Celeb Online

“บูดา+เปสต์” สองฝั่งที่บรรจบกัน จนกลายเป็นเมืองที่ไม่เคยหลับใหลในฮังการี


ถ้าพูดถึงเมืองที่ฮิปอีกเมืองหนึ่งในยุโรปตะวันออกเวลานี้คงต้องยกให้กับ “กรุงบูดาเปสต์” (Budapest) ในประเทศฮังการี ที่คั่นกลางด้วยแม่น้ำดานูบ (Danube River) โดยในอดีตประกอบด้วยฝั่ง “บูดา” (Buda) กับฝั่ง “เปสต์” (Pest) จนหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว นั่นคือ บูดาเปสต์ สำราญไปด้วยแหล่งเที่ยวกิน ดื่ม ชอป แบบราคาถูกหารสองเมื่อเทียบกับเมืองหลวงอื่นๆ ในยุโรป และนับจากนี้คือประสบการณ์ในบูดาเปสต์ของ “มาดามมอนทัวร์” (Madame Mon Tour)


ก่อนหน้านี้มาดามมอนทัวร์เคยมาเยือนประเทศในแถบยุโรปตะวันออกอย่าง ออสเตรีย บัลแกเรีย และโรมาเนีย จึงตั้งใจว่าถ้ามีโอกาสสักครั้งจะมาเช็กอินที่ฮังการีสักหน่อย และเมื่อมาถึงแล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆ โดยเฉพาะในบูดาเปสต์เมืองหลวง เนื่องจากเป็นเมืองที่มีการผสมผสานวัฒนธรรมดั้งเดิมและวัฒนธรรมสมัยใหม่เข้าไว้ได้อย่างกลมกลืน ที่สำคัญค่าครองชีพถูกกว่าประเทศอื่นๆ ในยุโรปแบบหารสองเลยทีเดียว


ขอย้อนกลับไปหน่อยเกี่ยวกับ “บูดาเปสต์” เป็นเมืองหลวงของประเทศฮังการี เนื่องจากเป็นเมืองที่ได้มีการรวมเอาสองเมืองเข้าด้วยกัน นั่นคือ “เมืองบูดา” อยู่ทางตะวันตก กับ “เมืองเปสต์” ที่อยู่ทางตะวันออก คั่นด้วยแม่น้ำดานูบ ซึ่งบูดาเปสต์มีความงดงามและรุ่มรวยไปด้วยประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และธรรมชาติมากมาย จนได้รับการขนานนามว่าเป็น “ราชินีแห่งแม่น้ำดานูบ” และได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในเขตเมืองที่มีความโดดเด่นที่สุดในโลกอีกด้วย มีถนนเลียบสองฝั่งแม่น้ำทำให้สามารถขับรถหรือเดินชมเมืองท่ามกลางสายลมที่พัดโชยไปมาตลอดเวลา


แน่นอนว่าไฮไลต์สำคัญของเมืองจึงอยู่ที่บริเวณสองฝั่งแม่น้ำดานูบ เมื่อเดินไปตามถนนเลียบแม่น้ำหน้ารัฐสภาฮังการี ก็จะพบกับอนุสรณ์รองเท้าที่สร้างขึ้นเมื่อ 16 เมษายน 2548 โดยผู้กำกับภาพยนตร์ “แกน โตเกย์” (Can Togay) ด้วยประติมากร “กูลา ปาแวร์” (Gyula Pauer) เพื่อเป็นเกียรติแก่ชาวยิวที่ถูกฆ่าโดยลัทธิฟาสซิสม์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งพวกเขาได้รับคำสั่งให้ถอดรองเท้าและถูกยิงที่ริมน้ำเพื่อให้ร่างของพวกเขาตกลงไปในแม่น้ำ


สัญลักษณ์ที่คุ้นเคยเมื่อพูดถึงประเทศฮังการี นั่นคือ อาคารรัฐสภาฮังการี (Hungarian Parliament) เป็นสภาที่สวยที่สุดในโลกและใหญ่ที่สุดในยุโรป ตั้งตระหง่านอยู่ริมแม่น้ำดานูบบนฝั่งเปสต์ ตัวอาคารเป็นศิลปะแบบนีโอกอธิก ตกแต่งด้วยทองคำถึง 40 กิโลกรัม อัญมณีกว่า 500,000 ชิ้น และมีโครงสร้างตรงกลางเป็นโดมสูง 96 เมตร ใช้เวลาสร้างนานถึง 20 ปี กว่าจะเนรมิตสถาปัตยกรรมอันงดงามนี้แล้วเสร็จ


