>>สวีเดน (Sweden) หรือ ราชอาณาจักรสวีเดน เป็นประเทศกลุ่มนอร์ดิก ตั้งอยู่บนคาบสมุทรสแกนดิเนเวียในยุโรปเหนือ พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศปกคลุมด้วยป่าไม้ และภูเขาสูง นอกจากสวีเดนจะเป็นที่รู้จักในนามดินแดนดวงอาทิตย์เที่ยงคืน และดินแดนแห่งไวกิ้งแล้ว ยังเป็นประเทศที่มีวิวทิวทัศน์สวยงามอุดมไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวทั้งทางธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ และโบราณคดี ซึ่งมีการอนุรักษ์สถาปัตยกรรมยุคกลางไว้มากมาย รวมไปถึงแหล่งชอปปิ้ง และแหล่งบันเทิงยามค่ำคืนที่โด่งดังไปทั่วโลก จึงไม่น่าแปลกใจที่สวีเดนจะเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทาง ที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกปรารถนาจะมาเยือนสักครั้งในชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมืองหลวงอย่าง กรุงสตอกโฮล์ม
การบินไทย ลัดฟ้านำนักท่องเที่ยวบินตรงสู่ “กรุงสตอกโฮล์ม” ประเทศสวีเดน ด้วยราคาบัตรโดยสารไป-กลับ เริ่มต้นเพียง 26,965 บาท/ท่าน ใช้เวลาเดินทางเพียงประมาณ 11 ชั่วโมงก็แลนดิ้งสู่ดินแดนไวกิ้ง ที่เป็นเสมือนสวรรค์แห่งวัฒนธรรม และความมหัศจรรย์แห่งธรรมชาติ ที่พร้อมจะเปิดประตูสร้างความประทับใจให้ไม่รู้ลืม เพียงคลิก https://bit.ly/2Ljrmgi
กรุงสตอกโฮล์ม ตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเลทางด้านทิศตะวันออกของประเทศสวีเดน มีประชากรอยู่อาศัยประมาณสองล้านคน ประกอบไปด้วย 14 เกาะใหญ่ โอบล้อมด้วยทะเลบอลติก (Baltic Sea) ทะเลสาบมาลาเรน (Lake Malaren) ทำให้สตอกโฮล์มเป็นเมืองหลวงสวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ความที่เมืองเเห่งนี้สร้างมาตั้งเเต่ศตวรรษที่ 12 จึงคงบรรยากาศความเป็นเมืองเก่าไว้อย่างสมบูรณ์ เเวดล้อมไปด้วยธรรมชาติเเละอาคารบ้านเรือนเก่าเเก่สวยงามจำนวนมาก สตอกโฮล์มเปรียบเสมือนประตูบานแรกเปิดต้อนรับสู่ความน่าหลงใหลของประเทศสวีเดน โอกาสนี้ การบินไทยได้คัดสรร 8 สถานที่ และกิจกรรม ต้องเที่ยว ต้องทำ เมื่อไปเยือนสตอกโฮล์ม มานำเสนอ ดังนี้
พระราชวังหลวง (Stockholms Slott)
พระราชวังหลวง (สวีเดน : Stockholms Slott อังกฤษ : The Stockholm Palace หรือ the Royal Palace) เป็นที่ประทับของพระราชวงศ์สวีเดน ทั้งยังเป็นสถานที่รับรองแขกบ้านแขกเมืองในโอกาสสำคัญด้วย กล่าวกันว่าที่นี่คือพระราชวังที่งดงามที่สุดในบรรดาพระราชวังทั้งหมดของทวีปยุโรป มีลักษณะเป็นอาคารสถาปัตยกรรมบาโร้ก สร้างเมื่อปี ค.ศ. 1754 ภายในมี 608 ห้อง ในบรรดาห้องต่างๆ ที่นับเป็นไฮไลต์ ได้แก่ ห้องพระคลัง วิหารหลวง ห้องโถงว่าการของรัฐ (Hall of State) ห้องพักของขุนนางลำดับต่างๆ และพิพิธภัณฑ์โบราณสถานกุสตาฟที่ 3 นอกจากนี้ ยังมีความน่าสนใจอีกอย่างของการเที่ยวชมพระราชวังหลวง นั่นคือ การผลัดเปลี่ยนเวรยามประจำวันของกองทหารรักษาพระองค์ในช่วงก่อนเที่ยงของทุกวัน ที่นี่เปิดให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชมได้ตลอดทั้งปี โดยเสียค่าเข้าชมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ห้ามพลาด “ย่านเมืองเก่า” (Gamla Stan)
