>>Celeb Online ได้รับเกียรติจาก บริษัท ดิอาจิโอ โมเอ็ท เฮนเนสซี (ประเทศไทย) จำกัด ให้ร่วมเดินทางไปเกาะติดการแข่งขันมิกโซโลจิสต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งงานนี้นอกจากจะมีการแข่งขันและมีการรวมตัวกันของบรรดากูรูด้านค็อกเทลระดับปรมาจารย์ทั่วโลกแล้ว ยังถือเป็นงานที่มีการอัปเดตเทรนด์การดื่มอีกด้วย
สำหรับในประเทศไทยปัจจุบันเป็นที่ทราบกันดีว่า “Diageo Reserve World Class” คือเวทีที่มีการรวมตัวของบรรดาบาร์เทนเดอร์ หรือมิกโซโลจิสต์ทั่วฟ้าเมืองไทย รวมถึงกูรูด้านค็อกเทลที่มีคาแรกเตอร์เฉพาะตัว เพื่อเฟ้นหาสุดยอดมิกโซโลจิสต์เพื่อไปแข่งขันในเวทีระดับโลก โดยแต่ละปีจะมีเจ้าภาพหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันไปในแต่ละภูมิภาคทั่วโลก
สำหรับปี 2014 นี้ งาน “Diageo Reserve World Class” ประเทศอังกฤษเป็นเจ้าภาพ โดยมีผู้เข้าร่วมงานแข่งขันกว่า 48 ประเทศ และมีประเทศสมาชิกใหม่ที่มาร่วมด้วยครั้งนี้เป็นครั้งแรก นั่นคือ อิสราเอล และเปอร์โตริโก สำหรับประเทศไทยคือ 1 ใน 48 ประเทศที่เข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ โดยมี “หนึ่ง-รณภร คณิวิชาภรณ์” เป็นตัวแทนประเทศไทยเดินทางไปร่วมแข่งขันด้วย
ทั้งนี้ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ประกอบด้วย ประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม อินโดนีเซีย และไทย จับมือกันอบรมและมีการแข่งขันร่วมกัน เพื่อค้นหาสุดยอดบาร์เทนเดอร์ของภูมิภาคและตัวแทนบาร์เทนเดอร์ของแต่ละประเทศ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มีการจัดแข่งขันร่วมกันระหว่างประเทศภูมิภาคอาเซียน ปรับจากปีก่อนที่จะเฟ้นหาตัวแทนของแต่ละประเทศเฉพาะในประเทศของตัวเองเท่านั้น
โดยงานดังกล่าวได้เชิญ 3 กูรูบาร์เทนเดอร์ชื่อดังระดับโลก ได้แก่ มร.ฮิเดซึกุ อูเอโนะ (Hidetsugu Ueno) ปรมาจารย์ด้านค็อกเทลระดับโลกชาวญี่ปุ่น, มร.ซดาเนก คาสทาเนก (Zdenek Kastanek) มือค็อกเทลชื่อดังชาวเช็ก และ มร.แองกัส วินเชสเตอร์ (Angus Winchester) มือหนึ่งด้าน Gin จาก Tanqueray ชาวอังกฤษ มาเปิดคอร์สสอนและให้คำแนะนำแบบตัวต่อตัว ทั้งในเรื่องเครื่องดื่ม รสชาติ การปรุงค็อกเทล ไปจนถึงวิธีการนำเสนอ ฯลฯ ก่อนไปแข่งขันจริงในรอบสุดท้ายที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
