>>มาถึงซานฟรานซิสโก ทั้งทีจะให้ใช้ชีวิตธรรมดาได้อย่างไร จึงหากิจกรรมทำด้วยการปั่นจักรยานเพื่อชมเมืองที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความเก๋ พร้อมกับการเบรกจิบไวน์รสเลิศตามประสาคอไวน์ ซึ่งดูเหมือนจะไม่เข้ากัน แต่เมื่อคุณลองมีไลฟ์สไตล์แบบนี้ในต่างประเทศรับรองว่าได้อรรถรสเกินคำบรรยายเลยทีเดียว
ด้วยความที่เป็นคนเยอะในการใช้ชีวิต (แหม…เข้ากับสไตล์ของ Celeb Online เป๊ะ!) เวลาเดินทางไปเที่ยวไหนทีจะให้ใช้ชีวิตธรรมดาได้อย่างไร จึงเกิดไอเดียปิ๊งขึ้นมาว่าควรจะออกไปปั่นจักรยานเที่ยวในซานฟรานซิสโก สักหน่อย เพราะเป็นเมืองที่มีครบทุกรสชาติ ทั้งภูเขา ทะเล ป่าไม้ สวนสาธารณะขนาดใหญ่ สถาปัตยกรรมดีไซน์สุดล้ำ อาหารอร่อย แสงแดดสีฟ้าคราม และอากาศเย็นตลอดวัน อีกอย่างเห็นว่าตอนนี้ในประเทศไทยเรากำลังฮิตปั่นจักรยานอยู่ด้วย จึงเลือกกิจกรรมปั่นจักรยานเที่ยว นับว่าง่ายและถูกที่สุด ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่กิจกรรมใหม่สำหรับคนซานฟรานซิสโก ก็ตาม แต่อย่างน้อยเราก็ได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนในต่างประเทศ
การมาเที่ยวต่างประเทศ ถ้าเราเดินทางมาเอง สิ่งแรกเลยก็คือจะต้องศึกษาก่อนว่า เมืองนั้นๆ เป็นอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นศิลปวัฒนธรรม วิถีการดำเนินชีวิต ระบบการขนส่ง ร้านรวงต่างๆ และที่พัก เมื่อเราเข้าใจโครงสร้างของเมืองนั้นๆ หมดแล้ว การท่องเที่ยวจึงเป็นเรื่องสนุก ตื่นเต้น และน่าค้นหาประสบการณ์ใหม่ๆ
สำหรับผมแล้วก่อนเดินทางมาเยือนซานฟรานซิสโก ก็ได้ศึกษาเกี่ยวกับเมืองนี้มาพอสมควร รวมถึงไม่พลาดกับ 4 สิ่งสำคัญเหล่านี้ เมื่อมาเยือนซานฟรานซิสโก นั่นคือ การกินอาหารทะเล จิบไวน์เลิศรสของรัฐแคลิฟอร์เนีย การชมวิวรอบเบย์ (Bay) และการได้ปั่นจักรยานข้ามสะพานโกลเดน เกต (Golden Gate) แต่สิ่งที่ตื่นเต้นสุดๆ ก็เห็นจะเป็นการทำกิจกรรมทั้ง 4 สิ่งนั้นพร้อมกันในวันเดียวนี่น่ะซิ ด้วยการเช่าจักรยานจาก Pier 39 แล้วปั่นผ่านจุดต่างๆ ของเมือง อยากแวะกินอาหาร จิบไวน์ หรือแวะถ่ายรูปตรงจุดไหนก็ทำได้ตามใจชอบ นับว่าเป็นโปรแกรม One Day Trip ที่ครบรสชาติและคุ้มค่าที่สุดเมื่อมาเยือนเมืองนี้ไม่น้อย
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ผมจึงสตาร์ทจาก Pier 39 ก่อน เพราะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ดังที่สุดแห่งหนึ่งของซานฟรานซิสโก ซึ่ง Pier 39 เป็นท่าเรือใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองเลยก็ว่าได้ เป็นท่าเรือเก่าแก่ที่ทำจากไม้ (โทนสีโอ๊ก) มีร้านรวงมากมาย