Celeb Online

ไอหนาวสุดท้ายที่เนเธอร์แลนด์


>>เมื่อได้ยินว่าไอหนาวสุดท้ายของประเทศในแถบยุโรปแล้ว เป็นอันต้องรีบแพ็กกระเป๋าไปเยือน เพราะถือเป็นช่วงเวลาหรรษาที่สุดที่จะได้สัมผัสความงดงามของเมืองต่างๆ อย่างรื่นรมย์ ยิ่งมีเทศกาลการละเล่นด้วยแล้วไม่ต้องพูดถึง และนี่คือ กรุงอัมสเตอร์ดัม ดินแดนที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่าและไลฟ์สไตล์สุดฮิป

ประเทศในยุโรปที่ว่านี้คือ “เนเธอร์แลนด์” ดินแดนกังหันลมอันเลื่องชื่อ สวยงามและวิจิตรตระการตาทั้งภูมิประเทศ, สถาปัตยกรรม และที่สำคัญคือวิถีการดำเนินชีวิตของชาวดัตช์สุดฮิป ทำให้ทริปนี้สนุกยิ่งขึ้นเมื่อมาเยือนเนเธอร์แลนด์พร้อมด้วย 3 หนุ่มมิกโซโลจิสต์ (Mixologist) ชั้นนำ 3 สไตล์ของไทย ที่ได้ร่วมกันสร้าง “ค็อกเทลคัลเจอร์” (Cocktail Culture) ให้เกิดขึ้นในประเทศไทย โดยมี “คาเทล วัน วอดก้า” (Ketel One Vodka) เป็นแบรนด์หลักสำคัญ ได้แก่ “คุณชานนท์ บุรานนท์” Guru Mixologist เจ้าของร้าน Hyde & Seek Gastro Bar และ Smith, “คุณณฐกร แจ้งเร็ว” New Innovative Mixologist เจ้าของ Perfume Bar และ “รณภร คณิวิชาภรณ์” Playful Mixologist แห่งร้าน Roof ไปเยือนประเทศเนเธอร์แลนด์ พร้อมเยี่ยมชมโรงกลั่นของตระกูลนอเลต (Nolet) เจ้าของแบรนด์คาเทล วัน วอดก้า, ตลอดจนร่วมเฉลิมฉลองงาน King's Day อีกด้วย

“คุณพรเศก ภาคสุวรรณ” Reserve Channel Director ของ บริษัท ดิอาจิโอ โมเอ็ท เฮนเนสซี่ (ประเทศไทย) จำกัด หัวขบวนนำพวกเราออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ โดยสายการบิน KLM มุ่งหน้าสู่สนามบินนานาชาติ Schiphol กรุงอัมสเตอร์ดัม เมื่อเดินทางถึงจึงเลือกเช็กอินก่อนที่ร้าน RED ร้านอาหารสุดฮิปสไตล์ Surf and Turf ที่มีเมนูให้เลือกเพียง 2 ชนิดคือ Lobster กับ Steak รับประทานคู่กับไวน์และเบียร์ตามสไตล์ที่แต่ละคนชอบ จากนั้นจึงเดินย่อยอาหารกลับโรงแรมสไตล์หนุ่มบาร์เทนเดอร์ และแวะบาร์ท้องถิ่น Genever ต้นตำรับของชาวดัตช์กันคนละช็อตก่อนนอน

วันรุ่งขึ้นได้เดินชมเมืองอัมสเตอร์ดัม ไม่ว่าจะเป็นตลาดวอเตอร์ลูเปลียน (Waterlooplein) จับจ่ายของเก่าของมือสองสไตล์วินเทจกันนิดหน่อย แล้วค่อยเดินต่อไปยังจัตุรัสดัม สแควร์ (Dam Square) หน้าพระราชวัง ซึ่งได้มีการจัดงาน พร้อมทั้งร้านรวงขายของมากมาย และสวนสนุก ทุกคนได้ลิ้มลอง Caramel waffle ของท้องถิ่น และแวะซื้อของฝากยอดนิยม Old Amsterdam Cheese กลับบ้านด้วย ตกค่ำแวะไปกินอาหารสไตล์พื้นเมือง พร้อม Ketel One Bloody Mary สไตล์ Market Serve ก็เข้าทางหนุ่มๆ มิกโซโลจิสต์ ที่จะหยิบจับโน่นนี่มาผสมเป็น Twist Cocktail แจกจ่ายผู้เข้าร่วมทริปจากประเทศอื่นๆ ด้วย

