลย”

“ตอนที่ขอเป็นแฟน จริงๆ ลึกๆ ก็รู้สึกขอบคุณเขานะคะ แต่ถ้าวันนั้นพี่เคนเลือกขอเป็นแฟนบนรถ หรือที่ที่มีความส่วนตัวกว่านั้น มิลก็โอเคนะ แต่วันนั้น พี่เคนไปรับมิลหลังเลิกเรียน ซึ่งก็ค่ำแล้ว แถมยังบอกจะพาไปกินข้าวแถวบ้านมิล ตอนแรกก็งงว่าจะไปร้านไหน ปรากฏทางที่ไปดูลึกลับ แบบต้องเข้าซอยและก็ค่อนข้างมืด จนเราแอบกลัวจะลักพาตัวหรือเปล่า(หัวเราะ) พอไปถึงร้านอาหารอยู่ชั้นบนของตึกที่ข้างล่างร้านต่างๆ ปิดหมดแล้ว บรรยากาศก็มืดๆ พอขึ้นลิฟต์ไปถึงข้างบน ซึ่งถึงวิวของร้านจะสวยจริง ได้เห็นวิวกรุงเทพฯ ตอนกลางคืน แต่ด้วยความที่วันนั้นมิลไม่ได้เตรียมตัวว่าจะมานั่งชิลดาดฟ้า ลมก็แรงมาก ผมกระเซิง พอพี่เคนมาขอเป็นแฟน ซึ่งวันนั้นร้านคนค่อนข้างเยอะ เราพูดอะไรคนอื่นก็ได้ยินหมด มิลก็เลยไม่โอเค และตอบปฏิเสธไป”

อย่างไรก็ตาม แม้จะผิดหวัง แต่เคนไม่ละความพยายาม เพราะมั่นใจว่าฝ่ายหญิงก็มีใจให้ แต่ที่น่าเสียดายคือ ยังไม่ทันได้วางแผนใหม่แก้ตัว จู่ๆ วันหนึ่งมิลก็ชิงถามขึ้นมาว่า เมื่อไหร่จะขอเป็นแฟน ทั้งคู่เลยได้อัปสถานะแบบ Fast Track “จากวาเลนไทน์ผ่านมา 2 เดือนแล้ว มิลก็รอเขาก็ไม่ขอสักที มิลเลยถามขึ้นมา เราก็เลยตกลงเป็นแฟนกัน” มิลเล่าไปขำไป


จากคู่รักสู่คู่ชีวิต

แค่ขอเป็นแฟนก็ปาดเหงื่อแล้ว มาถึงด่านหินอย่างการขอแต่งงาน “จริงๆ เราคุยเรื่องแต่งงานกันมาเรื่อยๆ เพราะผมเองก็อยากให้น้องเขามั่นใจว่า ตลอดเวลาที่เราคบกัน ผมจริงจังและอยากเป็นที่พักพิงให้”

ด้านมิลกี้เสริมว่า “เราคุยเรื่องแต่งงานกันตั้งแต่คบกันได้ 6 เดือน แต่ตอนนั้นอาจยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะมิลเองก็ยังเรียน ป.โทไม่จบ ยังไม่ได้เริ่มทำงานเลย เลยตั้งใจว่าอยากรอให้โตขึ้นกว่านี้ก่อน จนพอเราคบกันได้ 4 ปี พี่เคนก็เซอร์ไพรส์ขอแต่งงานริมทะเล”