ฝั่งเปสต์แถบเดียวกับรัฐสภาฮังการี คือ “สะพานเชน” (Chain Bridge) เป็นหนึ่งในสะพานที่สวยที่สุดในยุโรปที่สร้างข้ามแม่น้ำดานูบ สร้างขึ้นเมื่อปี 1839 โดยวิศวกรชาวอังกฤษ “วิลเลียม เทียร์นีย์ คลาร์ก” (William Tierney Clark) เป็นสะพานที่ใช้โซ่ขนาดใหญ่เป็นองค์ประกอบแห่งแรกที่เชื่อมระหว่างฝั่งบูดากับฝั่งเปสต์ ซึ่งเหล็กและวัสดุทั้งหมดนำมาจากประเทศอังกฤษทั้งสิ้น ที่คอสะพานเชนมีรูปปั้นหินแกะสลักรูปสิงโตนอนหมอบอยู่ทั้งสองข้าง ยามค่ำคืนสะพานแห่งนี้จะสว่างไสวเรืองรองไปด้วยแสงไฟอันโชติช่วง

ตีนสะพานเชนฝั่งเปสต์มีบาร์เล็กๆ ให้ได้นั่งชมวิวริมแม่น้ำดานูบ มีเบียร์ ไวน์ วอดก้า ค็อกเทล และอาหารประเภทสแน็กให้เลือกดื่มกิน ยิ่งในช่วงบ่ายแก่ๆ จะคึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวและผู้คนท้องถิ่นออกมานั่งกินลมชมวิว และพบปะพูดคุยกันอย่างรื่นรมย์


ยังอยู่ในฝั่งเปสต์ ถ้าเดินขึ้นไปอีกหน่อยจะพบกับ “สะพานเอลิซาเบธ” (Elisabeth Bridge) ซึ่งเป็นสะพานแขวนข้ามแม่น้ำดานูบระหว่างเมืองบูดากับเมืองเปสต์ สะพานตั้งอยู่ในส่วนที่แคบที่สุดของแม่น้ำดานูบในเมืองหลวงบูดาเปสต์ มีความยาวทั้งสิ้น 378.6 เมตร ความยาวระหว่างตอม่อ 290 เมตร โดยชื่อสะพานนี้มาจากพระนามของดัชเชสเอลิซาเบธแห่งบาวาเรีย ซึ่งเป็นสมเด็จพระจักรพรรดินีแห่งออสเตรีย กับสมเด็จพระราชินีแห่งฮังการี ซึ่งถูกลอบปลงพระชนม์ในปี พ.ศ. 2441 ปัจจุบันนี้มีอนุสาวรีย์ของพระนางตั้งอยู่บริเวณสะพาน


ภาพมุมสูงระหว่างทางเดินขึ้นไปบนยอดเขาเพื่อไปชมอนุสาวรีย์เสรีภาพ (Liberty Statue) จะพบกับอนุสาวรีย์เจลลาร์ต (Gellért Monument) หรืออนุสาวรีย์เจอราร์ด (Gerard Monument) ในภาษาอังกฤษ สร้างขึ้นเมื่อปี 1904 เพื่อระลึกถึงนักบุญที่ในมือของเขาถือไม้กางเขน โดยประติมากร “กูลา ยานโกวิตส์” (Gyula Jankovits) ล้อมรอบด้วยเสากึ่งวงกลมสไตล์นีโอคลาสสิก สูง 2 เมตร ตั้งตระหง่านบนเนินเขาเหนือขึ้นไปจากสะพานเอลิซาเบธฝั่งบูดา


