Celeb Online

CURATED เปิดตัวคอลเลกชัน พร้อมนิทรรศการศิลปะ ผสานศิลป์หลากแขนงบนแนวคิดเดียวกัน


>>เอก ทองประเสริฐ ดีไซเนอร์มากฝีมือเจ้าของแบรนด์ CURATED เปลี่ยนพื้นที่ภายในร้าน Broccoli Revolution สุขุมวิท 49 ให้เป็นพื้นที่จัดแสดงงานศิลปะจากผลงานของ 3 ศิลปินหญิง ภายใต้แนวคิดเกี่ยวกับ “ความเชื่อ” โดยใช้ชื่อนิทรรศการ Exhibition 13 “Believe?” พร้อมเปิดตัวคอลเลกชันใหม่ล่าสุด Believe Autumn/Winter 2016 ซึ่งนับเป็นคอลเลกชันลำดับที่ 13 ของแบรนด์ ภายในงานยังมีกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อและไลฟ์สไตล์อย่างการกินอาหารตามธาตุในรูปแบบของอาหาร Vegan มังสวิรัติขั้นสูง ซึ่งสร้างสรรค์ขึ้นโดยนำสีสันมาผูกโยงให้เข้ากับ ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ นับเป็น Art Space แนวใหม่ที่ผสานศิลปะจากหลากแขนงบนแนวคิดเดียวกันได้อย่างลงตัว

“ตั้งใจไว้ตั้งแต่ 2 ปีก่อนว่า Curated จะไม่แสดงงานในรูปแบบของแฟชั่นโชว์เพราะเราคิดว่ายังไม่สามารถสื่อไอเดียที่ต้องการบอกได้เท่าที่ตั้งใจ งานนิทรรศการครั้งนี้จึงอยากให้งานศิลปะด้านต่างๆ ได้เชื่อมโยงเข้าหากัน ทั้งแฟชั่น งานไฟน์อาร์ต” เอกกล่าว

Curated เป็นแบรนด์เสื้อผ้าและเครื่องประดับในสไตล์ Daywear ซึ่งโดดเด่นด้วยแนวคิดของการเป็น Curator นำงานศิลปะที่ประทับใจมาปรับให้อยู่ในรูปแบบของแฟชั่น นับเป็นงานแห่งความคิดสร้างสรรค์และการทดลองสิ่งใหม่ๆที่ส่งให้แบรนด์เกิดความแตกต่าง ในครั้งนี้เอกเลือกหยิบงานศิลปะ 2 ชิ้นที่เขาประทับใจมาใช้เป็นแนวทางหลักในการออกแบบทั้งเสื้อผ้าของทั้งผู้หญิงและผู้ชาย

งานแรก คือ ผลงานชื่อ Where and when? Berck/Lourdes ของ Sophie Calle ศิลปินชาวฝรั่งเศสซึ่งมีแนวทางการทำงานไม่เหมือนใคร เธอสร้างสรรค์งานแสดงชิ้นนี้จากการให้นักพยากรณ์ทำนายโชคชะตาของเธอผ่านการเปิดหนังสือแล้วบอกคำสำคัญ จากนั้นจึงใช้ชีวิตตามคำทำนายนั้นและเก็บเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ตั๋วรถไฟ ภาพถ่ายและวิดีโอ มาจัดแสดงเป็นนิทรรศการ

ส่วนผลงานศิลปะอีกชิ้นคือ Decision (2015) ผลงานของ Carsten Holler ศิลปินเบลเยียม ที่จัดแสดงผลงานโดยปล่อยให้ผู้ชมเป็นผู้ตัดสินใจเองว่าจะเลือกชมอย่างไรผ่านทางเข้างานที่มีให้เลือกทั้ง A และ B เมื่อนำงานศิลปะทั้งสองชิ้นนี้มาประกอบกันจึงเกิดเป็นแนวคิดการออกแบบที่พูดถึงระบบการรับรู้ Perception ของคน แต่ละคนนำไปสู่เรื่องราวของ “ความเชื่อ” ที่กำหนดให้คนตัดสินใจทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งในแต่ละขั้นตอนของชีวิต