“ผมเลือกบรรยากาศทะเล เพราะเราเคยคุยกันแล้ว มิลบอกว่าอยากได้บรรยากาศริมทะเล ผมเลยขอให้คุณแม่มิลและน้องชายช่วยเซอร์ไพรส์ แต่สุดท้ายก็เหมือนว่าเขาก็จะรู้อยู่ดี” เคนเล่าถึงแผนลับที่ดูเหมือนจะไม่ลับ ก่อนที่มิลจะสารภาพว่า “ก็พอรู้ค่ะ เพราะปกติ พี่เคน คุณแม่ และน้องชายจะไม่ทิ้งให้มิลอยู่ห้องพักคนเดียว แต่วันนั้นเขาหายกันไป 2–3 ชั่วโมง แล้วยังบอกให้แต่งตัวสวยๆ ลงไปเจอกัน มิลก็เดาได้แล้ว พอเดินลงมาเจอช่างวิดีโอที่ถ่ายให้ครอบครัวเราประจำ ก็รู้แล้วว่าวันนี้ต้องมีโอกาสพิเศษ ยิ่งพอเดินไปที่ริมทะเลเห็นพี่ๆ พนักงานอยู่เยอะ ก็เดาได้ไม่ยากว่าน่าจะมีเซอร์ไพรส์อะไร และสุดท้ายก็เป็นแบบที่คิด”

ถามว่าอะไรที่ทำให้ตอบ Say Yes มิลกี้ บอกว่า เพราะนอกจากฝ่ายชายจะตรงสเปค ยิ่งคบก็ยิ่งประทับใจในความเอาใจใส่ของฝ่ายชาย “ปกติเราจะนิสัยแมนๆ ไม่ค่อยเทคแคร์ใคร แต่พออยู่กับพี่เคน เขาทำให้เราจากที่เป็นผู้หญิงแข็งๆ มีความอ่อนหวานขึ้น เขาดึงด้านที่อ่อนโยน อยู่ด้วยแล้วสบายใจ คอยสนับสนุนเรา เลยคิดว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนที่เราอยากอยู่ด้วย หลายคนอาจจะไม่เชื่อ ตั้งแต่คบกันมา เราแทบไม่เคยทะเลาะกัน มีแค่ 1-2 เรื่องซึ่งเป็นเรื่องเล็กๆ ด้วยนะ เพราะเราค่อนข้างเข้าใจกันและกัน อย่างถ้าตอนไหนเราร้อน เขาจะเย็น พอเขาร้อน เราจะเย็น เลยไม่ปะทะกัน อีกอย่างคือ เราเป็นคู่ที่เวลามีอะไรไม่ถูกใจหรือน้อยใจจะพูดกันตรงๆ มีอะไรก็เคลียร์กันเลย ไม่ค่อยเก็บข้ามคืน จะพูดเลยว่าไม่ทำแบบนี้ได้มั้ย


มีเรื่องหนึ่งตลกมาก ตอนที่ยังคุยกันได้ไม่ถึงเดือน มิลเห็นรอยแป้งที่แขนเสื้อพี่เคน ซึ่งมั่นใจว่าไม่ใช่ของมิลแน่นอน เพราะมิลไม่ได้ไปใกล้กับพี่เคนจนจะมีรอยแป้งไปเลอะที่แขนเสื้อ ตอนนั้นพี่เคนก็คิดนานมาก เพราะเขาไม่ได้ไปอยู่ใกล้ผู้หญิงคนไหน สุดท้ายถึงบางอ้อว่า เลอะคอนซีลเลอร์ที่เขาเอามาทาใต้ตา เพราะอยากให้มิลเห็นว่าเขาดูหล่อเวลาเจอกัน (หัวเราะ) ซึ่งตอนนั้นด้วยความที่เพิ่งรู้จักกัน เราก็ยังไม่เชื่อเขา 100% นะคะ เขาเลยพยายามพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ด้วยการให้พาสเวิร์สโซเชียลมีเดียทั้งหมดของตัวเอง ซึ่งมิลเคยเข้าไปดูแค่ครั้งเดียว ซึ่งก็ไม่มีอะไรแบบที่เขาพูดจริงๆ”