เมื่อเดินทางมาถึงกรุงลอนดอน “หนึ่ง รณภร” ตัวแทนประเทศไทย พร้อมด้วยพี่เลี้ยงมากฝีมืออย่าง “แจน-เจนณรงค์ ภูมิจิตร” Senior Brand Ambassador / Mixologist – Diageo Reserve และ “เทดดี้-พรเศก ภาคสุวรรณ” Reserve Channel Director บริษัท ดิอาจิโอ โมเอ็ท เฮนเนสซี (ประเทศไทย) จำกัด ก็เริ่มอุ่นเครื่องด้วยการเช็กอุปกรณ์การแข่งขัน และทบทวนข้อมูลที่ต้องเตรียมมาเพื่อรับมือกับโจทย์การแข่งขันที่เข้มข้น และสำรวจบาร์ต่างๆ ในลอนดอน เพื่อสัมผัสกับวัฒนธรรมการดื่มค็อกเทลของชาวอังกฤษว่าเป็นอย่างไร วิธีการสื่อสารกับชาวต่างชาติ และลอจิกต่างๆ ที่ผู้แข่งขันมีอยู่ว่าพร้อมแล้วหรือไม่
กฎการแข่งขันมีการแบ่งกลุ่ม เช่น กลุ่ม A กลุ่ม B และกลุ่ม C เป็นต้น จากนั้นให้ผู้แข่งขันทำค็อกเทลตามโจทย์ที่กำหนดขึ้น แล้วคัดผู้ชนะให้เหลือ 16 คน, 12 คน, 8 คน และสุดท้ายคือ แชมป์อันดับหนึ่งของโลก ซึ่งผู้ชนะไม่มีเงินรางวัล แต่จะได้ประสบการณ์ที่หาซื้อที่ไหนไม่ได้ รวมถึงสิทธิพิเศษและโอกาสใหม่ๆ มากมาย ซึ่งไม่สามารถตีค่าเป็นตัวเงินได้ ส่วนผู้เข้าร่วมการแข่งขันที่เข้ารอบก็จะถูกจัดอันดับให้อยู่ในชั้นลำดับต่างๆ ของโลก
สำหรับจุดเด่นของตัวแทนประเทศไทย อย่าง “หนึ่ง รณภร” คือ มีความเป็นตัวของตัวเอง นำเสนอผลงานสนุก มีสไตล์ ทำให้คนเข้าถึงง่าย และรู้สึกมีความสุขเมื่อได้อยู่ใกล้ชิด ส่วนเรื่องรสชาติของค็อกเทลก็ไม่เป็นรองใคร รวมทั้งเขาก็ทำให้ทุกคนยิ้มได้ และมีความเป็นธรรมชาติ
“ประสบการณ์ที่เริ่มทำงานกับเวิลด์คลาส บาร์เทนเดอร์ทุกคนมีจุดเด่นไม่เหมือนกัน ต้องดูจุดเด่นของผู้เข้าร่วมแข่งขันแต่ละคน แต่สำหรับหนึ่ง รณภร เขาค่อนข้างแตกต่าง เพราะเขามีความเป็นเอนเตอร์เทนเนอร์อยู่ในตัว สามารถสะกดคนดูและกรรมการได้ ถึงแม้ว่าทักษะเกี่ยวกับการทำบาร์อาจจะยังไม่ได้สูงที่สุด เมื่อเทียบกับบาร์เทนเดอร์มืออาชีพระดับโลก แต่ด้วยการเตรียมตัวและความมุ่งมั่นถือว่าเราไม่แพ้ชาติใดในโลก” เจนณรงค์ ภูมิจิตร Senior Brand Ambassador / Mixologist – Diageo Reserve เล่าให้ฟังอย่างเชื่อมั่น
โจทย์ที่แตกต่างจากปีที่ผ่านมา และทำเอาผู้เข้าร่วมการแข่งขันทุกคนซีเรียส นั่นก็คือ ต้องแข่งขันสองบาร์ และเอาคะแนนแต่ละคนมารวมกัน แล้วค่อยไปแข่งขันรอบสุดท้ายอีกครั้งแต่ละโจทย์ ซึ่งโจทย์จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เทคนิคการแข่งก็จะเปลี่ยนตามไปด้วยเช่นกัน อีกเรื่องที่น่าสนใจ คือ วิสกี้ที่นำมาใช้ จากเดิมเอา “จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ บลู เลเบิล” (Johnnie Walker Blue Label) มาสร้างสรรค์รูปแบบการเสิร์ฟสวยๆ ก็เปลี่ยนมาเป็นมอลต์วิสกี้จาก “ซิงเกิลตัน” (Singleton) แล้วโจทย์ที่เพิ่มเติมอีกคือ การนำมาสร้างสรรค์ค็อกเทลที่ต้องนำเสนอควบคู่ไปกับสัมผัสทั้ง 5 ได้แก่ รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส มาประกอบด้วย โดย หนึ่ง รณภร ใช้วิธีการร้องเพลงที่มีการแต่งขึ้นมาใหม่เพื่อนำเสนอเรื่องราวของค็อกเทลของเขาโดยเฉพาะได้อย่างโดดเด่นเพื่องานนี้