เมื่อข้ามมาฝั่งบูดาแล้ว หากเดินลัดเลาะไปริมฝั่งแม่น้ำจะพบกับ “ปราสาทบูดา” (Buda Castle) ที่มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 8 ศตวรรษ มีความใหญ่โตมโหฬาร ตั้งอยู่บนเนินเขา สามารถมองเห็นจากฝั่งเปสต์ทั้งกลางวันและในยามค่ำคืน เด่นพอๆ กับรัฐสภาฮังการี สร้างขึ้นตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 12 เพื่อป้องกันการถูกรุกรานจากเหล่าศัตรู ด้านหนึ่งของปราสาทเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์แห่งชาติฮังการี (Hungarian National Gallery) และพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์บูดาเปสต์ (Budapest History Museum) ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก (UNESCO World Heritage) แล้วเช่นกัน


เมื่อเดินทะลุผ่านปราสาทบูดามาก็จะพบกับมิวเซียมเก๋ๆ เล็กๆ หลายแห่ง และเรียงรายไปด้วยร้านรวงต่างๆ มากมาย ทั้งร้านอาหาร บาร์เล็กๆ ร้านขายของที่ระลึก


โบสถ์แมตเธียส์ (Matthias Church) เป็นสถานที่ทำพิธีราชาภิเษกกษัตริย์ฮังการีมาหลายทศวรรษ ปัจจุบันเป็นสถานที่ทำพิธีสวดมนต์ต่างๆ ตั้งอยู่บนคาสเซิลฮิลล์ในฝั่งบูดา โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบบาโร้กผสมผสานกับกอธิก หลังคาปูด้วยกระเบื้องสีอันโดดเด่น ภายในโบสถ์มีภาพวาดฝาผนังเป็นลวดลายใบไม้สีทองและหน้าต่างกรุกระจกสี และยังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ศิลปะสงฆ์ (Ecclesiastical Art Museum) บรรจุงานแกะสลักหินยุคกลาง โบราณวัตถุศักดิ์สิทธิ์ อัญมณีและรูปจำลองมงกุฎหลวงจากงานราชาภิเษกของกษัตริย์ฮังการี


ข้ามแม่น้ำกลับมาที่ฝั่งเปสต์ ซึ่งฝั่งนี้จะเต็มไปด้วยร้านรวงและบาร์เก๋ๆ มากมาย เป็นแหล่งรวมสถานที่แฮงก์เอาต์ที่ใครมาเยือนบูดาเปสต์จะต้องไปเช็กอิน โดยเฉพาะย่านถนนด็อบ (Dob Street) ที่ให้บรรยากาศเหมือนถนนทองหล่อ แนะนำว่าถ้าเจอร้านไหนถูกใจก็เข้าไปได้เลย ไม่ต้องกังวลเรื่องราคาค่าอาหารและเครื่องดื่ม เพราะเมื่อเช็กบิลแล้วก็ไม่ต่างจากย่านทองหล่อบ้านเรา


ย่านถนนด็อบนี้ ตอนกลางวันจะเป็นอีกฟีลลิ่งหนึ่ง นั่นคือ มีร้านจำหน่ายสินค้าแฮนด์เมด ของเก่า ของที่ระลึก ฯลฯ ส่วนตอนกลางคืนจะเปลี่ยนสภาพเป็นไนต์ไลฟ์สุดคึกคัก


เมื่อเดินมาเจอร้านไอศกรีมและขนมหวาน มาดามมอนทัวร์จึงขอหยุดพักและลิ้มลองเมนูเด็ดกันหน่อย ภายในตกแต่งสุดหวานแหววด้วยโทนสีชมพูทั้งร้าน ที่สำคัญ ไอศกรีมและขนมหวานส่วนใหญ่ก็จะมีโทนสีชมพูอีกเช่นกัน


ยังอยู่ในฝั่งเปสต์ เมื่อเดินผ่านย่านถนนด็อบมาเรื่อยๆ อีกประมาณ 700 เมตร ก็จะพบกับสวนสาธารณะประจำเมืองบูดาเปสต์ (City Park) โดยด้านซ้ายมือจะพบกับ พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัย (The Museum of Fine Arts) ส่วนตรงกลางเป็นจัตุรัสวีรบุรุษ หรือ Heroes Square สร้างขึ้นตามแนวคิดของ “อัลเบิร์ต ชีเกดานซ์” (Albert Schickedanz) และ “ฟูลอป แอร์ซอก (Fülöp Herzog) สไตล์นีโอคลาสสิกผสมผสานระหว่างปี 1900 ถึงปี 1906 ภายในประกอบด้วยผลงานศิลปะนานาชาติ ยุโรป และฮังการี มากกว่า 100,000 ชิ้น


