>>ใกล้ถึงเวลาแห่งการสิ้นสุดการเดินทางแล้วสำหรับทริปของผู้โชคดีของซิซ์เล่อร์กับทริป Sizzler Adventurous Cairns &Sydney ที่เราเคยพาคุณไปเปิดประสบการณ์ที่เมืองแคนส์มาแล้ว…เคยสังเกตมั้ยว่าหลายครั้งทริปของซิซซ์เล่อร์มักจะพาผู้โชคดีไปเที่ยวยังดินแดนออสเตรเลีย นั่นเป็นเพราะออสเตรเลียเป็นดินแดนหนึ่งที่ซิซซ์เล่อร์ไปฝังตัวอยู่จนเป็นเจ้าตำนานของอาหารประเภทสเต๊กและยังเป็นสำนักงานใหญ่ในภูมิภาคนี้ด้วย
กำเนิดของซิซซ์เล่อร์นั้นมาจาก มร.เดล จอห์นสัน และภรรยา เฮเลน ก่อตั้งสาขาแรกขึ้นที่เมืองคลูเวอร์ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ใน พ.ศ. 2501 โดยชื่อ “ซิซซ์เล่อร์” มีที่มาจากเสียง “ฉ่า” ของสเต๊กเมื่อเสิร์ฟบนกระทะร้อนนั่นเอง!! ในปี พ.ศ. 2509 มร.จอห์นสัน ได้เสนอขายกิจการร้านซิซซ์เล่อร์ ให้กับ มร.จิม คอลลินส์ ซึ่งภายหลังกลายเป็นเจ้าของกิจการแฟรนไชส์ที่ใหญ่ที่สุดของธุรกิจฟาสต์ฟูดในฝั่งตะวันตกของสหรัฐอเมริกา และพอ พ.ศ. 2528 ซิซซ์เล่อร์ได้ขยายธุรกิจไปถึงประเทศออสเตรเลีย โดยการดำเนินงานของ บริษัท คอลลินส์ ฟู้ด สาขาแรกตั้งอยู่ที่เมืองแอนเนอร์เลย์ รัฐควีนส์แลนด์ ก่อนที่จะขยายสาขากระจายไปทั่วรัฐควีนส์แลนด์ นิวเซาท์เวลส์ ออสเตรเลียเหนือ และออสเตรเลียตะวันตกในปัจจุบัน ซึ่งครั้งนี้เราก็ไม่พลาดที่จะชิมซิซซ์เล่อร์ถึงดินแดนจิงโจ้แห่งนี้
ร้านอาหารซิซซ์เล่อร์เป็นร้านอาหารประเภทสเต๊ก ซีฟูด และสลัด สไตล์ตะวันตก มีสาขาอยู่ทั่วโลก ที่ประเทศออสเตรเลีย มีเมนูคล้ายๆ กับของเมืองไทยที่เน้นเป็นอาหารฝรั่งประเภทสเต๊ก สลัด และพาสต้า อาจจะแตกต่างกับเมืองไทยในเรื่องของที่มาของวัตถุดิบซึ่งที่นี่เขาใช้ผลิตภัณฑ์ในประเทศที่เขาเลี้ยงเอง แต่ในส่วนของเมืองไทยอาจยังต้องมีเรื่องของการนำเข้าวัตถุดิบจากออสเตรเลียหรือจากแหล่งอื่นๆ บ้าง และอีกสิ่งหนึ่งที่แตกต่างก็คือความสนุกในการตักสลัดบุฟเฟต์เพราะที่นี่มีผักให้เลือกหลากหลาย และมีตู้ไอศกรีมขนาดใหญ่ให้เลือกรสชาติของไอศกรีมพร้อมตกแต่งทอปปิ้งได้ตามใจ ประกอบกับมีไวน์บาร์ให้เลือกจิบไวน์เพื่อเจริญอาหารได้ตามอัธยาศัย
ครั้งนี้นอกจากเราจะได้ไปชิมอาหารและบรรยากาศของซิซซ์เล่อร์ถึงประเทศออสเตรเลียแล้ว เรายังเก็บความทรงจำและประสบการณ์ว่าครั้งหนึ่งเราเคยไปใช้ชีวิตเป็นส่วนหนึ่งของเมืองซิดนีย์ ได้เก็บเรื่องราวความรู้และเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยมาฝากคุณผู้อ่าน