ย่านเมืองเก่าที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปแห่งนี้เป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กของสตอกโฮล์ม เป็นสถานที่ตั้งของพระราชวังหลวง (Royal Palace) สถาปัตยกรรมบาโร้กเก่าแก่ที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรปเหนือ เพียงย่างเท้าเข้าไปในย่านนี้ก็เหมือนหลุดมิติไปอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 13 ไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือน สิ่งปลูกสร้างที่มีความสวยงาม ในรูปแบบงานสถาปัตยกรรมแบบสวีเดน ซึ่งปัจจุบันยังคงรักษาสภาพอาคารบ้านเรือนเก่าแก่ไว้เป็นอย่างดี ล้วนมีมาตั้งแต่สมัยเริ่มก่อตั้งเมืองสตอกโฮล์ม นับเป็นสถานที่เก่าแก่ และมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ นอกจากนี้ ยังมีตรอกซอกซอยมากมายให้นักท่องเที่ยวได้เดินชมวิวทิวทัศน์ เก็บภาพสวยๆ และเพลิดเพลินไปกับการชอปปิ้งสินค้าที่สวยงามมีรสนิยม ทั้งสินค้าแฟชั่นและของที่ระลึก นอกจากนั้น
ริมสองข้างทางยังเต็มไปด้วยร้านอาหารอร่อย และร้านกาแฟรสเลิศ
พิพิธภัณฑ์วาซา (The Vasa Museum)
พิพิธภัณฑ์วาซา เป็นพิพิธภัณฑ์เรือรบโบราณ ตั้งอยู่บนเกาะ Djurgarden ในเขต Ostermalm ของสตอกโฮล์ม สำหรับใครที่สนใจในประวัติศาสตร์ของแต่ละประเทศต้องห้ามพลาด คำว่า “วาซา” แปลว่าเรือรบแห่งราชอาณาจักรสวีเดน ซึ่งตามบันทึกประวัติศาสตร์กษัตริย์สวีเดนพระนาม Gustav II Adolf ได้มีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สร้างขึ้นเพื่อใช้ในการทำสงครามกับชาวเยอรมัน ใช้เวลาในการก่อสร้างประมาณสองปี ใช้คนงานถึง 400 คน โดยมีเสากระโดงเรือสามเสาสามารถขึงใบเรือได้ 10 ใบ วัดจากยอดเสากระโดงเรือถึงกระดูกงูได้ 52 เมตร และจากหัวเรือถึงท้ายเรือได้ 69 เมตร หนัก 1,200 ตัน แม้ว่าเรือรบวาซาจะถูกสร้างขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ สง่างาม น่าเกรงขาม ทว่าไม่มีโอกาสได้ออกไปลอยลำสู้รบกับศัตรูเลยแม้สักครั้ง เพราะหลังจากเรือรบวาซาสร้างเสร็จ และถูกปล่อยลงน้ำได้เพียง 30 นาที เรือลำนี้ก็จมดิ่งสู่ก้นทะเล และถูกทิ้งให้จมอยู่ใต้ทะเลบอลติกอย่างนั้นนานถึง 333 ปีจึงได้รับการกู้ขึ้นมา และนำมาจัดแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ โดยสามารถรักษาชิ้นส่วนเดิมของเรือไว้ได้เกือบ 95 เปอร์เซ็นต์