“เราสนใจเรื่องระบบความเชื่อของคนในสังคม ว่าทำไมคนหนึ่งคนถึงตัดสินใจเลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือการที่คนเราให้คนที่เราไม่รู้จัก ในที่นี้คือหมอดู มากำหนดชะตาชีวิตของตนเองคอลเลกชันนี้จึงต้องการสื่อถึงระบบความเชื่อที่เกิดขึ้นในคนหนึ่งคน โดยจะแบ่งวิธีคิดออกเป็น 3 ขั้นตอนตามหลักวิทยาศาสตร์เรื่อง Decision process หรือ Cognitive Process คือ Information/Analysis/ Decision making ซึ่งอธิบายได้ว่าในแต่ละวันเมื่อเราได้รับข้อมูลหนึ่งมา ข้อมูลนั้นจะถูกวิเคราะห์ผ่านความทรงจำของเราเพื่อนำไปสู่การตัดสินใจว่าจะเลือกทำอย่างไรต่อ งานในคอลเลกชัน Believe ก็ใช้ระบบความคิดเดียวกัน โดยเราใช้วิธีเดียวกับ Sophie Calle ด้วยการนำวันเดือนปีเกิดของแบรนด์ ไปให้หมอดูไพ่ทาโร่ต์ดูดวง โดยสมมติว่าแบรนด์คือลูกผู้หญิงกับลูกผู้ชาย อายุประมาณ 6-7 ขวบ เท่ากับแบรนด์เกิดวันเดียวกับที่จดทะเบียนแบรนด์ หมอดูก็ทำนายว่า ถ้าเป็นเด็กผู้หญิง เธอคนนี้จะเป็นโสด ไม่มีใครคบ และมีชีวิตที่โดดเดี่ยว แต่ถ้าเป็นเด็กผู้ชาย เด็กคนนี้จะเกิดอุบัติเหตุบ่อย เจอความโชคร้ายตลอดเวลา จากนั้นเราก็เอาข้อมูลตรงนี้มาเป็นแนวทางการออกแบบ ซึ่งเป็น Process ใหม่ที่ไม่เคยทำมาก่อน”


ไอเดียจากคำทำนายถูกแบ่งออกเป็น 2 แนวทางใหญ่ ในส่วนของเสื้อผ้าผู้หญิง เอกนำแนวคิดว่า หากผู้หญิงคนหนึ่งถูกทำนายว่าจะต้องเป็นโสด เธอจะมีทางเลือกสองทาง อย่างแรกคือ ไปขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จากจุดนี้เอกจึงนำ Element ที่ได้แรงบันดาลใจจากการผูกคำทำนายบนกิ่งไม้ในศาลเจ้าญี่ปุ่น มาเปลี่ยนเป็นดีเทลของเสื้อผ้าที่เน้นเรื่องการผูก ไม่ว่าจะเป็นการผูกปม หรือผูกโบ ในขณะเดียวกันจากคำทำนายของเด็กผู้ชาย หากมีคนทักว่ากำลังจะมีเคราะห์ ถ้าเลือกที่จะเชื่อ สิ่งที่ทำคือต้องไปหาพระมาคล้อง หรือหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เครื่องรางต่างๆ มาปกป้องตนเอง ดีเทลของเสื้อผ้าผู้ชายจึงเน้นที่การนำรูปทรงของเครื่องรางต่างๆ ของไทยมาใส่ไว้ในรูปแบบกราฟิก