จุดเด่นเมื่อมาเยือนสวนสาธารณะประจำเมืองบูดาเปสต์ (City Park) ก็จะพบกับ “จัตุรัสวีรบุรุษ” (Heroes Square) ที่ตั้งเด่นเป็นสง่า สร้างขึ้นเพื่อฉลองครบรอบ 1,000 ปี การก่อตั้งประเทศฮังการีนั่นเอง เดิมทีเป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์วีรบุรุษแห่งฮังการี ที่ประกอบด้วยผู้นำชาวฮังการีในการพิชิตชาวคาร์ปาเธียน (Carpathians) รวมไปถึงหัวหน้าชนเผ่าฮังการีทั้ง 7 ตรงกลางมีเสาสีขาวสูง 36 เมตร บนยอดเสามีรูปปั้นของกาเบรียล หัวหน้าทูตสวรรค์ยืนอยู่




หอศิลป์คุนทัลเลส (Kunsthalles) ในภาษาเยอรมัน ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัย (The Museum of Fine Arts) ที่คั่นด้วยจัตุรัสวีรบุรุษ ออกแบบโดย “อัลเบิร์ต ชีเกดานซ์” (Albert Schickedanz) และ “ฟูลอป แอร์ซอก (Fülöp Herzog) สไตล์นีโอคลาสสิก เป็นสถานที่จัดแสดงนิทรรศการศิลปะร่วมสมัยชั่วคราว ขึ้นตรงต่อกระทรวงศึกษาและวัฒนธรรมของฮังการี ภายในมีร้านหนังสือ ห้องสมุด และคาเฟ่นั่งชิล


เมื่อเดินเข้าไปภายในสวนสาธารณะประจำเมืองบูดาเปสต์ จะพบกับป้อมชาวประมง (Fisherman’s Bastion) ที่คล้ายกับปราสาทในการ์ตูนวอลท์ดิสนีย์ สร้างขึ้นเมื่อปี 1895 เป็นป้อมปราการสีขาวสไตล์นีโอกอธิก เพื่อรำลึกถึงความกล้าหาญของเหล่าชาวประมงที่เสียสละชีวิตเพื่อปกป้องบ้านเมืองแห่งนี้ไว้ ภายในมีหอสังเกตการณ์ทั้งหมด 7 แห่ง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนชนเผ่าแมกยาร์ ป้อมปราการนี้ตั้งตระหง่านอยู่บนสุดของคาสเติลฮิลล์ (Castle Hill) ทำให้สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์อันสวยงามของแม่น้ำดานูบ สะพานเชน และอาคารรัฐสภาฮังการีได้ในแบบพานอรามา


ในช่วงวันหยุดก็จะมีการออกร้านจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มพื้นเมือง เป็นแบบถนนคนเดิน ซึ่งสร้างความรื่นรมย์ไม่น้อยเพราะปกคลุมไปด้วยแมกไม้น้อยใหญ่ และมีทะเลสาบเล็กๆ


ภายในสวนสาธารณะประจำเมืองบูดาเปสต์แห่งนี้ยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจอีกหนึ่งอย่าง นั่นคือ ภายใน “โรงอาบน้ำเชชีนี เธอร์มาล” (Széchenyi Thermal Bath) เพื่อผ่อนคลายร่างกายในช่วงวันหยุด เป็นที่ที่มีสปาน้ำพุร้อนที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ประกอบด้วย สระน้ำกลางแจ้งขนาดใหญ่ 3 สระ และสระน้ำในร่มอีก 15 สระ น้ำที่ใช้เป็นน้ำแร่ธรรมชาติ มีคุณสมบัติช่วยบรรเทาอาการปวดและช่วยปรับระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกาย เราสามารถเลือกแช่น้ำที่มีอุณหภูมิเหมาะกับตัวเองจากสระต่างๆ ได้ มีกิจกรรมริมสระให้เลือกทำมากมาย ไม่ว่าจะเป็น บริการนวดในน้ำ ตกแต่งเล็บเท้า ทรีตเมนต์บำรุงผิวหน้า หรือจะนั่งจิบเบียร์เย็นๆ ชมบรรยากาศโดยรอบก็ไม่ว่ากัน นอกจากนี้ยังมีห้องอบไอน้ำให้เข้าไปนั่งผ่อนคลายอีกด้วย


