Celeb Online

เที่ยวระนอง ท่องเมียนมาร์ ดำน้ำดูปลาที่เกาะนาวโอพี


>>ได้ยินคำร่ำลือถึงเกาะน้องใหม่มาแรงแห่งท้องทะเลพม่า ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวไปสัมผัสกับธรรมชาติสวยสมบูรณ์แบบมาได้พักใหญ่ ยิ่งได้เห็นภาพถ่ายก็ยิ่งอยากไปชื่นชม Celeb Online จึงไม่พลาดรับคำชวนจาก “เคทีซี” ตามแคมเปญ “เคทีซี กินพักเที่ยว เปรี้ยวยกแก๊ง” ไปตามรอยแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของระนอง พร้อมท่องทะเลพม่า ดำน้ำดูปลากันที่เกาะนาวโอพี

เหินฟ้าจากดอนเมืองกันแต่เช้าด้วย สายการบินนกแอร์ ใช้เวลาเพียงชั่วโมงกว่าก็ถึงท่าอากาศยานระนอง รับกระเป๋าเสร็จก็เดินขึ้นรถตู้ทำความรู้จักกับไกด์จาก Love Andaman ที่จะพาเราเที่ยวตลอดทริปนี้ ก่อนออกจากสนามบินมุ่งหน้าสู่ ตำบลเขานิเวศน์ อำเภอเมืองระนอง ใช้เวลาเพียง 20 นาทีก็ถึงพระราชวัง 1 ใน 19 แห่งของประเทศไทย “พระราชวังรัตนรังสรรค์” จำลองจากพระราชวังรัตนรังสรรค์เดิม พระราชวังนี้เป็นอนุสรณ์การเสด็จประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้ฝ่ายตะวันตกที่จังหวัดระนองของพระมหากษัตริย์ถึง 3 พระองค์คือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7

พระราชวังรัตนรังสรรค์ (จำลอง) องค์นี้สร้างด้วยไม้สักและไม้ตะเคียนทอง ภายในจัดแสดงห้องบรรทมพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, ห้องพระราชินี, อาคารทรงแปดเหลี่ยม, อาคารท้องพระโรง และมีสะพานเชื่อมอาคารที่ประทับกับอาคารแปดเหลี่ยม การเข้าชมแนะนำให้ถอดรองเท้าและถุงเท้าเพราะพื้นเป็นไม้ขัดมันที่ลื่นมาก บรรยากาศภายในเย็นเพราะตัวพระราชวังสร้างบนเนินเขา ปัจจุบันนอกจากจะเป็นโบราณสถาน เป็นพิพิธภัณฑ์แล้ว ด้านหน้ายังเป็นสวนสาธารณะเป็นจุดชมทัศนียภาพของเมืองระนองที่สวยงาม


เดินชมวิวโดยรอบพักใหญ่ ก็แวะไปทานอาหารกลางวันกันที่ “ร้านคุ้นลิ้น” ทางเข้าร้านสะดุดตาด้วยโมเดลทศกัณฐ์, มาดอนน่า และหุ่นยนต์ขนาดใหญ่เอาไว้ถ่ายภาพเก๋ๆ เมนูแนะนำของร้านคือ แกงส้มไข่ปลาริวกิว, ปลาหลุมพุกลุยสวน, กุ้งแม่น้ำซอสมะขาม, ปลาทูทอดกะปิ, ปลากะพงนึ่งมะนาว, น้ำพริกไข่ปู และผัดใบเหลียงใส่ใข่ รสชาติอาหารอร่อยจัดจ้านแบบอาหารใต้ ส่วนเมนูโดนใจที่สุดคือ “ปูนิ่ม Stick” ที่นำปูนิ่มทั้งตัวคลุกแป้ง ทอดจนกรอบนอกนุ่มใน รสชาติอร่อยจนไม่ต้องจิ้มน้ำจิ้มผงกะหรี่ที่เสิร์ฟมาคู่กัน

ร้านคุ้นลิ้นตั้งอยู่ตรงข้ามกับ “บ่อน้ำแร่รักษะวาริน” (บ่อน้ำร้อนสวนสาธารณะรักษะวาริน) เป็นบ่อน้ำร้อนที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ 3 บ่อ ซึ่งมีแร่ธาตุสำคัญและเป็นแหล่งเดียวในไทยที่ไม่มีสารกำมะถันเจือปน อุณหภูมิของน้ำร้อน 65 องศาเซลเซียส มีประโยชน์ในการบำบัดรักษาสุขภาพ ช่วยหมุนเวียนเลือด บำรุงผิวพรรณ บรรเทาอาการปวดเมื่อย ภายในสวนสาธารณะรักษะวารินจึงสร้างบ่อสาธารณะให้บริการแช่ขา แช่เท้า ฟรี!