ปัจจุบันซิดนีย์เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในออสเตรเลียและมีจำนวนนักศึกษาไทยไปศึกษามากที่สุดด้วย ซิดนีย์จัดได้ว่าเป็นเมืองที่คึกคักเต็มไปด้วยสีสันและมีชื่อเสียงมาก ที่นี่ยังเป็นเมืองเก่าแก่ที่สุดของออสเตรเลีย เป็นขุมพลังทางเศรษฐกิจและเป็นศูนย์กลางของทุกด้าน แม้ว่าจริงๆ แล้ว ซิดนีย์จะไม่ใช่เมืองหลวงของประเทศออสเตรเลียก็ตาม นอกจากนั้น ซิดนีย์ยังเคยเป็นเมืองหลวงอันดับแรกของออสเตรเลีย โดยมีการประกาศว่าซิดนีย์เป็นเมืองหลวงของออสเตรเลียซึ่งอยู่ในอาณานิคมของอังกฤษ เมื่อวันที่ 26 ม.ค 1788 ส่วนชื่อ “ซิดนีย์” นั้นมาจากรัฐมนตรีมหาดไทยของออสเตรเลียในขณะนั้นคือ นายพลซิดนีย์
มีเรื่องเล่าว่าในปี ค.ศ.1670 กัปตันคุกส์ได้เดินทางขึ้นมาบนดินแดนออสเตรเลียและมาพบเข้ากับชนเผ่าอีออร่า ด้วยความที่กัปตันคุกส์เดินทางทางทะเลและเจอชนเผ่าเยอะ จึงมีวิธีที่จะผูกไมตรีกับชนเผ่า เขาคลุกคลีศึกษาความเป็นอยู่ของชนเผ่าอยู่สักพักก่อนที่จะเดินทางกลับไปถวายสาสน์ให้พระราชินีว่ามีการค้นพบดินแดนใหม่ พระราชินีจึงทรงประกาศให้เขตแดนนี้เป็นอาณานิคมของอังกฤษ สั่งให้จัดขบวนเรือมา 3 ลำ โดยการนำของอาร์เธอร์ ฟิลิป พานักโทษมา 700 กว่าคนพร้อมกับผู้คุมรวมเป็น 1,500 คน เดินทางมาขึ้นเรือที่ท่าเรือเซอร์คูล่า คีย์ จนสุดท้ายชนเผ่าอีออร่าที่เคยอาศัยอยู่ก็ต้องถอยร่นเข้าไปข้างในแผ่นดินลึกๆ ของออสเตรเลีย หลังจากนั้นชาวอังกฤษจึงยึดพื้นที่ในเขตนี้
จะว่าไปแล้วซิดนีย์เป็นเมืองที่ฮวงจุ้ยดี มีน้ำ มีอ่าว มีภูเขาและไม่เคยมีเรื่องของภัยธรรมชาติ ซิดนีย์ยังมีท่าเรือที่สวยงาม อากาศสดใส ร้านอาหารดีๆ บาร์ สถานบันเทิงและสถานที่ท่องเที่ยวจำนวนมาก ที่นี่ยังมีการผสมผสานของเชื้อชาติกลุ่มต่างๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตทางวัฒนธรรมของเมืองนี้ ซิดนีย์จึงเป็นสุดยอดเมืองนานาชาติ ติดอันดับ 1 ใน 10 เมืองน่าอยู่
ย่านหนึ่งที่เรายังไม่เคยพูดถึงในการมาเยือนซิดนีย์คราวก่อนก็คือ “The Rock” จุดดึงดูดของย่านเดอะร็อกก็คือที่นี่เราจะสามารถเก็บภาพมุมสวยๆ ของ ซิดนีย์โอเปรา เฮาส์ ได้อย่างเต็มตา หรือจะเดินรับลม ชมบรรยากาศเมืองเก่าตึกสีอิฐให้ความรู้สึกแข็งแกร่งแบบคลาสสิก ซึ่งอยู่ห่างจากท่าเรือ Circular Quay เพียง 5 นาที