ทั้งร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึกน่ารักกุ๊กกิ๊กมากมาย ร้านขนม และช็อกโกแลตชื่อดัง แต่ขอแนะนำว่าควรมาเดินในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ เพราะจะได้มีโอกาสพบนักดนตรีข้างถนนฝีมือเยี่ยมมาโซโล่ดนตรีให้ได้ชมกันอย่างใกล้ชิด ให้อารมณ์คล้ายกับมาเดินอยู่ในสวนสนุกคลาสสิกยังไงยังงั้น รวมถึงกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย ที่เล่นกันกระจายอยู่ทั่วไปบริเวณท่าเรือนี้ และที่โชคดีกว่านั้น คือ การได้เห็นฝูงสิงโตทะเลน่ารักๆ มานอนเกยท่าเรืออย่างไม่แคร์สายตา อวดหุ่นให้ผู้คนที่ผ่านมาเที่ยวที่นี่ได้ยลโฉมและถ่ายรูปเล่นอย่างเพลิดเพลิน
เมื่อเดินออกจาก Pier 39 ไปไม่ไกลมากนัก ผมก็พบกับจุดเช่าจักรยาน ซึ่งจักรยานให้เช่าที่นี่มีหลายแบบหลายราคา เลือกปั่นกันตามใจชอบ มีตั้งแต่แบบที่มีเครื่องยนต์ติดไว้ให้ เผื่อว่าขณะปั่นแล้วเกิดอาการเมื่อยล้า ก็จะได้พึ่งพาเครื่องยนต์ได้ ไปจนถึงจักรยานแบบที่มีเกียร์ปกติ สำหรับคนที่ร่างกายแข็งแรงและชอบการผจญภัย ส่วนผมเลือกแบบที่มีเครื่องยนต์ เพราะระยะทางที่ค่อนข้างไกล และลาดชันบ้างบางช่วง จึงไม่อยากเสี่ยงและเก็บแรงไว้ทำกิจกรรมอื่นๆ จะดีกว่า
สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรพลาดสำหรับการปั่นจักรยานเอาต์ดอร์ นั่นคือ การพกพาครีมกันแดด และน้ำเปล่าติดตัวไว้ตลอดเวลา เพราะถึงแม้ว่าอากาศที่เย็นสบายและลมโชยตลอดวันนั้น กลับแฝงไปด้วยภัยซ่อนเร้น โดยเฉพาะแสงอัลตราไวโอเลตที่สัมผัสมากๆ อาจเกิดฝ้าหรือผิวหมองคล้ำเอาได้ ส่วนน้ำเปล่า ก็แน่นอนว่าเมื่อเราปั่นจักรยานเหนื่อยๆ คอแห้ง จะได้หยิบมาดื่มคลายเหนื่อยได้ง่ายดาย
ผมเลือกปั่นจักรยานเลียบเลาะทะเลไปเรื่อยๆ ได้เห็นวิวสวยๆ ระหว่างทางมากมาย ยิ่งปั่นออกมาจาก Pier 39 ได้ประมาณ 200 เมตร ก็มาถึงร้านอาหารทะเลชื่อดัง อย่าง “เอมบาร์คาเดโร” (Embarcadero) ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องของอาหารทะเลหลากหลายเมนู ส่วนหนึ่งเป็นเพราะบริเวณนี้เป็นตลาดอาหารทะเลที่มีร้านอาหารข้างถนนและภัตตาคารขึ้นชื่อมากมาย ยิ่งได้ทานคู่กับไวน์ด้วยแล้วไม่ต้องพูดถึง มันเข้ากันได้เป็นอย่างดี
ไวน์ในรัฐแคลิฟอร์เนียมีมากมาย แต่แบรนด์ที่น่าสนใจที่สุดก็เห็นจะเป็นไวน์ของตระกูล “แกลโล” (Gallo) จากการก่อตั้งของสองพี่น้องชาวอิตาเลียน คือ “เออร์เนสต์ แกลโล (Ernest Gallo) และ “คูลิโอ แกลโล” (Julio Gallo) หรือเรียกย่อๆ ว่า อี แอนด์ เจ แกลโล (E&J Gallo) ที่มาตั้งรกรากอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนียมายาวนาน จนกลายเป็นไวเนอรี่ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีไวน์หลากหลายรุ่นให้เลือก ทั้ง “ปีเตอร์ เวลล่า” (Peter Vella) “คาร์โล รอสซี” (Carlo Rossi) “แกลโล แฟมิลี วินยาร์ด” (Gallo Family Vineyards) เป็นต้น