โจทย์ต่อไปที่น่าสนใจ คือ “Blend of the World” เป็นการนำเอาวัฒนธรรมของสองโลกมาผสมผสานเข้าด้วยกัน เพื่อวัดดูว่าผู้แข่งขันจะนำเสนออย่างไร โดย หนึ่ง รณภร นำเอาวัฒนธรรมการต้อนรับแบบไทยๆ มาใช้ บวกกับดอกมะลิ ใบมะกรูด สับปะรด บวกกับความเป็นวิสกี้ที่ดื่มเพื่อการเฉลิมฉลองของ “จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ โกลด์ เลเบิล รีเสิร์ฟ” (Johnnie Walker Gold Label Reserve) เสิร์ฟในถาดไม้สักแกะสลัก พร้อมด้วยแก้วเบญจรงค์ เพื่อสื่อให้เห็นถึงความเป็นไทย และกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของดอกมะลิ และใบมะกรูด ซึ่งนับว่าเป็นเครื่องดื่มค็อกเทลที่แตกต่างจากประเทศอื่นๆ ได้อย่างน่าสนใจ
หลังจากแข่งขันเสร็จแล้วมีการประกาศคะแนนสูงสุดของ 2 โจทย์การแข่งขัน โดยกรรมการเลือกผู้แข่งขัน 4 คนที่ดีที่สุดจาก 2 โจทย์ หนึ่ง รณภร ตัวแทนประเทศไทย คือ 1 ใน 4 คนที่ดีที่สุด จากนั้นต้องเอาทั้ง 4 คนนี้มาแข่งขันกันอีกครั้ง เพื่อให้ได้ผู้ชนะ 1 คนของโจทย์นั้นๆ
สถานที่ในการแข่งขันรอบนี้ต้องบินมาไกลถึงกรุงเอดินเบิร์ก ประเทศสกอตแลนด์ แล้วต้องนั่งรถต่อมาอีกกว่า 1 ชั่วโมง เพื่อไปยัง “เกลนนิเกิลส์” (Gleneagles) ซึ่งเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการแข่งขันอย่างมาก เพราะเมื่อพูดถึงสกอตแลนด์สถานที่แห่งนี้คือตัวแทนที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง อยู่ท่ามกลางสนามกอล์ฟอันกว้างใหญ่ โดยมีบริษัทแม่ของดิอาจิโอเป็นเจ้าของเพื่อเตรียมไว้รับรองแขกบ้านแขกเมือง แต่คนทั่วไปสามารถมาจองห้องพัก ใช้สนามกอล์ฟ และสนามกีฬาอื่นๆ ได้เพื่อสันทนาการ และพักผ่อนช่วงวันหยุด
ที่เกลนนิเกิลส์ช่วยทำให้ผู้เข้าร่วมการแข่งขันทุกคนได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ พร้อมทั้งฟังก์ชันการใช้งานต่างๆ ในการแข่งขันยังเพียบพร้อม ซึ่งงานนี้ “เคเทล วัน วอดก้า” (Ketel One Vodka) รับเป็นเจ้าภาพ โดยลงทุนทำห้องเตรียมตัวให้กับผู้เข้าร่วมการแข่งขันด้วย พร้อมด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย มีเหล้าทุกชนิดให้เลือกใช้ เรียกว่ามาตัวเปล่าก็ยังทำได้เลยทีเดียว และบาร์เทนเดอร์แต่ละคนก็มีความพร้อม มาตรฐานสูงขึ้น แต่ละคนเรียนรู้จากข้อผิดพลาดที่ผ่านมา แล้วนำข้อผิดพลาดครั้งที่แล้วมาปรับปรุงให้ดีขึ้น เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ให้สูงขึ้น