เป็นธรรมเนียมเมื่อรับประทานอาหารค่ำกันอิ่มแล้ว ก็จะไปตระเวนหาที่แฮงเฮาต์กันต่อ จนมาหยุดที่ Mystique Bar ซึ่งมีมิกโซโลจิสต์ระดับเวิลด์คลาสอยู่ถึงสองคน ทำให้มีโอกาสลอง Ketel One Cocktail Signature ไปคนละสองสามดริงก์ เมื่อเครื่องติดจึงได้เวลาพาไปคลับต่อไปชื่อ Ape ซึ่งตอนเข้าไปก็จะอยู่ได้เฉพาะหน้าบาร์ ดื่มค็อกเทลจากบาร์เทนเดอร์สาวท้องถิ่นเล็กน้อย แต่พอเข้าสู่เวลาห้าทุ่มครึ่ง กำแพงที่เป็นตู้เก็บเหล้าก็เปิดออก กลายเป็นอีกห้องหนึ่งซึ่งมีฟลอร์เต้นรำและบูทดีเจพร้อมเลย เมื่อเปลี่ยนอารมณ์เป็นคลับ คาเทล วัน วอดก้า ก็มาเป็นขวด พร้อมกับมิกเซอร์ Sprite Energy Drink ตลอดจนโทนิกและโซดา แต่คืนนี้เราอยู่ไม่ดึกกันมากนัก แค่ตีสองก็เดินสูดอากาศเย็นๆ กลับโรงแรมโดยไม่ต้องกลัวด่านเลยครับ

เช้าวันต่อมาหลังจากกินอาหารเช้าแล้ว ก็เดินทางไปโรงกลั่นที่เมืองสกีดาม (Schiedam) เราทั้งคณะมีมากันหลายประเทศ นอกจากทีมไทยก็จะมีจาก บาหลี เวียดนาม ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ มาเลเซีย และบราซิล ทุกคนขึ้นรถบัสมุ่งลงทางใต้ ตลอดข้างทางจะพบกับกังหันลมพลังงานธรรมชาติสมัยใหม่ สลับกับกังหันลมสมัยเก่า ใช้เวลาชั่วโมงกว่าจึงมาถึงโรงกลั่นนอเลต (Nolet Distillery) โดยมีแลนด์มาร์กเป็นกังหันลมขนาดใหญ่ตั้งอยู่ด้านหน้า

ทุกคนถ่ายรูปกันตามอัธยาศัย หลังจากนั้นก็เข้าไปชั้นล่างของตัวกังหัน ซึ่งแปลงเป็นโถงรับรอง พร้อมห้องอาหาร ทางโรงกลั่นต้อนรับด้วยกาแฟพร้อมโฮมเมดคุกกี้รูปกังหันลม “มร.เดนนิส เทมส์ (Dennis Tamse) Ketel One Distillery Ambassador เข้ามาทักทายและพาทัวร์โดยขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้น 6 เพื่อสำรวจดูรอบๆ เมืองสกีดาม ซึ่งถือว่าเป็นศูนย์กลางของโรงกลั่นที่มีประวัติมายาวนาน

จากเดนนิสพาลงมาหนึ่งชั้น ที่ห้อง “Theater” ให้เราได้ชมภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องราวกว่า 300 ปี ของ 10 เจเนอเรชันของตระกูลนอเลต จากนั้นพาไปชมหม้อกลั่นทองแดงหมายเลขหนึ่ง ซึ่งยังใช้ความร้อนจากเตาถ่าน และยังคงเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการผลิต เพื่อให้ได้วอดก้าที่มีคุณภาพอย่างคาเทล วัน นอกเหนือจากคาเทล วัน วอดก้า ที่นี่ยังผลิตคาเทล วัน เจเนเวอร์ (Ketel One Genever) ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของลอนดอน ดราย จิน (London Dry Gin) ในปัจจุบัน รวมทั้งนอเลต จิน (Nolet Gin) ด้วย จากนั้นเราไปต่อกันที่ห้องเทสติ้งเพื่อทำความรู้จักกับคาเทล วัน วอดก้า ทั้งซีตรอง (Citroen) และออเรนจ์ (Orange) ให้มากขึ้นทั้งด้านรสชาติ และกลิ่นสัมผัส โรงกลั่นที่นี่ใช้เทคโนโลยีอันทันสมัย มีสายการผลิตขนาดใหญ่ที่สามารถผลิตคาเทล วัน วอดก้า ได้มากกว่า 20,000 ขวดต่อชั่วโมง