แนวทางอีกด้านของการออกแบบที่ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย เลือกที่จะไม่เชื่อในคำทำนาย เอกดึงไอเดียจากความมั่นใจของผู้หญิงที่เลือกแต่งงานกับตนเอง ด้วยการหยิบดีเทลของผ้าลูกไม้ หรือรายละเอียดต่างๆ ในชุดแต่งงานมาปรับในรูปแบบของ Daywear และนำแหวนแต่งงานมาปรับเปลี่ยนรูปแบบการใส่ ส่วนผู้ชาย แม้จะเลือกไม่เชื่อคำทำนาย แต่ก็ยังต้องใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวัง จากแนวคิดจึงกลายเป็นดีเทลของอุปกรณ์ป้องกันอันตรายต่างๆ รวมถึงเครื่องหมาย Fragile และสัญลักษณ์ที่แสดงเรื่องความปลอดภัย

นิทรรศการ BELIEVE จัดขึ้นระหว่างวันที่ 13 กันยายน-13 พฤศจิกายน 2559



THE ARTISTS
ผลงานศิลปะจาก 3 ศิลปินที่เอกเลือกมาจัดแสดง ล้วนให้แนวความคิดที่คล้ายคลึงและไปในทิศทางเดียวกับเรื่องของความเชื่อที่เขานำเสนอ

สนิทัศน์ ประดิษฐ์ทัศนีย์ กับผลงานชุด “Capturing the intangible”

หยิบผลงานส่วนหนึ่งจากการแสดงเดี่ยวที่หอศิลป์จุฬาฯ มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในนิทรรศการเพื่อสื่อถึงแก่นความเชื่อผ่านงานโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมอย่างรูปทรงของเจดีย์ “สนใจเรื่องตัวตนของความเชื่อที่ฝังอยู่ในชีวิตประจำวัน ผ่านรูปเคารพ และสถาปัตยกรรมที่เรากราบไหว้ จนเกิดคำถามเช่น อะไรกันแน่ที่เรากราบไหว้กันอยู่ จึงเริ่มนำเสนอผ่าน Negative Space ของเจดีย์ ด้วยวัตถุที่จับต้องได้เช่น หนังสือธรรมะ หนังสือวิทยาศาสตร์ แล้วพูดถึงเรื่องการจับต้องความรู้ที่มีแนวความคิดเหมือนกัน คือถ้ารู้เพียงแต่ทฤษฎีแต่ไม่ปฏิบัติจริงจะเข้าใจได้อย่างไร เป็นการตั้งคำถามระหว่างเปลือกข้างนอกกับแก่นข้างในว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่เห็นคือสิ่งที่เป็นหรือเปล่า” สนิทัศน์กล่าว

“เรามองเห็นการอ้างอิงระหว่าง Shape และ Form ของเจดีย์ ที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามการรับรู้ของคน ด้วยรูปทรงที่ทำให้รู้สึกต้องเคารพ โดยศิลปินใช้ Negative Space ของเจดีย์เป็นเครื่องมือในการสื่อสาร ซึ่งลิงก์กับคอลเลกชันของผู้ชายที่นำพระเครื่องมาเป็นสัญลักษณ์ และมาทำรูปทรงใหม่”


วทันยา ศิริวรรณ กับผลงานชุด Object (มงคล)

งานศิลปะที่นำความเชื่อทางศาสนามาตีความผ่านมุมมองของตัวศิลปิน โดยนำงานปักผ้ามา ใช้ถ่ายทอดแทนการเชื่อมโยงของชีวิตและศาสนา ผลงานที่นำมาจัดแสดงคือศาลพระภูมิ ซึ่งทำขึ้นมาจากผ้าปักทั้งหมด “แรงบันดาลใจของงานเกิดจากการตั้งคำถามเรื่องความเชื่อในศาสนาพุทธ ที่ปนกับการทำพิธีอย่างพราหมณ์ การนับถือผีในสังคมไทย โดยเลือกแสดงผ่านผ้าซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้หญิงใช้แสดงออกเรื่องศาสนา เช่นผ้าทอต่างๆ บวกกับส่วนตัวชอบงานคราฟต์จึงนำมาแสดงออกในรูปแบบของงานศิลปะ เช่น งานศาลพระภูมิที่ทำขึ้นจากผ้า บางคนมองว่าเป็นการลบหลู่หรือไม่ แต่เราอยากนำเสนอว่า เป็นคนเราเอง ที่มองศาลพระภูมิในแง่ของวัตถุ แต่จริงๆแล้วสิ่งที่เราเชื่อคือสิ่งที่อยู่ในนั้นมากกว่าไม่ใช่หรือ” วทันยากล่าว