ปิดท้ายที่มหาวิหารเซนต์สตีเฟน (St. Stephen's Basilica) เป็นมหาวิหารโรมันคาทอลิก โดยตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่สตีเฟน กษัตริย์พระองค์แรกของฮังการี (ค.ศ. 975-1038) บริเวณรอบๆ นี้มีร้านอาหารและบาร์เก๋ๆ ให้ได้ชิลดื่มด่ำบรรยากาศของบูดาเปสต์ในหลากหลายอารมณ์


Note
1. การเดินทางประเทศไทยไปยังกรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี ยังไม่มีไฟลต์บินตรงจากประเทศไทย แต่แนะนำให้นั่งเครื่องบินของสายการบินไทย บินตรงไปลงที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย จะสะดวกที่สุด โดยสายการบินไทยมีบินตรงจากกรุงเทพฯ สู่กรุงเวียนนา 4 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ คือ วันจันทร์ พฤหัสบดี เสาร์ และอาทิตย์ ขาไปเที่ยวบิน TG936 ออกจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯ เวลา 01.20 น. ถึงเวลา 07.15 น. ขากลับเที่ยวบิน TG937 ออกจากท่าอากาศยานเวียนนา เวลา 14.35 น. ถึงประเทศไทยเวลา 05.35 น. คลิกดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://goo.gl/4Epywr


2. หรืออีกวิธี ให้คุณผู้อ่านจองตั๋วเครื่องบินผ่านแอปพลิเคชันของ Traveloka แล้วเลือกเช็กอินออนไลน์กับ Traveloka ผ่านแอปพลิเคชัน หรือหน้าเว็บได้เลย เข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ https://www.traveloka.com/th-th/checkin ทำให้มีเวลาเหลือก่อนขึ้นเครื่อง, ช่วยประหยัดเวลา สำหรับคนที่ไม่ต้องโหลดกระเป๋า ก็ไม่ต้องเสียเวลา รอบอร์ดดิ้งไทม์ได้เลย, สะดวก และรวดเร็วทันใจ ช่วยทำให้การเดินทางง่ายขึ้นกว่าที่เคยจริงๆ รับรอง


3. การเดินทางจากกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ไปยังกรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี แนะนำให้นั่งรถบัสไปจะถูกกว่านั่งเครื่องบินหรือนั่งรถไฟ เนื่องจากมีราคาถูก และสะดวก แถมได้นอนหลับพักผ่อนบนรถบัสได้ดีอีกด้วย โดยแนะนำให้รถไฟของบริษัท OBB จากสนามบินเวียนนา ไปยังสถานี Vienna Central Station หรือชื่อเรียกแบบท้องถิ่นว่า Wein Hauptbahnhof (Wein Hbf) เป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อทั้งภายในและระหว่างประเทศ ซึ่งใกล้ๆ กันจะมีท่ารถบัส (สีเหลือง) ไปยังบูดาเปสต์เกือบทุกชั่วโมง ราคาต่อเที่ยวประมาณ 500-700 บาท แล้วแต่ช่วงเวลาในการเดินทาง ห่างกันประมาณ 243 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงเศษ


4. สำหรับที่พัก แนะนำให้จองที่พักแบบอพาร์ตเมนต์จะดีที่สุด เพราะห้องกว้างขวางและมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ราคาต่อคืนประมาณ 1,500-2,500 บาท แล้วแต่สถานที่ แต่แนะนำให้พักย่านถนนด็อบ (Dob Street) จะดีที่สุดเพราะเป็นศูนย์รวมนักท่องเที่ยวทั่วโลก คล้ายกับถนนข้าวสารบ้านเรา และมีร้านอาหาร คลับ บาร์ ให้เลือกแฮงก์เอาต์มากมายในราคาพอๆ กับบ้านเรา