หลังจากกินข้าวกลางวันเสร็จแล้ว ก็ใช้เวลาเดินลอดอุโมงค์ข้ามแม่น้ำไปอีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งเป็นแวร์เฮาส์เก็บคาเทล วัน วอดก้า ที่พร้อมจะส่งออกไปจำหน่ายยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งแวร์เฮาสต์แห่งนี้สามารถเก็บวอดก้าได้กว่าห้าแสนลังเลยทีเดียว โดยใช้ระบบออโตเมตทุกอย่างในการลำเลียง เป็นการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีสมัยใหม่ กับกระบวนการกลั่นอย่างละเอียดอ่อน ที่ตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นมากว่า 300 ปีได้อย่างลงตัว

นอกจากนี้ยังมีห้องทำงานที่เก็บสูตรลับของคาเทล วัน วอดก้า ห้องเก็บมอลต์ไวน์ (Malt Wine) ของตระกูลสำหรับเป็นส่วนผสมผลิตภัณท์พิเศษ ก่อนมาจบที่ Bob Bar ชั้นบนของโรงกลั่น ซึ่งเป็นโอกาสดีของหนุ่มๆ มิกโซโลจิสต์ไทยที่จะได้ทำดริงก์โชว์ให้ทุกคนในที่นี้ได้สัมผัสรสชาติกัน

ตกค่ำเป็นการเริ่มเฉลิมฉลองที่เรียกว่า Knight Night โดยออกไปทำกิจกรรม Bar Hopping ต่อ หลังจากดินเนอร์เสร็จแล้วที่โรงแรม เริ่มจากร้าน DVARS ต่อด้วย Speakeasy Bar ชื่อ Door 87 ซึ่งต้องไว้ก่อนถึงจะเข้าได้ ที่นี่มีค็อกเทลที่เก๋มาก โดยมี 10 ค็อกเทลที่สร้างสรรค์โดยมิกโซโลจิสต์ชั้นนำ โดยหนึ่งในนั้นเป็นสูตรของเดนนิส ซึ่งเคยทำงานอยู่ที่บาร์แห่งนี้มาก่อนที่จะไปเป็น Brand Ambassador ของคาเทล วัน วอดก้า เราได้ลองค็อกเทลไปกันคนละหลายสูตร ทำให้ได้รับแรงบันดาลใจกลับมาสร้างสรรค์ค็อกเทลสูตรใหม่ๆ ที่เมืองไทยต่อไป หลังจากนั้นได้ไปเดินเล่นในเขตที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมือง Red Light District จนสร้างความประทับใจกันไปตามๆ กัน

แล้วก็มาถึงวันที่คนทั้งประเทศเนเธอร์แลนด์เฉลิมฉลองกันในงาน “King's Day” ซึ่งปีนี้เป็นปีแรกที่ได้มีการเปลี่ยนจาก Queen's Day มาเป็น King's Day เป็นเพราะสมเด็จพระราชินีแห่งเนเธอร์แลนด์ได้สละราชบัลลังก์ให้กับพระโอรส การร่วมเฉลิมฉลองนั้นไม่ยาก โดยทางคาเทล วัน วอดก้า ได้จัดเตรียมชุดสีส้มพร้อมแว่นกันแดดสีส้มไว้ให้แล้ว ทางทีมไทยก็ไม่มีใครเคอะเขินแต่อย่างใดในการใส่ชุดหมีสีส้มมาพร้อมกันแต่เช้า เราต้องเดินไปขึ้นเรือประมาณ 11โมงแถวๆ มิวเซียม

ผู้คนชาวดัตช์จะเฉลิมฉลองกันหลากหลายรูปแบบ บางกลุ่มก็ออกมาเดินตามท้องถนนด้วยชุดสีส้มเหมือนกัน บ้างก็แวะดื่มตามร้านรวงต่างๆ บ้างก็ยืนบนสะพานหรือริมน้ำเพื่อพบปะพูดคุยและทักทายผู้คนบนเรือบ้าง บางร้านก็จัดเตรียมเวทีเล็กๆ ไว้ด้านหน้า ส่วนคนที่มีเงินหน่อยก็จะจับกลุ่มกันเช่าเรือ เปิดเพลงดังๆ ยืนหรือนั่งไปบนเรือพร้อมเครื่องดื่มตามถนัด ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเบียร์ เรือก็จะวนไปตามลำคลอง ส่งเสียงทักทายเรือด้วยกัน หรือผู้คนที่อยู่บนฝั่งอย่างสนุกสนาน อารมณ์อาจจะคล้ายๆ การฉลองสงกรานต์บ้านเรา ขาดแต่ก็ปืนฉีดน้ำเท่านั้นเอง