“เรามองเห็นความเชื่อมโยงของการนำงานคราฟต์มาแทนที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งปกติต้องเป็นปูน/ดิน ปลุกเสก หรือเป็นโลหะมีค่า จึงลิงก์เข้ากับคอลเลกชันในหมวดของผู้หญิงที่มีดีเทลเป็นการผูก พันเชือก ที่มองแล้วจะเหมือนตอนที่คนที่ตามหาความรักมักไปบนบานศาลกล่าวกับศาลเจ้าต่างๆ หรือแม้กระทั่งการเอากุญแจไปล็อกตามสถานที่ต่างๆ” เอกกล่าว


กวิตา วัฒนชยังกูร กับผลงาน (Tools)

งาน Video Art ที่ศิลปินใช้ตนเองแทนสิ่งของเครื่องใช้ในบ้าน เช่นไม้กวาด ที่ไสน้ำแข็ง ราวตากผ้า หรือแม้แต่ตาชั่ง เพื่อบอกเล่าถึงการทำงานบ้านซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกทำอย่างต่อเนื่อง ไม่มีจุดจบจนเกิดความรู้สึกว่ากลายเป็นสิ่งของเหล่านั้น เปรียบเหมือนการทําลายอัตลักษณ์เเละความเป็นตัวตนของบุคคลนั้นๆ ให้หายไป “งานของแพรวเป็นงานที่พูดถึงผู้หญิงไทยในยุคปัจจุบัน โดยใช้ตัวเองไปแทนวัสดุต่างๆในบ้าน ซึ่งการที่เราสร้างผลงานโดยใช้ตนเองเป็นส่วนหลัก ต้องใช้วิธีสะกดจิตตัวเองให้รู้สึกว่าเราเป็นของชิ้นนั้นจริงๆ ภาษาธรรมะคือไม่มีตัวกูของกู เป็นการเอาตัวเองออกไป เพื่อที่เราจะได้รู้สึกว่าถ้าเราสูญเสียความรู้สึก ความเป็นตัวตนนั้นไปจะเป็นอย่างไร เป็นเหมือนการตั้งคำถามและได้คำตอบจากการทดลองที่ทำ นอกจากนั้นยังสื่อถึงเรื่องความเท่าเทียม เรื่องของเฟมินิสม์ที่แฝงอยู่เรื่องสิทธิของผู้หญิง” กวิตากล่าว

“สิ่งที่ผลงานนี้สื่อออกมาจะลิงก์กับความเชื่อในทางเลือกของการ ‘ไม่เชื่อ’ ในคำทำนาย คอลเลกชัน ที่ว่าทำไมผู้หญิงต้องแต่งงาน หรือมีความคาดหวังว่าตนเองต้องแต่งงาน จนเกิดเป็นวลีว่า ‘ไม่กลัวขึ้นคานเหรอ’ ซึ่งเป็นความเชื่อที่เกิดจากบริบทในสังคม ว่าผู้หญิงควรดำเนินชีวิตตามขั้นตอน หนึ่ง สอง สาม สี่ ที่สังคมได้คาดหวัง และตั้งกฎเกณฑ์เอาไว้มากมาย” เอกกล่าว