ต่อมาในช่วงค่ำมีพิธีเปิด “Diageo Reserve World Class 2014” ขึ้นอย่างเป็นทางการ ณ โบสถ์กลางกรุงเอดินเบิร์ก ประเทศสกอตแลนด์ เปิดตัวอย่างอินเทรนด์ด้วยภาพกราฟิกใบหน้าของผู้แข่งขันทั้ง 48 ประเทศทั่วโลก จากนั้นจึงให้ผู้เข้าร่วมแข่งขันทั้งหมดพาเหรดกันออกมาโชว์ตัวบนเวที ก่อนจะปิดท้ายด้วยการให้ชมภาพยนตร์โฆษณาครั้งแรกของโลกของ “จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ บลู เลเบิล” ที่มีนักแสดงฮอลลีวูด “จู๊ด ลอว์” เป็นนักแสดงนำ จากนั้นแขกผู้มีเกียรติทุกคนก็ได้ลิ้มรสกับบลู เลเบิล ทั้ง “On The Rock” และค็อกเทลรสเก๋อันมีเอกลักษณ์
วันต่อมา “Diageo Reserve World Class 2014” ก็สร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการเหมารถไฟขบวนพิเศษ “Orient Express” จากกรุงเอดินเบิร์ก ประเทศสกอตแลนด์ เพื่อมุ่งกลับมายังกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยใช้ระยะเวลาในการเดินทางกว่า 7 ชั่วโมง ระหว่างที่ผู้เข้าร่วมการแข่งขัน แขกผู้มีเกียรติ และสื่อมวลชนแต่ละประเทศทั่วโลก ใช้ชีวิตอยู่บนรถไฟ มีการเสิร์ฟอาหารมื้อเที่ยงพร้อมด้วยค็อกเทลรสชาติถูกปาก นับว่าเป็นการนั่งรถไฟขบวนพิเศษที่ประทับใจไม่น้อย หลายคนใช้เวลานี้สนทนาแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันเรื่องค็อกเทลและการแข่งขัน ส่วนผู้เข้าร่วมการแข่งขันจะต้องทำข้อสอบเก็บคะแนนวัดความรู้เรื่องผลิตภัณฑ์ไปด้วย เพื่อให้มีความแม่นยำในการเลือกหยิบจับสิ่งของต่างๆ มาผสมค็อกเทล ก่อนจะคั่นด้วยการเสิร์ฟซิงเกิลวอลต์วิสกี้แบรนด์ใหม่ของดิอาจิโอ นั่นคือ “มอร์ตแลก” (Mortlach) อีกด้วย
เมื่อรถไฟขบวนพิเศษวิ่งมาเทียบท่าสถานีคิงส์ ครอส (King’s Cross) ที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดในอังกฤษ ก็เริ่มมีการแข่งขันกันต่อ โดยโจทย์นี้คือ “เวิลด์ ออฟ มาตินี” (World of Martini) คือ ให้สร้างสรรค์มาร์ตินีสองสูตร สูตรแรกให้ใช้แรงบันดาลใจจากช่วงปี ค.ศ.1900 เพื่อสะท้อนมุมมองมาร์ตินีว่าเป็นอย่างไรผ่านค็อกเทลที่ผสมขึ้นระหว่างแข่นขัน ตัวที่สองคือ จะทำมาร์ตินีสำหรับโลกอนาคตอย่างไร รูปแบบเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรผ่านค็อกเทลเช่นกัน
“ผมตีความโจทย์นี้โดยการนำเอาไอเดียมาจากการดูภาพยนตร์ พร้อมกับจินตนาการต่อไปว่าโลกมนุษย์เราในอนาคตจะไม่สวยงาม มันโหดร้าย มีเรื่องของโลกร้อนทำให้มนุษย์ใช้ชีวิตอยู่ยากขึ้น ของทุกอย่างอาจจะต้องอินสแตนท์หมดแล้ว ดังนั้น ส่วนผสมที่นำมาใช้ไม่ว่าจะเป็นส้ม หรือมะนาว อาจจะเป็นของสังเคราะห์ขึ้นมา เป็นสารอาหารแร่ธาตุสำเร็จรูป หรือแม้แต่มนุษย์เรายังต้องกินวิตามินเสริม กินอาหารอย่างเดียวไม่ได้แล้ว จึงเอาไอเดียนี้มาใช้ เมื่อเทียบกับสมัยก่อนของทุกอย่างต้องสดเสมอ” รณภร คณิวิชาภรณ์ ผู้เข้าร่วมการแข่งขัน ตัวแทนประเทศไทย กล่าวถึงแรงบันดาลใจ