ปีนี้ทางคาเทล วัน วอดก้า ก็ไม่น้อยหน้า จัดเรือลำใหญ่ มีบาร์ทางด้านหน้าพร้อมบาร์เทนเดอร์สาว 2 คน ดีเจประจำเรือพร้อมเครื่องเสียงสุดกระหึ่ม นำพวกเราออกล่องเรือปาร์ตี้รอบๆ คลองอย่างสนุกสนาน เรือของเราดีมากมีห้องน้ำในตัว ล่องไปสักพักก็มีอาหาร Pass Around มาแก้หิว พอเรือสวนกันก็จะมีการปล่อยควัน และยิง Paper Shoot พร้อมกับมีการแลกเครื่องดื่มกัน เรือลำอื่นก็จะโยนเบียร์มาให้เรา ส่วนเรือของเราก็โยนคาเทล วัน วอดก้า กลับไป พวกที่ได้ก็จะดีใจกันใหญ่ เพราะว่าคุ้ม ทางคาเทล วัน วอดก้า ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะเป็นการประชาสัมพันธ์สินค้าไปในตัว

สนุกกันบนเรือจนถึงช่วงบ่ายสี่โมงเย็น จึงเปลี่ยนมาสนุกกันต่อบนบกอีก โดยเดินทางไปที่ร้าน DVARS ซึ่งได้จองไว้เพื่อปาร์ตี้โดยเฉพาะ ระหว่างทางก็ได้เลือกซื้อของที่แต่ละบ้านนำออกมาขายตามท้องถนน วันนี้เป็นวันที่ไม่มีภาษี คนที่นี่ก็จะมีธรรมเนียมในการนำของต่างๆ ที่ไม่ได้ใช้แล้วออกมาขายกัน พื้นที่ก็ต้องมาจับจอง ใช้ชอล์กขีดเส้นกันตั้งแต่เช้าตรู่

เราหลบออกมาจากร้านแล้วเดินเล่นไปตามถนน ปรากฏว่าชุดหมีที่เราใส่กันสี่คน ทำให้คนอื่นเข้ามาขอถ่ายรูปด้วยไม่น้อยเลยครับ เราตัดสินใจไปหาอาหารพื้นเมืองกินในมื้อค่ำที่ร้านเก๋ๆ ริมคลองชื่อว่า Cafe De Jaran หลังจากอิ่มแล้วก็เดินกลับโรงแรม คืนนี้เขาไม่ฉลองกันดึกเท่าไร อาจเป็นเพราะฉลองกันมาทั้งวันแล้ว หลายๆ ร้านก็จะเลิกกันประมาณ 3 ทุ่ม

ต้องยอมรับว่าระบบการทำความสะอาดของเมืองนี้ดีมาก เราเดินเตะกระป๋องเบียร์ ขวดเบียร์ แก้วพลาสติกมาตลอดทาง ยังนึกว่าเขาคงต้องใช้เวลาในการทำความสะอาดหลายวันแน่นอน แต่ที่ไหนได้ ถนนแถวๆ โรงแรมที่เลิกปาร์ตี้ไปแล้ว กลับหายไปในพริบตาด้วยคนทำความสะอาดเพียง 4-5 คน พร้อมกับรถเก็บขยะสองคัน และรถกวาดและล้างถนนอีกสองคัน ทำให้ถนนสะอาดมากแทบไม่เชื่อสายตา ซึ่งถ้าเป็นบ้านเราคงต้องใช้คนหลายสิบคนและใช้เวลาหลายวันแน่นอน

วันสุดท้ายทุกคนฟรีเดย์ครับ สามารถเดินถ่ายรูปกันในเมือง เก็บตกสถานที่ที่ยังไม่ได้ไป เดินหาซื้อของฝากต่างๆ ภาพในเมืองวันนี้ แตกต่างกับเมื่อคืนเลยครับ เหมือนกับว่าไม่ได้มีปาร์ตี้เกิดขึ้น ถนนทุกสายสะอาดเรียบร้อย จากนั้นเดินทางออกจากโรงแรมด้วยลีมูซีนไปยังสนามบินเพื่อเดินทางกลับมหานครกรุงเทพ พร้อมกับแวะซื้อของเล็กน้อยในสนามบิน ซึ่งผมได้ Goat Cheese ปากกา Tulip แล้วก็มีพวงกุญแจรูปรองเท้าไม้กลับไปเป็นของฝากกันอีก ลาก่อนดินแดนกังหันลมและวอดก้ารสชาติคุ้นเคย อย่าง คาเทล วัน :: Text by FLASH