มีการตกแต่งด้วยรูปแกะสลักนับร้อยชิ้น เรือวาซา ถือได้ว่าเป็นสมบัติทางศิลปะที่ล้ำค่า และนับเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
ศาลาว่าการเมืองสตอกโฮล์ม (Stockholm City Hall)
อีกหนึ่งสัญลักษณ์ของสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของสตอกโฮล์ม คือ “ศาลาว่าการเมือง” หรือพิพิธภัณฑ์เมืองสตอกโฮล์ม มีการก่อสร้างมานานนับแต่ปี ค.ศ. 1923 มีการตกแต่งอย่างวิจิตรตระการตาราวกับพระราชวัง โดยใช้เวลาสร้างถึง 12 ปี สวยงามสะดุดตาด้วยคุณลักษณะพิเศษของตัวอาคาร
ที่ก่อสร้างด้วยอิฐสีแดงทั้งหลัง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเกาะที่ยิ่งใหญ่ (King Island) ถึงแม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกจะดูเรียบ แต่การตกแต่งภายในไม่ธรรมดาเลย กับศิลปะสมัยใหม่ในแบบอาร์ตนูโว หลังคาฝ้าเพดานของห้องประชุมออกแบบให้มีลักษณะคล้ายกับท้องเรือไวกิ้ง เสมือนกำลังแล่นไปบนผืนน้ำทะเลสีฟ้า มีการจัดแสดงงานศิลปะและโบราณวัตถุหลากหลายประเภทให้คนเข้าชม ไฮไลต์ของศาลาว่าการเมืองแห่งนี้อยู่ที่ห้องเต้นรำ นอกจากนี้ ไม่ควรพลาดชมโถงกลาง (Grand Hall) ที่ผนังตกแต่งด้วยกระเบื้องโมเสกเคลือบทองนับล้านชิ้น แสนวิจิตรเกินจะบรรยาย ที่สำคัญ ที่แห่งนี้ยังใช้เป็นสถานที่จัดเลี้ยงรับรองและเป็นสถานที่ในการมอบรางวัลโนเบล รางวัลอันทรงเกียรติ และทรงคุณค่าของโลกอีกด้วย (การมอบรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพจัดขึ้นที่เมืองออสโล ประเทศนอร์เวย์ ส่วนสาขาอื่นๆ จัดที่กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน)
“Skansen” พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งแห่งแรกของโลก
ที่นี่นับเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งแห่งแรกของโลก ตั้งอยู่บนเกาะ Djurgarden เปิดมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1891 เป็นพิพิธภัณฑ์ที่แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิต และความเป็นอยู่ของคนสวีเดนในยุคก่อน ถูกใช้เป็นสถานที่ในการจัดงานประจำปีที่สำคัญต่างๆ ของเมืองเสมอ ภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ประกอบด้วยโรงเรือนต่างๆ ประมาณ 150 หลัง และฟาร์มซึ่งรื้อถอนเคลื่อนย้ายมาจากสถานที่ต่างๆ ทั่วประเทศ แล้วนำมาสร้างขึ้นใหม่ที่นี่ เพื่อแสดงให้นักท่องเที่ยวได้เห็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวสวีเดนในยุคก่อน นอกจากนี้ ในบริเวณพิพิธภัณฑ์ยังมีสวนสัตว์ ซึ่งรวบรวมพันธุ์สัตว์หายากในแถบสแกนดิเนเวียมากกว่า 300 สายพันธุ์ โดยเปิดให้เข้าชม ทั้งหมีสีน้ำตาล หมาป่า ลิงบาบูน และสัตว์สายพันธุ์ท้องถิ่นอื่นๆ ได้อย่างใกล้ชิด
ล่องเรือสำราญชมเมืองหลวง “สตอกโฮล์ม”