ดังนั้น สิ่งที่ หนึ่ง รณภร นำเสนอรูปแบบของมาร์ตินีอนาคต ก็คือ การทำมาร์ตินีที่มีส่วนผสมของน้ำผึ้งผงและส้มผงมาในรูปแบบแคปซูล เพื่อสื่อให้เห็นว่าอีกหนึ่งร้อยปีข้างหน้าส่วนผสมอาจจะไม่ต้องใช้ของสดแล้ว แต่หันมาใช้ส่วนผสมสังเคราะห์แทน แล้วเสิร์ฟในแก้วมาร์ตินีสเตนเลสสีเงิน ส่วนมาร์ตินีที่สื่อถึงอดีตได้นำเอาส่วนผสมสดจากธรรมชาติ เสิร์ฟในแก้วทรงระฆัง ที่ใช้เสิร์ฟเครื่องดื่มในสมัยก่อน ซึ่งนับว่าตอบโจทย์กรรมการได้ดีทีเดียว และเป็นการแข่งขันอีกหนึ่งโจทย์ที่ทีมไทยของเราทำคะแนนอยู่ในระดับ Top 10
“การแข่งขันแต่ละครั้งโจทย์ที่ได้รับมีความซับซ้อนหรือแตกต่างกันทุกปี แต่ทำให้บาร์เทนเดอร์เก่งขึ้น พอกลับมาประเทศของตนก็จะช่วยยกระดับตัวเองให้สูงขึ้น ตัวแทนหลายประเทศกลับไปเรียนรู้ใหม่ พอฝีมือดีขึ้น ก็จะกลับมาแข่งขันในปีถัดๆ มา อย่างในประเทศไทยแต่ก่อนบาร์เทนเดอร์โลกแคบมาก เพราะทำงานอยู่แต่ในกรอบ หรือไม่รู้เลยว่าโรงแรมอื่นหรืออีกฝั่งหนึ่งของโลกเรื่องเครื่องดื่มเค้าทำอะไรกันบ้าง บาร์เทนเดอร์ฝีมือขนาดไหน หรือไม่เคยไปดูประเทศอื่นๆ เลยว่าวัฒนธรรมการดื่มเขาเป็นอย่างไร แต่วันนี้บอกได้เลยว่า บาร์เทนเดอร์ทุกคนที่ผ่านเวทีการแข่งขันและการสอนของดิอาจิโอ รีเสิร์ฟ เวิลด์ คลาส ซึ่งมีการอัปเดตเทรนด์การดื่มใหม่ๆ ของโลก และเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่นำมาใช้กับเครื่องดื่ม เพื่อไอเดียการสร้างสรรค์ใหม่ๆ และมีมุมมองที่หลากหลาย รวมทั้งเชื่อมสังคมของบาร์เทนเดอร์ทั้งโลกเข้าด้วยกัน” เจนณรงค์ ภูมิจิตร Senior Brand Ambassador / Mixologist – Diageo Reserve กล่าวอย่างภาคภูมิใจหลังจากเป็นพี่เลี้ยงและฝึกอบรมบาร์เทนเดอร์มาแข่งขันระดับโลกหลายสมัย
อีกหนึ่งโจทย์ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นั่นก็คือ “ไฟว์ สตาร์ คลาสสิก ชาลเลนจ์” (Five Star Classic Challenge) โดยมีลิสต์คลาสสิกค็อกเทล 8 หมวด แต่ละหมวดมีค็อกเทล 4 อย่าง ให้เลือกค็อกเทล 1 ตัว จากแต่ละหมวดเสิร์ฟให้กับกรรมการ โดยแบ่งบาร์เทนเดอร์ออกเป็น 5 กลุ่มไปแข่งในบาร์ชั้นนำที่ “ไชน่า แทง” (China Tang) โรงแรมดอร์เชสเตอร์ (Dorchester) โดย หนึ่ง-รณภร เลือกสูตร “บ็อบบี้ เบิร์น ที่ใช้สก็อตช์วิสกี้” เซาท์ไซด์ จากในหมวดของ “จิน” (Gin) และเลือกทำจูแลปโดยใช้ Zacapa Rum แทนที่จะเป็นวิสกี้ในหมวดคลาสสิก