อิ่มท้องกันแล้วก็มุ่งหน้าสู่ “หาดส้มแป้น” ที่ไม่ใช่หาดทรายริมทะเล แต่เป็นตำบลหนึ่งอยู่ห่างจากบ่อน้ำร้อนไปประมาณ 5 กิโลเมตร เป็นแหล่งแร่ดีบุกและแร่ดินขาวที่สำคัญของประเทศไทย สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำคือ “ระนองแคนยอน” เคยเป็นขุมเหมืองเก่า ปัจจุบันกลายเป็นบึงน้ำสีมรกตมีหุบเขารอบด้าน นิยมมาชมพระอาทิตย์ขึ้นท่ามกลางไอหมอก น่าเสียดายที่เราไม่ได้ไปชมเพราะฝนตก เลยไปทำงานหัตถกรรมสนุกๆ กันที่ “กลุ่มเซรามิกบ้านหาดส้มแป้น” ชมกระบวนการผลิต ทดลองปั้น และเพนต์เซรามิกดินขาว โอทอประดับ 5 ดาวของจังหวัด

ตำบลหาดส้มแป้น มีกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวมีส่วนร่วมอีกมาก เช่น ไปร่อนแร่ในคลองหาดส้มแป้น เวิร์กชอปปั้นเซรามิก ทำไข่เค็มน้ำแร่พอกดินขาว ทำสบู่น้ำแร่สมุนไพร ทำลูกประคบสมุนไพร ทำไม้กวาดดอกอ้อ รวมทั้งมีการแสดงทางวัฒนธรรมอย่าง “ระบำร่อนเร่” ที่สะท้อนวิถีดั้งเดิมของชาวบ้าน

เมื่อแดดร่มลมตกเรามุ่งหน้าต่อไปที่ “ท่าเรือประภาคารระนอง” เพื่อขึ้นเรือ “เดอะรอยัลอันดามัน” เรือไม้โบราณสุดคลาสิกยุคเหมืองแร่ อายุกว่า 100 ปี ล่องตามรอยเส้นทางการเสด็จประพาสต้นของพระพุทธเจ้าหลวง บนเรือจะมีชุดพื้นเมืองให้เปลี่ยนถ่ายรูปเก๋ๆ พร้อมเสิร์ฟเวลคัมดริงก์เป็น “น้ำส้มจี๊ด” หวานอมเปรี้ยวชิมแล้วสดชื่น เมื่อออกจากท่าเรือจะมุ่งหน้าผ่าน “เกาะสรนีย์” ที่ประดิษฐานเจ้าแม่กวนอิมศักดิ์สิทธิ์ ล่องไปจนถึง “เกาะคณฑีย์” ชมวิถีชีวิตเมืองระนองลิตเติลเวนิสเมืองไทย จนถึงสะพานปลาบริเวณนี้บนท้องฟ้า จะมีฝูงเหยี่ยวปากแดงนกประจำถิ่นบินวนโดยรอบ จากนั้นเลี้ยวกลับมาชมพระอาทิตย์ตกกันบริเวณปากน้ำระนองพร้อมชิมอาหารโบราณ “ลอหมี่ปู”, “ออเดิร์ฟเมือง หมูฮ้อง น้ำพริก ทอดมัน” และ “ลอดช่องแก้ว”






อำลาแสงสุดท้ายของวัน ย้อนกลับเข้าตัวเมืองระนอง ไปพักผ่อนชาร์จพลังกัน ณ “โรงแรมเดอะกาลล่า (The Galla)” โรงแรมน้องใหม่ที่พักระดับ 3 ดาว เดินทางสะดวกอยู่ใกล้ตลาด ตกแต่งสไตล์โมเดิร์นฟรี Wi-fi ทุกห้อง มีห้องโยคะ, ห้องฟิตเนส, สระว่ายน้ำกลางแจ้ง โดยเฉพาะห้องอาหาร “Galla Kitchen” ที่เป็นร้านอาหารเกาหลีแห่งแรกและแห่งเดียวของระนอง