ด้วยลักษณะภูมิศาสตร์ “สตอกโฮล์ม” เป็นเมืองที่อยู่ติดทะเล ประกอบด้วยหมู่เกาะน้อยใหญ่ถึง 14 เกาะ จึงเหมาะอย่างยิ่งที่จะใช้เวลาเพลิดเพลินไปกับการล่องเรือสำราญ จากผู้ให้บริการที่มีอยู่มากมาย และที่ได้รับความนิยมอย่างมากก็คือ ทริปการล่องเรือใต้สะพาน (Under the Bridges of Stockholm) ซึ่งจะนำเราล่องไปเที่ยวชม Skeppsholmen, Gamla Stan, Riddarholmen, Kungsholmen, Langholmen, Lilla Essingen, Stora Essingen, Reimersholme และ Soedermalm โดยใช้เวลาการทัวร์ต่อรอบประมาณ 2 ชั่วโมง บนเรือมีบริการหูฟังสำหรับนักท่องเที่ยว สามารถเลือกฟังข้อมูลสถานที่ต่างๆ ที่เที่ยวชมตามโปรแกรมในภาษาที่ต้องการ (เลือกได้ 8 ภาษา) อีกหนึ่งโปรแกรมที่น่าสนใจ ได้แก่ ทัวร์ไวกิ้ง เรือลำใหญ่ ซึ่งจะนำไปเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของชาวไวกิ้ง ใช้ระยะเวลาในการเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 45 นาที โดยเริ่มออกจากท่าเรือ Skeppsbron หนึ่งไฮไลต์ในโปรแกรมนี้ได้รวมอาหารมื้อกลางวันไว้ด้วย เป็นลูกชิ้นสวีเดน (Swedish Meatball) อันเลื่องชื่อ และพนักงานบนเรือให้บริการในเครื่องแต่งกายแบบนักรบโจรสลัด
เพลินชมสะพาน “ORESUND Bridge”
สะพาน Oresund Bridge เป็นสะพานที่ยาวที่สุดของยุโรป และออกแบบก่อสร้างอย่างงดงาม โดยมีความยาวระยะทาง 12 กม. เป็นตัวสะพาน 8 กม. และเป็นอุโมงค์ใต้ทะเลอีก 4 กม. เปิดใช้อย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 2000 เพื่อเชื่อมต่อระหว่างประเทศเดนมาร์กกับสวีเดน สะพานนี้มีความสวยงาม โดดเด่นมาก และใช้ได้ทั้งรถยนต์ และรถไฟ นักท่องเที่ยวที่เดินทางระหว่างสองประเทศนี้มักไม่พลาดแวะถ่ายรูปสวยๆ เป็นที่ระลึกตอนข้ามสะพานนี้
ตื่นตาสถานีรถไฟใต้ดินสตอกโฮล์ม (Stockholm Metro)
กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ถือเป็นหนึ่งในเมืองที่มีสถานีรถไฟใต้ดินที่สวยงาม จนได้รับการ ยกย่องว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่ยาวที่สุดในโลก และยังติดอันดับ 1 ใน 7 ของสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินที่สวยที่สุดในโลก เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1950 ปัจจุบันมีจำนวน 100 สถานี โดยเป็นสถานีใต้ดิน 47 สถานี และยกระดับ 53 สถานี มีจำนวน 10 เส้นทาง จัดเป็นกลุ่มสาย 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มสายสีน้ำเงิน แดง และเขียว มีระยะทางยาวรวม 110 กิโลเมตร ที่น่าสนใจคือทุกสถานีจะมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ตกแต่งด้วยรูปภาพ รูปปั้น และรูปวาดตามฝาผนัง สีสันสดใส ทั้งสวย ทั้งน่าตื่นตาตื่นใจ สร้างสรรค์โดยศิลปินถึง 150 คน นอกจากเราจะได้ชื่นชมในศิลปะแล้ว ยังได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ของรถไฟใต้ดินไปพร้อมๆ กันอีกด้วย ใครที่ได้มีโอกาสไปเที่ยวกรุงสตอกโฮล์ม ต้องห้ามพลาดเด็ดขาด