โจทย์คือ ต้องนำเสนอความเป็นลอนดอน 1 ตัว ซึ่งมีมุมมองและมิติค่อนข้างเยอะ จึงเลือก 3 ตัวนี้คลุกเคล้าให้มีความเป็นลอนดอน ซึ่งปกติบ็อบบี เบิร์นจะเสิร์ฟสเตอร์กับน้ำแข็ง แต่ หนึ่ง รณภร เปลี่ยนเหล้าเวอร์มุสให้เป็นเหล้าในหมวดบิตเตอร์ แล้วเติมกาแฟลงไป เพราะปกติบ็อบบี้ เบิร์นเป็นค็อกเทลไดเจกทีฟ ดื่มหลังอาหาร ซึ่งหลายคนเวลาไปโรงแรมก็จะดื่มกาแฟหลังกินข้าวเสร็จ เขาจึงคิดว่าน่าจะเอามารวมกันได้ โดยใช้วิธีการเสิร์ฟที่ไม่ได้เชกกับน้ำแข็ง แต่โลว์ริ่งกับน้ำร้อน อุ่น เพื่อรีเลตนำเสนอเป็นค็อกเทลเพื่อดื่มในหน้าหนาวในกรุงลอนดอน ซึ่งอุณหภูมิหน้าหนาวของลอนดอนที่ไม่ได้หนาวจัด หรืออุ่นจัดเกินไป
ส่วนอีกตัวหนึ่งคือ “จี บี” (G B) ที่ หนึ่ง รณภร ดัดแปลงสูตรมาจากเซาท์ไซด์ (South Side) ซึ่งเวลาที่เราพูดถึงประเทศอังกฤษ มักต้องนึกถึงจิน ส่วนกรุงลอนดอนเมื่อนึกถึงก็ต้องภาพวาดของ “วิลเลียม โฮการ์ท” (William Hogarth) ซึ่งเขานำเสนอในแง่มุมของช่วงที่จินตกต่ำ คนที่ดื่มจินดูจะมีชีวิตที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่เบียร์กลับดีกว่า ซึ่งมันมีเรื่องของการค้าเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย แต่ทุกวันนี้จินรุ่งเรืองมากในกรุงลอนดอน โดยเฉพาะ “แทงเกอเรย์” (Tangueray) เขาจึงดึงเอามาผสม ขณะที่เบียร์ก็ยังได้รับความนิยมอยู่ เขาจึงเอาทั้งจินและเบียร์ทำเป็นค็อกเทล โดยเอาเหล้าจินมาผสมกับน้ำเชื่อมที่ทำจากลอนดอนเบียร์ แล้วทำค็อกเทลตัวนี้ให้เป็นเซาท์ไซด์ จึงกลายมาเป็น “จี บี” (ซึ่งย่อมาจาก G = Gin และ B = Beer)
ส่วนค็อกเทลชนิดต่อมา คือ การนำ “รอน ซาคาปา” (Ron Zacapa) มาผสม ในชื่อ “สไปซ์ เกิร์ลส์” (Spice Girls) ด้วยความที่หนึ่ง รณภร ชอบเสียงเพลง และเป็นหนึ่งในนักร้องอังกฤษที่อยู่ในยุคของเขา นั่นก็คือวงสไปซ์ เกิร์ลส์ โดยในโจทย์นี้เขามองว่าสไตล์ของนักร้องแต่ละคนน่าจะเหมาะกับเครื่องเทศแต่ละชนิด จากนั้นจึงนำมาผสมกันให้เป็นน้ำเชื่อม และด้วยความที่ซาคาปาเป็นเหล้ารัมที่เอจจิ้งด้วยวิธีโซเลร่า ซิสเต็ม (Solera System) แล้วใช้เบสเป็นน้ำอ้อยสด รสชาติที่ออกมาได้ความหวานของน้ำผึ้ง ซึ่งเข้ากันได้ดีกับความเผ็ดร้อน จึงออกมาเป็น “รัม จูเลป” (Rum Julep) น้ำเชื่อมสไปซ์ เกิร์ลส์
นอกจากนี้ยังมีโจทย์ที่น่าสนใจอีกอย่างเช่น “Written Word” ซึ่งต้องใช้แนวคิดของงานเขียนหรืออะไรก็ตามที่ออกมาในรูปแบบของตัวอักษร เพื่อสร้างสรรค์ให้ออกมาเป็นค็อกเทล 2 ตัว อาจจะดึงมาจากหนังสือเล่มเดียวกัน หรือผู้เขียนคนเดียวกันก็ได้ อะไรที่เกี่ยวข้องกัน หนึ่ง รณภรจึงได้กลอนมาบทหนึ่งของ “อับราฮัม คาวลีย์” (Abraham Cowley) ซึ่งเป็นนักประพันธ์อันเก่าแก่ของอังกฤษที่พูดถึงวัฏจักรของโลก และการดื่ม