ด้านเคนหลังจากฟังแฟนสาวชื่นชม ก็ถือโอกาสเสริมถึงความประทับใจที่มีต่อฝ่ายหญิงว่า “อย่างแรกคือ ความสวยครับ (ยิ้ม) ครั้งแรกที่เจอคือ สตั๊น ละสายตาไม่ได้ แต่พอยิ่งรู้จัก ยิ่งชอบ น้องเขาจะไม่ได้นิสัยแบบผู้หญิงจ๋า มีความเป็นผู้ชายนิดๆ เวลาคุยกันเข้าใจกัน คุยแล้วคลิก ที่ประทับใจมากคือ เรื่องความเชื่อใจ ไม่เคยทำให้ผิดหวังหรือสงสัย คบกันมา 4 ปี รู้ความลับกันทุกอย่าง อยู่แล้วสบายใจ ต่อให้เขาจะมีงอนบ้าง แต่ก็ไม่ได้ง้อยาก ถ้ารู้เทคนิค (หัวเราะ)”


Next Chapter ชีวิตคู่

สำหรับแผนชีวิตหลังแต่งงาน มิลกี้บอกกว่า ตอนนี้ทำงานประจำเป็น Communication Officer ที่ยูนิเซฟ ควบคู่ไปกับการทำธุรกิจออนไลน์ Lock and Keep Jewel ขายเครื่องประดับ ตุ้มหู ที่คาดผม ออนไลน์ ซึ่งทำมา 4 ปีแล้ว ขณะที่ เคนยังโฟกัสกับธุรกิจชุดครุยของครอบครัว หลังจากนี้ ก็มีแผนจะขยายไปยังมหาวิทยาลัยในต่างจังหวัดมากขึ้น ควบคู่ไปกับการลงทุนในหุ้นและคริปโตฯ

“ชีวิตหลังแต่งงาน คือ เน้นช้าๆ แต่มั่นคง หลังแต่งงานกับตอนนี้ คงไม่ได้ต่างกันมาก เรายังดูแลกันเหมือนเดิม อย่างทุกวันนี้ เราก็หยุดไม่ตรงกัน มิลหยุดเสาร์อาทิตย์ แต่ช่วงหลังๆ ก็จะไปออกบูธเกือบทุกอาทิตย์ ส่วนพี่เคนจะหยุดแค่วันจันทร์วันเดียว แต่ก็ไม่เป็นปัญหา เพราะถึงวันจันทร์มิลจะทำงาน หรือมีประชุม พี่เคนก็จะมาอยู่ข้างๆ หรือถ้าต่างฝ่ายต่างทำงาน พี่เคนเขาก็จะโทร.มาบ้างหรือไม่ก็แชทมาถาม มารายงานตัว อย่างน้อยเราจะได้รู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ไหน ทำอะไร”


ปิดท้ายด้วยมุมมองการสร้างครอบครัวของทั้งคู่ที่อาจจะสวนทางกับเทรนด์คนยุคใหม่ที่แต่งงานช้า เคนตอบชัดว่า ข้อต่างของการเป็นแฟนกับแต่งงาน คือ ถ้าแต่งงาน เราจะสามารถใช้ชีวิตของเรา 100% ไม่ต้องกังวลว่า ถ้าเราทำงานหนักแบบนี้ อีกฝ่ายจะเข้าใจไหม ที่สำคัญ การใช้ชีวิตด้วยกัน เราจะเห็นอนาคตร่วมกันมากกว่าแฟน

“ผมมองว่า ถ้าอยากให้เกียรติผู้หญิงก็ต้องให้ความมั่นคง เราอยากประสบความสำเร็จเรื่องงานและความสัมพันธ์ไปด้วยกัน ผมไม่ได้คิดว่าเราต่างกับคนอื่น เพื่อนผมแต่งงานไปแล้วหลายคู่

เช่นเดียวกับ มิลกี้ ที่แม้จะเป็นคนแรกในรุ่นที่แต่งงาน ก็ไม้ได้คิดว่าเร็วไป “ที่เพื่อนๆ ยังไม่แต่งงาน อาจจะเพราะเขายังไม่เจอคนที่ใช่ แต่สำหรับมิล ในเมื่อเราเจอคนที่อยากใช้ชีวิตร่วมกันแล้ว คิดว่าทำไมเราต้องรอ ของแบบนี้ไม่ได้อยู่ที่เวลา ถ้าเราพร้อมจะปักหลักกับใครก็ปักหลักไปเถอะ”