หลังจากอิ่มท้องจากการลิ้มรสอาหารทะเล และไวน์เลิศรสที่ร้านเอมบาร์คาเดโรแล้ว ผมก็ปั่นต่อมายังจุดชมวิวสวยๆ ซึ่งสามารถพบเห็นได้ตั้งแต่สวนสาธารณะ “ซานฟรานซิสโก มาริไทม์” (San Francisco Maritime) ที่มีจุดเริ่มต้นของสถานีรถรางประจำเมือง และอีกไม่ไกลก็จะมีถนนยื่นโค้งเข้าไปในทะเล สามารถถ่ายรูปเรือนจำ “อัลคาทรัซ” (Alcatraz) อันโด่งดังจากภาพยนตร์เรื่อง “เดอะ ร็อก” (The Rock) ได้อย่างชัดเจน
พอปั่นจักรยานเลียบเลาะชายฝั่งสวยๆ ไปอีกระยะหนึ่งก็ได้มาพบกับ “มารินา บูเลอวาร์ด” (Marina Boulevard) สถานที่จอดเรือเล็กๆ ริมทะเล บรรยากาศดี เบรกแวะถ่ายรูปเล็กน้อยแล้วปั่นจักรยานต่อไปก็ไปจบที่ “ฟอร์ต พอยต์” (Fort Point) ซึ่งเป็นป้อมปราการเก่าแก่ของซานฟรานซิสโก สมัย Civil War ตั้งอยู่ใต้สะพานโกลเดน เกต พอดี สามารถเข้าไปเดินชมภายในป้อมฟรี โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และถ้าวันไหนอากาศดีก็จะมีโอากสจะมีคนมาเล่นเซิร์ฟข้างป้อมฟอร์ต พอยต์ อีกด้วย
ผมโชคดีที่เลือกจักรยานที่มีเครื่องยนต์ด้วย เพราะช่วยประหยัดแรง (ของตัวเอง) เพราะว่าเส้นทางปั่นจักรยานจากป้อมฟอร์ต พอยต์ ไปจนถึงสะพานโกลเดน เกต นั้นค่อนข้างลาดชัน แต่เมื่อปั่นขึ้นไปถึงจุดชมวิวก็ได้สามารถถ่ายรูปสะพานอันเป็นสัญลักษณ์ของซานฟรานซิสโก้ ได้อย่างชัดเจน และถ้าต้องการสัมผัสความท้าทายเพิ่มขึ้น ก็แนะนำให้ปั่นจักรยานข้ามไปอีกฝั่ง แต่ริมสะพานมีทางเดินสองด้าน แต่ไม่ควรปั่นด้านขวา เพราะส่วนใหญ่จะมีผู้มาเยือนเดินทางขวักไขว่ไปมาอย่างไม่ขาดสาย แต่ถ้าต้องการชมเมืองซานฟรานซิสโก ทั้งเมือง รวมถึงเกาะอัลคาทรัซ อย่างชัดเจน ก็ควรปั่นด้านขวาของสะพานนั่นแหละ เพราะสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนที่สุด
หลังจากที่ปั่นจักรยานบนสะพานโกลเดน เกต ด้วยระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร ก็จะพบกับทางลาดลงแทบทั้งสิ้น ทำให้แทบไม่ต้องปั่นเองเลย ก่อนที่จะเข้ามาถึงเมืองซัวซาลิโต (Sausalito) ซึ่งเป็นเมืองท่าน่ารักๆ ฝั่งตรงข้ามเมืองซานฟรานซิสโก
ซัวซาลิโตเป็นเมืองที่เหมาะสำหรับการพักตากอากาศเป็นอย่างมาก เพราะทั้งเงียบสงบ อากาศดี นักปั่นจักรยานส่วนใหญ่จึงนิยมแวะมาพักที่นี่เพื่อรับประทานอาหาร หรือพักผ่อนตามอัธยาศัย หรือเดินถ่ายรูปเล่นในสวนสาธารณะริมทะเลก่อนนำจักรยานขึ้นเรือเฟอร์รีกลับฝั่งซานฟรานซิสโก ถ้าหากใครไม่อยากปั่นจักรยานกลับทางเดิม แต่แนะนำว่าต้องเช็กเวลาการเดินเรือให้ดี เพราะเรือหมดประมาณ 1 ทุ่มเศษ