สิ่งที่ หนึ่ง รณภร ตีความออกมาเป็นส่วนผสมได้หมด และเป็นอีกหนึ่งการแข่งขันที่กรรมการประทับใจมาก เพราะเขาเปลี่ยนจากงานเขียนมาเป็นค็อกเทลได้ และรสชาติแตกต่างกันระหว่างค็อกเทล 2 ตัว ตัวแรกสดชื่น พูดถึงท้องฟ้า ลำธาร ลงสู่แผ่นดิน พืชพรรณ ความสดชื่น ซึ่งเขามองว่าแผ่นดินต้องใช้เครื่องดื่มของ “ดอน คูลิโอ” (Don Julio) ที่ผลิตมาจากผลของ “อะกาเว่” (Agave) แล้วดึงเอาพืชอย่างดอกจำปี (โดยการทำเป็นน้ำเชื่อม) ดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ในต่างประเทศหาสัมผัสได้ยาก ให้ความสดชื่น ผสมเข้ากับน้ำผลไม้สด จึงออกมาเป็นค็อกเทลที่ดื่มแล้วให้ความสดชื่น
อีกตัวหนึ่งเป็นค็อกเทลที่นำเสนอเรื่องราวของทะเล พระอาทิตย์ พระจันทร์ และดวงดาว ซึ่ง หนึ่ง รณภร เลือกมอลต์วิสกี้อย่าง “ทาลิสเกอร์” (Talisker) ซึ่งมีกลิ่นอายจากทะเลมาเป็นพระเอกในค็อกเทลตัวนี้ และผสมเครื่องเทศอย่าง “Star Anis” เพื่อบอกเรื่องราวของดวงดาว นับเป็นการตีบทกลอนออกมาเป็นเครื่องดื่มได้อย่างดีเยี่ยม
แต่ละโจทย์ในการแข่งขันนับว่ายากและท้าทายแตกต่างกันไป แต่ผู้เข้าร่วมการแข่งขันจะต้องฟันฝ่าไปให้ได้ ตามความสามารถและแรงบันดาลใจของแต่ละคน เพื่อให้ไปสู่จุดมุ่งหมาย นั่นคือ แชมป์โลก ที่สุดของนักปรุงค็อกเทลนั่นเอง ส่วน หนึ่ง รณภร ปีนี้เขาสามารถฝ่าด่านเข้ามาจนถึงรอบ 12 คนสุดท้ายได้ และจบการแข่งขันด้วยตำแหน่งที่ 11 ของโลก นับว่าเป็นการก้าวล้ำเข้ามาสู่ชัยชนะได้อย่างภาคภูมิใจไม่น้อยเลยทีเดียว และเป็นชั้นที่สูงที่สุดที่เคยมีมาสำหรับตัวแทนประเทศไทย ที่เข้าร่วมในเวทีการแข่งขัน Diageo Reserve World Class มา 4 ครั้ง หลังจากการแข่งขันรายการนี้มีมาแล้วตั้งแต่ปี 2009
ก่อนจะปิดท้าย “Diageo Reserve World Class 2014” อังกฤษประเทศเจ้าภาพ เนรมิตอาคารหลังเก่าริมแม่น้ำเทมส์ ที่มีวิวของทาวเวอร์ บริดจ์ (Tower Bridge) ด้วย จัดงานประกาศรางวัลแชมป์เวิลด์คลาสประจำปีนี้ โดยผู้ที่ชนะใจกรรมการและคว้ารางวัลแชมป์เวิลด์คลาสปีนี้ไปครอง ก็ตกเป็นของ “ชาร์ลส์ โจลี” (Charles Joly) ตัวแทนจากประเทศสหรัฐอเมริกา ตามความคาดหมาย เพราะเขามาจากบาร์ที่มีชื่อเสียง “The Aviary” ในชิคาโกเป็นแชมป์ที่รอบรู้ ปราดเปรื่อง คล่องแคล่ว และมีบุคลิกที่เหมาะสมกับตำแหน่งแชมป์เวิลด์คลาสทีเดียว ก่อนจะปิดท้ายด้วยปาร์ตี้สุดเอ็กซ์คลูซีฟที่ทุกคนต่างเต็มเปี่ยมไปด้วยความประทับใจ และประสบการณ์ตลอดการแข่งขันที่ขอบอกเลยว่าต้องจดจำไปอีกนาน