ย่านอันเก่าแก่แห่งนี้ยังดึงดูดใจนักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่นด้วยพิพิธภัณฑ์และหอศิลป์ ตลาดสุดสัปดาห์ที่มีชีวิตชีวาและโรงแรมที่มองเห็นทิวทัศน์ของอ่าว …บนถนนปูหินอันสูงชันและไม่เป็นระเบียบของย่าน The Rocks เราสามารถพบบ้านพักคนงานในยุคก่อน และระเบียงอันงดงาม หอศิลป์ และผับที่เก่าแก่ที่สุดในซิดนีย์ ซึ่งอดีตและปัจจุบันที่มีความขัดแย้งกัน สามารถอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืนที่สุดในย่าน The Rocks ที่นี่
โดยระหว่างที่เราเดินเล่นรับลมพร้อมโพสท่าถ่ายรูปนั้นคุณไกด์ของเราได้เล่าถึงประวัติความเป็นมาของย่านเดอะร็อกว่าที่นี่เคยเป็นที่พักของนักโทษและคนงานชนชั้นกรรมาชีพมาก่อน แต่ในปัจจุบันสถานที่เหล่านี้เป็นที่ตั้งของบูติกเสื้อผ้าอันสวยงามและหอศิลป์ ที่เราสามารถซื้อหาของที่ระลึกคุณภาพดีราคาแพง หรือชมผลงานของศิลปินชาวออสเตรเลีย ในตลาดนัดวันอาทิตย์ที่เราจะพบทุกสิ่งนับตั้งแต่เครื่องประดับ งานฝีมืออันทันสมัยไปจนถึงเครื่องปรุงสำหรับทำอาหารป่า หรือจะแวะดูไพ่ทาโรต์ในร้านหนังสือที่รู้จักกันเฉพาะกลุ่ม แล้วหาอาหารกลางวันง่ายๆ ทานในร้านขนมหวาน หรือร้านกาแฟที่มีลานบ้านตามแบบโคโลเนียล
ย่าน The Rocks ยังตั้งอยู่ในแหล่งของสถานที่ท่องเที่ยวเชิงศิลปะบางแห่งซึ่งเป็นที่รู้จักดีของซิดนีย์ ที่อ่าว Walsh Bay ใกล้ๆ กันนั้น เราสามารถชมการแสดงของคณะละคร Sydney Dance Company หรือเข้าเรียนเต้นรำกับคณะละคร Sydney Theatre Company ก็ได้ โดยมีพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัย Museum of Contemporary Art ที่จัดแสดงนิทรรศการยุคใหม่จากทั่วออสเตรเลียและทั่วโลก หรือถ้าหากต้องการสัมผัสประสบการณ์เชิงประวัติศาสตร์ ก็ต้องมุ่งหน้าไปที่ Justice and Police Museum ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ทำการศาลที่ตัดสินความอาชญากรจากเขตอันธพาลบริเวณพื้นที่ชายฝั่งซิดนีย์ เขาจะให้เราชมห้องขังนักโทษที่รอการพิจารณาคดีในยุคนั้นและจินตนาการไปถึงห้องขังของตำรวจที่ได้รับการปรับปรุงขึ้นในทศวรรษที่ 1890 เพื่อเจาะลึกถึงด้านมืดของซิดนีย์ในยุคต้นให้มากขึ้น
ไกด์ของเราเพิ่มเติมว่าความหฤหรรษ์ของย่าน The Rock นี้ยังไม่หมด เพราะที่นี่ยังเป็นที่ที่นักล่า ท้า ผี นิยมมาลองของกัน เพราะมีเรื่องเล่าเขย่าขวัญขณะเดินผ่านตรอกเล็กๆ ที่อาจจะมีแสงตะเกียงตามคุณมาโดยไม่เห็นต้นกำเนิดของแสงนั้น ว่ากันว่าวิญญาณของนักโทษในสมัยโบราณอาจรักถนนปูหินกรวดเส้นนี้อยู่ก็ได้ บรื๋อ!