เสียดายที่ร่างกายหมดแรงเสียก่อน ไม่อย่างนั้นจะปั่นจักรยานต่อไปยังเมืองติบูรอน (Tiburon) เพราะจากซานฟรานซิสโก มาจนถึงซัวซาลิโต ได้เดินทางมาแล้วประมาณ 15 กิโลเมตรเห็นจะได้ และส่วนใหญ่จะเป็นทางราบ แต่ระยะทางต่อไปจนถึงติบูรอนนั้น ต้องปั่นจักรยานต่อไปอีกประมาณ 15 กิโลเมตรเลยทีเดียว อีกทั้งถนนยังเป็นทางลาดชัน หากร่างกายไม่แข็งแรงพอ ควรยกเลิกโปรแกรมจะดีกว่า แต่ถ้าใครมั่นใจก็ถือว่าคุ้มค่าที่สุดที่จะได้ไปสัมผัสกับวิวสวยๆ ระหว่างทางอีกมาก
เพราะเมื่อไปถึงทางแยกที่ “มิลเลอร์ อเวนิว” (Miller Avenue) แล้วเลือกไปทางซ้ายจะพบกับ “โอลด์ มิลล์ ปาร์ก” (Old Mill Park) ซึ่งเป็นอุทยานที่มีต้นไม้เก่าแก่ สามารถแวะชมต้นไม้ที่สูงที่สุดในโลกได้ที่นี่ แต่อย่าลืมดูเวลาด้วยล่ะเพราะกว่าจะปั่นไปถึงโอลด์ มิลล์ ปาร์ก ก็ประมาณ 2-3 กิโลเมตร หากใช้เวลานานเกินไปอาจจะกลับไปท่าเรือเฟอร์รีที่ติบูรอนไม่ทัน แต่ถ้าเลือกไปทางขวา คุณก็จะตรงดิ่งไปสู่เมืองติบูรอนช่วงก่อนเข้าเมืองประมาณ 10 นาที
ทางจักรยานเข้าเมืองนั้นเป็นทางเลียบชายฝั่งสวยตลอดแนว ไม่มีภูเขาหรือเกาะกั้น หากเป็นวันที่ท้องฟ้าเปิดไม่มีหมอก ก็สามารถมองจากชายหาดไปถึงสะพานโกลเดน เกต ได้เลย และในช่วงนี้จะมีเซอร์ไพรส์ให้คุณเล็กน้อย เพราะสะพานโกลเดน เกต อันยิ่งใหญ่ที่คุณเพิ่งข้ามมาเมื่อหลายชั่วโมงที่ผ่านมา มองจากชายฝั่งตอนนี้ มันเล็กกว่าปลายนิ้วก้อยคุณอีก
เมืองติบูรอนนั้นลักษณะคล้ายซัวซาลิโต คือเป็นเมืองท่าขนาดเล็ก แต่เต็มไปด้วยความเก๋ มีร้านอาหารและซื้อของที่ระลึกอยู่ใกล้ๆ ท่าเรือ ให้คุณได้ชิมอาหารก่อนขึ้นเรือเฟอร์รีกลับไปยังซานฟรานซิสโก ซึ่งเรือเฟอร์รีส่วนใหญ่จะมาจอด 2 ที่คือ Pier 1 หรือ Pier 41 ถ้าหากนักปั่นท่านใดยังมีแรงเหลืออยากปั่นชมวิวเบย์ อารีน่า (Bay Area) ฝั่งเมืองซานฟรานซิสโก ต่อ ก็ยังมาลงที่ Pier 1 ได้ เป็นท่าเรือเก่าแก่แห่งแรกๆ ของเมือง และยังเห็นวิวของสะพานเบย์ บริดจ์ (Bay Bridge) ซึ่งเป็นสะพานแลนด์มาร์กอีกหนึ่งแห่งได้ชัดเจนอีกด้วย
สำหรับทริปนี้นับว่าคุ้มค่าที่สุดที่ได้สัมผัสประสบการณ์มากมาย ทั้งอาหารการกิน ไวน์เลิศรสของรัฐแคลิฟอร์เนีย การชมวิวรอบเบย์ และการได้ปั่นจักรยานข้ามสะพานโกลเดน เกต (Golden Gate) หากใครอินมากน้อยเพียงใด แนะนำว่าให้คุณได้มาสัมผัสด้วยตัวเอง แล้วจะรู้ว่าซานฟรานซิสโก มีเสน่ห์มากเพียงไหน :: Text by FLASH
>> อัปเดตข่าวในแวดวงสังคม กอสซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net และ ติดตาม CelebStagram ได้ที่ http://www.manager.co.th/celebonline/celebstagram/