MENU 4 ELEMENTS

นอกจากแนวคิดของ “ความเชื่อ” ที่แสดงออกผ่านงานศิลปะและแฟชั่น ในแง่ของไลฟ์สไตล์ ความเชื่อ ก็ยังสามารถเข้าไปมีบทบาทในการสร้างสรรค์ได้ ดังเช่นเมนูอาหารทั้ง 4 เซตที่ครีเอตขึ้นผ่านโจทย์เรื่องความเชื่อในเรื่องธาตุประจำเดือนเกิด แต่ละเซตเมนูประกอบด้วย ซุป อาหารเรียกน้ำย่อย เมนคอร์ส ขนมหวาน และเครื่องดื่ม จัดหมวดหมู่สีสันให้บ่งบอกถึงสัญลักษณ์ที่แสดงธาตุต่างๆ สีเหลือง-น้ำตาล แทนธาตุดิน, สีฟ้า แทนธาตุน้ำ, สีเขียว แทนธาตุลม และสีแดงแทนธาตุไฟ

“จุดเด่นของร้าน Broccoli Revolution อยู่ที่อาหารทุกเมนูเป็นอาหารประเภท Vegan หรือ มังสวิรัติขั้นสูงสุด ไม่มีส่วนประกอบที่มาจากสัตว์เลย 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่ว่าจะเป็นไข่ นม เนย น้ำปลา หรือแม้แต่น้ำผึ้ง เพราะฉะนั้นจึงดีต่อสุขภาพ ข้อสำคัญยังสร้างสรรค์ในสไตล์ East Meets West มีอาหารให้เลือกหลากหลายแบบนานาชาติทั้งไทย พม่า เวียดนาม ญี่ปุ่น โมร็อกโก ฯลฯ” คุณหนู-ณยา เอียร์ลิกซ์ อาดัม เจ้าของร้าน Broccoli Revolution กล่าว

สำหรับเซตเมนูอาหารตามธาตุเดือนเกิด บางเมนูมีจำหน่ายที่ร้านอยู่แล้ว แต่หากต้องการสั่งทั้งเซตต้องสั่งจองล่วงหน้า 1-2 วัน

ธาตุน้ำ Water
ซุป Blue Cashew Cauliflower กะหล่ำดอกและมะม่วงหิมพานต์ผสมสีจากอัญชัญ เมนูเรียกน้ำย่อย Blue Hummus with Pita Bread ถั่วลูกไก่บดจากเลบานอนกินกับแป้งพิต้า เมนคอร์ส Daikon Blue Pasta with Miso Sauce พาสต้าที่ทำจากหัวไชเท้าฝาน เสิร์ฟคู่กับซอสมิโซะ ขนม กล้วยบวชชี เครื่องดื่ม อัญชันไอซ์ที

ธาตุดิน Earth
ซุป Yellow Corn Chowder เมนูเรียกน้ำย่อย Tapenade & Onion Confiture with Bread stick อาหารว่างของฝรั่งเศสที่ใช้มะกอกดำปั่นกับเครื่องเทศ และแยมหอมหัวใหญ่ กินคู่กับขนมปังกรอบ เมนคอร์ส Zaru Soba (บะหมี่เย็น) ที่ใช้เส้นบุกแทนเส้นโซบะ ขนมหวาน ไอศกรีมงาดำออแกนิก เครื่องดื่ม No.12 (ฟักทอง เซลารี่และมะม่วง)

ธาตุไฟ Fire
ซุป Moroccan Lentil เมนูเรียกน้ำย่อย Pumpkin Hummus with Carrot Stick แครอตดิป กับฟักทองบดกับเครื่องเทศ เมนคอร์ส Stuffed Tomato with cashew-cheese couscous ขนม สตรอเบอร์รี ซอร์เบต เครื่องดื่ม No.9 (บีตรูต แครอต แอปเปิลเขียว มะนาว)

ธาตุลม Wind
ซุปบร็อกโคลี เมนูเรียกน้ำย่อย เซลารี่สดดิปกับซาวเออร์ครีม เมนคอร์ส Edamame Spaghetti with Green Pea and Avocado สปาเกตตีซอสถั่วแระญี่ปุ่น กับถั่วลันเตาและอโวคาโด ขนม Frozen Mint Pannacotta with Kiwi Juice เครื่องดื่ม No.7 (บร็อกโคลี ส้ม แอปเปิลเขียว) :: Text by FLASH