แต่ในความน่ากลัวนั้นก็หาได้ทำให้ผู้คนหวาดกลัวไม่ เพราะทัศนียภาพที่สวยงามทำให้ที่นี่กลายเป็นที่ที่ใช้จัดงานเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของซิดนีย์บางงาน อย่างในวันที่ 26 มกราคมซึ่งเป็นงานฉลองวันชาติออสเตรเลีย วัน Anzac Day ในวันที่ 25 เมษายน และเทศกาลในวันส่งท้ายปีเก่าที่จะมีการจุดพลุดอกไม้ไฟเหนืออ่าวซิดนีย์อย่างอลังการ จะว่าไปแล้ว The Rocks ในอดีตและปัจจุบันช่างขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง แต่อดีตผ่านไปผู้คนก็ค่อยๆ หลงลืมความน่ากลัวนั้นไปแล้ว
สัมผัสกับบรรยากาศครบทุกรสทั้งสนุกหวาดเสียวจากสกายวอล์ก ฝันหวานราวกับเป็นซินเดอเรลลาบนลีมูซีนคันหรู หลอนขนหัวลุกตอนเยือนย่านเดอะร็อก ก็ถึงเวลาต้องกล่าวคำอำลาทริปครบทุกรสกับซิซซ์เล่อร์กันแล้ว ถ้าคราวหน้ามีประสบการณ์น่าจดจำอื่นๆ เราคงไม่พลาดที่จะนำมาบอกเล่ากันอีก
7 ไฮไลต์ @ ซิดนีย์
1. ซิดนีย์ ทาวเวอร์ อาย (Sydney Tower Eye) หอคอยชมวิวสูง 278 เมตร สูงที่สุดในดินแดนซีกโลกใต้ ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็จะเห็นหอคอยนี้เด่นเป็นสง่า จากชั้นล่างมีลิฟต์ความเร็วสูงใช้เวลาเพียง 40 วินาทีสู่ชั้นบนสุดซึ่งเป็นจุดชมวิว บนนี้มองเห็นเมืองทั้งหมดได้รอบแบบ 360 องศา ทั้งฮาร์เบอร์ บริดจ์ โรงละครซิดนีย์ โอเปรา เฮาส์ ท่าเรือ อ่าวซิดนีย์
2. สกายวอล์ก (Sky Walk) ด้วยการเดินชมวิวเมืองซิดนีย์บริเวณระเบียงด้านนอกบนยอดหอคอยแบบไร้สิ่งใดกั้น นอกจากเห็นวิวที่ไม่มีอะไรมาบดบังแล้ว ยังได้รับประสบการณ์ตื่นเต้นไม่เหมือนใคร สำหรับคนที่กลัวความสูงไม่ต้องห่วงเพราะที่นี่มีมาตรฐานความปลอดภัยให้กับผู้เล่น โดยก่อนเดินสู่ด้านนอกจะต้องเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดกันลม มีโซ่คล้องเอวเชื่อมกับราวเหล็กเพื่อป้องกันการร่วงหล่น รวมทั้งมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลอย่างดี
3. ซิดนีย์ อควาเรียม พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำขนาดใหญ่และมีผู้เข้าชมมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก สัมผัสกับชีวิตสัตว์โลกใต้ทะเลของออสเตรเลียกว่า 5,000 ชนิด โดยสามารถเดินผ่านอุโมงค์ขนาดใหญ่ที่มีฉลามขาว และปลากระเบนตัวขนาดมหึมาว่ายวนเวียนอยู่รอบตัว พร้อมทั้งชื่นชมความงามอันน่าพิศวงของปลาจากเขตร้อนที่มีสีสันสดสวย และมนต์เสน่ห์ของแนวหินปะการังที่มีชีวิตในเกรต แบร์ริเออร์ รีฟ ดิสเพลย์
4. สวนสัตว์พี้นเมือง “Wildlife Sydney” ที่ที่เราจะได้สัมผัสกับการจำลองชีวิตความเป็นอยู่ของสัตว์ ในประเทศออสเตรเลียที่ใช้ชีวิตอยู่ตามธรรมชาติและกลมกลืนกับความเป็นอยู่ของชาวอะบอริจินส์ ชนเผ่าพื้นเมืองของประเทศออสเตรเลีย ทั้งจิงโจ้ วอลลาบี้ โคอาล่า
5. ท่าเรือเซอร์คูล่า คีย์ ซึ่งเป็นท่าจอดเรือขนาดใหญ่ของเมืองซิดนีย์และมีเรือหลายลำล่องเรือสู่จุดท่องเที่ยวต่างๆ หลายแห่งในซิดนีย์
6. อ่าวซิดนีย์ บรรยากาศอันสดชื่นท่ามกลางแสงตะวันและทะเลสีคราม ที่ที่เราสามารถมองเห็นโอเปรา เฮาส์ สะพานฮาร์เบอร์ที่เชื่อมโยงเส้นทางจากเมืองซิดนีย์สู่นอร์ทซิดนีย์
7. โรงละครโอเปรา เฮาส์ สถาปัตยกรรมร่วมสมัยอันเป็นสัญลักษณ์ของออสเตรเลียที่องค์การยูเนสโกประกาศให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม โดดเด่นด้วยหลังคารูปเรือซ้อนเล่นลมเหมือนคลื่นหน้าจั่วสูงถึง 220 ฟุตอันเป็นเอกลักษณ์ ผู้ออกแบบชื่อนายยอร์น อูเซน สถาปนิกชาวเดนมาร์ก เป็นผลงานชนะเลิศการประกวดการออกแบบทั่วโลก ใช้เวลาก่อสร้างถึง 19 ปี :: Text by FLASH
>> อัปเดตข่าวในแวดวงสังคม กอสซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net และ ติดตาม CelebStagram ได้ที่ http://www.manager.co.th/celebonline/celebstagram/