รุ่งขึ้นก็มุ่งหน้ากลับมาท่าเรือประภาคารระนองกันช่วงเช้า โชคดีที่วันนี้ท้องฟ้าสดใสไม่มีฝน เรากินอาหารว่างชมบรรยากาศบริเวณท่าเรือไปพลางๆ ระหว่างรอไกด์จัดการเรื่องเอกสารผ่านแดนชั่วคราว สำหรับคนไทยใช้บัตรประชาชนใบเดียว (ถ้ามีเด็กเล็กอย่าลืมเตรียมสูติบัตรไปด้วย) และอย่าลืมปิดโรมมิ่งโทรศัพท์หรือเปลี่ยนเป็นโหมดเครื่องบินไว้ เรียบร้อยแล้วก็ลงเรือสปีดโบ๊ตมุ่งหน้าสู่ ตม.จังหวัด”เกาะสอง” จังหวัดที่ตั้งอยู่ทางใต้สุดของประเทศเมียนมาร์ ใช้เวลาเพียง 10 นาทีเท่านั้น

จังหวัดเกาะสอง (Kawthaung) ไม่ใช่เกาะแต่เป็นดินแดนใต้สุดมีลักษณะเป็นแหลมยื่นออกไปในทะเล ในยุคอาณานิคมอังกฤษเรียกดินแดนตรงนี้ว่า “วิกตอเรียพอยต์” แต่ปัจจุบันคนเมียนมาร์เรียกที่นี่ว่า “คิง บุเรงนอง พอยต์”

ใช้เวลาตรวจเอกสารที่ท่าเทียบเรือเกาะสองไม่นาน เราก็เปลี่ยนไปนั่งเรือสปีดโบ๊ตของเมียนมาร์เพื่อไปยัง “เกาะนาวโอพี (Nyaung Oo Phee)” ถ้าใครเมาเรือแนะนำให้ทานยาไว้ตั้งแต่เริ่มต้น หรือนอนหลับไปเลย เพราะเรือใช้เวลาถึง 1 ชั่วโมงครึ่ง ลัดเลาะไปตามเกาะน้อยใหญ่ในเขตทะเลพม่า จนถึงเกาะนาวโอพี จุดที่เรือจอดคือ “อ่าวมาดาม” เพียงแค่มองจากบนเรือก็เห็นผืนน้ำสีเขียวสดใสไล่ระดับความเข้มตามความลึกของน้ำทะเล ตัดกับสีขาวของชายหาดยาวสุดสายตา น้ำใสจนมองเห็นโขดหินพื้นทรายใต้น้ำได้ชัดเจน

เมื่อเหยียบขึ้นเกาะสัมผัสแรกคือ ทรายนุ่มนิ่มมาก บรรยากาศโดยรอบนั้นเงียบสงบเหมือนเป็นเกาะส่วนตัว ลมเย็นชื่นใจจนลืมความร้อนจากแสงแดดกันเลยทีเดียว แถมช่วงนี้เข้าสู่ฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ยิ่งสร้างความสวยงามให้เกาะนาวโอพีแตกต่างจากที่อื่นๆ เดินสำรวจชายหาด ชมปูเสฉวนในเปลือกหอยหลากรูปทรง เล่นน้ำกับห่วงยางสีสด ถ่ายรูปกันเพลินๆ พักรับประทานอาหารกลางวันเพื่อเตรียมพร้อมไปดำน้ำชมโลกใต้ทะเล



บ่ายคล้อยก็ถึงเวลาตะลุยกิจกรรมดำน้ำตื้น ไกด์พาเราไปดำ 2 จุดคือ “เดอะ เลตเตอร์” และ “เกาะภูเขาไฟ” ลงน้ำไปก็พบกับกัลปังหา ปลาดาวขนนกสีสดใส ปะการังอ่อนสีชมพู ปะการังเขากวาง ดอกไม้ทะเลเยอะมาก และแน่นอนต้องเจอปลานีโม่หลายสายพันธุ์ บางตัวมองผ่านๆ ไม่รู้เลยว่านี่คือปลานีโมถ้าไกด์ไม่บอก เพราะตัวใหญ่เกิน สำหรับใครที่ว่ายน้ำไม่เป็น ก็มีบริการห่วงยางให้เกาะแล้วลากไปรอบๆ ให้ชื่นชมบรรยากาศใต้น้ำกันอย่างทั่วถึง ข้อควรระวังในการดำน้ำตื้นที่นี่คือน้ำไม่ลึก ปะการังอยู่ตื้นมาก เท้าอาจไปเหยียบปะการังเสียหาย หรืออาจจะโดนหอยเม่นที่มีอยู่เกลื่อนทิ่มจนบาดเจ็บได้