ถึงตรงนี้ หลายคนคงอยากไปพิสูจน์กันแล้ว ว่าเหตุใดครั้งหนึ่งในชีวิตต้องไปสัมผัสสวีเดน วันนี้สามารถบินสบาย จองง่าย จ่ายสะดวกกับ “การบินไทย” สู่สตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ทุกวัน ใช้เวลาเดินทางเพียง 11 ชั่วโมง สนใจคลิก https://bit.ly/2Ljrmgi
ข้อมูลอื่นๆ ที่น่าสนใจ
เที่ยวสวีเดนด้วยตัวเอง หากจะเริ่มต้นด้วยคำถามที่ว่า “ค่าครองชีพในประเทศสวีเดนสูงกว่าค่าครองชีพในประเทศไทยไหม” คำตอบที่ได้คงไม่พ้น “สูงกว่า” แน่นอน เพราะประเทศสวีเดนใช้สกุลเงิน
โครนอร์สวีเดน (SEK) ค่าเงิน 1 SEK เท่ากับเงินไทยประมาณ 4-6 บาท โดยประมาณ ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ค่าครองชีพในประเทศสวีเดนจะสูงกว่าไทย แต่ในความต่างของค่าครองชีพที่สูงกว่าประเทศไทย เมื่อแลกกับประสบการณ์การใช้ชีวิต แม้จะเป็นระยะเวลาสั้นๆ ในประเทศที่ได้ชื่อว่าน่าอยู่ สงบ และประชาชนมีคุณภาพชีวิตสูงอย่างสวีเดน ก็เป็นการแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจไม่น้อย
สภาพอากาศประเทศสวีเดน มี 4 ฤดู ได้แก่
ฤดูหนาว (Winter) ตั้งแต่เดือนธันวาคม ถึงเดือนมีนาคม อากาศหนาวเย็นมาก หิมะตก อุณหภูมิระหว่าง 2 ถึง -20 องศา สำหรับตอนเหนือของสวีเดน ฤดูหนาวจะยาวนานถึง 8 เดือน
ฤดูใบไม้ผลิ (Spring) ตั้งแต่เดือนเมษายน ถึง พฤษภาคม อากาศในฤดูนี้เปลี่ยนแปลงง่าย บางวันก็มีฝนตก
ฤดูร้อน (Summer) ตั้งแต่เดือนมิถุนายน ถึงเดือนสิงหาคม อากาศอบอุ่น ประมาณ 25 องศาเซลเซียสขึ้นไป ตอนกลางวันจะยาวกว่าตอนกลางคืนมาก จะสว่างเร็วและมืดช้า ในวันที่ยาวนานที่สุด แม้เวลาจะล่วงเลยถึงเที่ยงคืนแล้วก็ยังคงเห็นแสงพระอาทิตย์บนท้องฟ้า จึงเป็นที่มาของประโยคที่ว่า “ดินแดนแห่งพระอาทิตย์เที่ยงคืน”
ฤดูใบไม้ร่วง (Autumn) ตั้งแต่เดือนกันยายน ถึงเดือนพฤศจิกายน อากาศค่อนข้างมืดครึ้ม แปรปรวน อุณหภูมิจะอยู่ประมาณ 5 ถึง 12 องศาเซลเซียส
ฤดูกาลท่องเที่ยวของสวีเดน มี 3 ช่วงเวลา ได้แก่
เดือนพฤศจิกายน-พฤษภาคม เป็น Low season ของการท่องเที่ยวในสวีเดน ช่วงเวลานี้เหมาะสำหรับการเล่นกีฬาฤดูหนาว เช่น การเล่นสกี เป็นต้น การเดินทางไปเที่ยวสวีเดนในช่วงนี้ นักท่องเที่ยวต้องศึกษาข้อมูลเรื่องที่พักให้ดี เพราะที่พัก รวมถึงลานกางเต็นท์บางแห่งปิดให้บริการ
ช่วงฤดูหนาวเดือนกันยายน-ตุลาคม เป็นช่วงที่อากาศยังคงดีอยู่ แต่สถานที่ท่องเที่ยวบางแห่งก็เริ่มปิด ในช่วงเวลานี้ราคาที่พักส่วนใหญ่เป็นราคาปกติ หรืออาจลดราคาในวันหยุดยาว
กลางเดือนมิถุนายน-สิงหาคม เป็น High season ของการท่องเที่ยวในสวีเดน สถานที่ท่องเที่ยวและที่พักทุกแห่งเปิดให้บริการแก่นักท่องเที่ยวในช่วงเวลานี้ แต่ร้านค้าและร้านอาหารบางแห่งอาจปิดในเดือนกรกฎาคมไปจนถึงสิงหาคม เนื่องจากชาวสวีดิชนิยมหยุดพักผ่อนในช่วงเวลานี้