สำหรับ หนึ่ง รณภร ตัวแทนประเทศไทยแล้ว เราหวังว่าในปีหน้า 2015 ที่เมืองเคปทาวน์ ประเทศแอฟริกาใต้ จะเป็นเจ้าภาพ เขาจะยังคงมาทวงแชมป์ ทำตามความฝัน และสร้างชื่อให้กับประเทศไทย ที่นอกจากจะขึ้นชื่อเรื่องเมืองท่องเที่ยวและครัวโลกแล้ว ยังจะเป็นเมืองที่โดดเด่นในเรื่องของวัฒนธรรมการดื่มอีกด้วย :: Text by FLASH
Fact File
แชมป์เวิลด์คลาสในแต่ละปีที่ผ่านมา
2009 : “เทลิส ปาปาโดปัวลอส” เจ้าของรางวัล Diageo World Class 2009 ตัวแทนจากประเทศกรีซ
2010 : “อีริก ลอริกซ์” เจ้าของรางวัล Diageo World Class 2010 ตัวแทนจากประเทศอังกฤษ
2011 : “มานาบุ โอห์ทาเกะ” เจ้าของรางวัล Diageo World Class 2011 ตัวแทนจากประเทศญี่ปุ่น
2012 : “ทิม ฟิลิปส์” เจ้าของรางวัล Diageo World Class 2012 ตัวแทนจากประเทศออสเตรเลีย
2013 : “เดวิด ริออส” เจ้าของรางวัล Diageo World Class 2013 ตัวแทนจากประเทศสเปน
2014 : “ชาร์ลส์ โจลี” เจ้าของรางวัล Diageo World Class 2014 ตัวแทนจากประเทศสหรัฐอเมริกา
สถิติการเข้ารอบของผู้แข่งขันจากประเทศไทย
2011 : “ต่อ-วิภพ จินาพันธ์” ตัวแทนประเทศไทย จากร้าน Hyde & Seek ในการแข่งขัน Diageo World Class 2011 ณ ประเทศอินเดีย
2012 : “ปาล์ม-ศุภวิชญ์ มุททารัตน์” ตัวแทนประเทศไทย จากโรงแรมเซนต์ รีจิส (ในขณะนั้น) สามารถผ่านเข้ารอบ 16 คนสุดท้าย ในการแข่งขัน Diageo World Class 2012 ณ เมืองริโอ เดอ จาเนโร ประเทศบราซิล
2013 : “บอย-ชาญชัย รอดบำรุง” ตัวแทนประเทศไทย จากร้าน Smith ในการแข่งขัน Diageo World Class 2013 ณ ประเทศสเปน
2014 : “หนึ่ง-รณภร คณิวิชาภรณ์” ตัวแทนประเทศไทย จากร้าน Roof Hideaway (ทองหล่อ) สามารถผ่านเข้ารอบ 12 คนสุดท้าย ในการแข่งขัน Diageo World Class 2014 ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
ผู้ชนะแต่ละสาขา
:: Blend of Worlds ได้แก่ “จิอาโกโม จิอานนอตติ” จากประเทศสเปน
:: Sensory ได้แก่ “เรียนอาร์ด โปโฮเรก” จากประเทศออสเตรีย
:: Tale of Two Martinis ได้แก่ “ฮาร์ดีป เรฮาล” จากประเทศเดนมาร์ก
:: 5 Star ได้แก่ “แมกซิม กิเลียน” จากประเทศเยอรมนี
:: Written Word ได้แก่ “แกรนต์ เชนีย์ จากประเทศแคนาดา
:: KETEL ONE® Market ได้แก่ “มิโด ยาฮิ” จากประเทศฝรั่งเศส
:: Ron ZACAPA® Gastronomy ได้แก่ “ปีเตอร์ ชัว จากประเทศสิงคโปร์
:: Against the Clock Challenge ได้แก่ “ชาร์ลส์ โจลี” จากประเทศสหรัฐอเมริกา
:: Punch & Glass Signature Challenge ได้แก่ “คลัวดิโอ เปอริเนลลิ” จากประเทศอิตาลี