หลังจากดำน้ำกันเมามันจนตัวเปื่อย เวลาก็ผ่านไปจนเย็นเราขึ้นเรือกลับที่พักบนเกาะสองใช้เวลาอีก 1 ชั่วโมงครึ่ง ตากลมชมพระอาทิตย์ตกบนสปีดโบ๊ตจนตัวแห้ง ถึงท่าเรือท้องฟ้าก็มืดพอดี มีรถของโรงแรมมารับไปเช็กอินที่ “โรงแรมวิกตอเรีย คลิฟ โฮเทล แอนด์ รีสอร์ต (Victoria Cliff)” มาเห็นตอนเช้าว่าโรงแรมนี้ตั้งอยู่บนหน้าผามีวิวแบบพาโนรามาของท้องทะเลอันดามัน เราได้ห้องแบบ Lake view ราคาห้องอยู่ที่ 45-85 ดอลลาร์ต่อคืน พนักงานที่นี่พูดภาษาไทยได้ ส่วนอาหารเช้าเป็นมาตรฐานทั่วไปแต่รสชาติอ่อนกว่าอาหารไทยเยอะ

วันรุ่งขึ้นเราแวะนมัสการหลวงพ่อทันใจที่ “วัดปิดอร์เอ” ตั้งอยู่ในเมืองเกาะสองเป็นเจดีย์ที่จำลองลักษณะรูปแบบมาจากพระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง ภายในเจดีย์ปิดอร์เอประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ฐานตัวเจดีย์มีพระพุทธรูปประจำวันเกิดตั้งอยู่รอบทิศ ตัวเจดีย์ตั้งอยู่บนพื้นที่เขาสูง ทำให้มองเห็นวิวเมืองเกาะสอง ระหว่างรอเรือเพื่อกลับไปฝั่งไทยเราไปเดินเล่นที่ “ตลาดร่างสุเวนีย์” ติดกับท่าเรือเป็นตลาดที่คนนิยมไปซื้อของฝาก อาทิ ผ้าซิ่นลุนตยา ผ้าโสร่ง แป้งทานาคา อำพัน เวลาซื้อของสามารถจ่ายด้วยเงินบาทได้

ออกจากเกาะสองกลับสู่ฝั่งไทยเราฝากท้องมื้อสุดท้ายกับ “ร้านเคียงเล” ร้านอาหารโรแมนติกริมทะเลที่สามารถชมวิวพระอาทิตย์ตกและมองเห็นบรรยากาศสองฝั่งไทยพม่าได้อย่างชัดเจน มีเมนูเด็ดเป็น “ปูจั๊กจั่นนึ่ง” เนื้อเด้งหวานอร่อย “หมูค้อง” รสดั้งเดิมที่เนื้อนุ่มละลายในปาก เพิ่มความเผ็ดจัดจ้านด้วย แกงเหลืองออดิบ, ยำกุ้งเคย, ปลาทอดราดน้ำเคย, หอยไฟไหม้(หอยตลับผัดฉ่า) ปิดท้ายด้วยของหวานอย่าง ลอดช่องมะพร้าวน้ำหอม กินอิ่มจนพุงแทบแตกก็ต้องอำลาระนองกลับกรุงเทพฯ กันแล้ว

ทริปเที่ยวระนอง-ดำน้ำทะเลพม่าครั้งนี้ สร้างความประทับใจ ให้ความรู้สึกพิเศษว่าเราเป็นคนกลุ่มแรกๆ ที่ได้สัมผัสความสดใหม่ใสบริสุทธิ์ ความอุดมสมบูรณ์ที่ยังไม่ถูกทำลาย และหวังว่าในอีกหลายสิบปีข้างหน้าความสวยงามแบบนี้ก็จะยังคงอยู่ รอให้เรากลับไปชื่นชมอีกครั้ง