เพื่อระลึกถึงพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ในการเสด็จพระราชดำเนินเยือนชวาสามครั้ง และเพื่อเป็นการเผยแพร่ให้ประชาชนทั่วไปได้ตระหนักถึงพระมหากรุณาธิคุณและพระปรีชาสามารถของพระองค์ที่ทรงรวบรวมวิทยาการ และศิลปวัฒนธรรม มาปรับใช้ในการวางรากฐานพัฒนาประเทศไทยอย่างยั่งยืนสืบมาจนถึงปัจจุบัน อีกทั้งเพื่อเฉลิมฉลองการครบรอบ ๗๐ ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐอินโดนีเซีย
พิพิธภัณฑ์ผ้าในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ จึงจัดแสดงนิทรรศการ ผ้าบาติกในพระปิยมหาราช : สายสัมพันธ์สยามและชวา โดยแบ่งออกเป็น ๓ รอบ โดยนิทรรศการรอบแรกเปิดให้เข้าชมอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ และในเดือนมกราคมนี้พิพิธภัณฑ์ผ้าฯ ได้เปลี่ยนวัตถุจัดแสดงชุดเดิมออกทั้งหมด เพื่อติดตั้งวัตถุจัดแสดงชุดที่ ๒ ซึ่งเป็นผ้าบาติกผืนที่ไม่เคยจัดแสดงมาก่อน เพื่อให้ประชาชนได้มีโอกาสชื่นชมความงดงามของผ้าบาติกในพระปิยมหาราชจากเมืองต่าง ๆ บนเกาะชวาอย่างทั่วถึง
โอกาสนี้พิพิธภัณฑ์ผ้าฯ จึงได้จัดชมรอบพิเศษ หรือ Private View นิทรรศการ “ผ้าบาติกในพระปิยมหาราช : สายสัมพันธ์สยามและชวา” ชุดที่ ๒ โดยมี ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ทีขะระ ราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวงเป็นประธานในการจัดงาน พร้อมด้วย ฯพณฯ อะฮ์มัด รุสดี เอกอัครราชทูตอินโดนีเซียประจำประเทศไทยให้เกียรติเข้าร่วมงานเปิดนิทรรศการดังกล่าว
พร้อมกันนี้ ปิยวรา ทีขะระ เนตรน้อย ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ผ้าฯ ร่วมด้วย ศาสตรัตน์ มัดดิน ภัณฑารักษ์ประจำนิทรรศการ ได้มาบอกเล่าความพิเศษ พร้อมนำชมนิทรรศการชุดใหม่ และแนะนำกิจกรรมพิมพ์ผ้าบาติกด้วยแม่พิมพ์ทองแดง โดยช่างผู้เชี่ยวชาญจากเมืองยอกยาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ณ พิพิธภัณฑ์ผ้า ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อเร็ว ๆ นี้
ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ทีขะระ ราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง กล่าวถึงการจัดงานในครั้งนี้ว่า เป็นโอกาสอันดีที่ปี ๒๕๖๓ จะครบรอบ ๗๐ ปี ของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชอาณาจักรไทย และสาธารณรัฐอินโดนีเซีย พิพิธภัณฑ์ผ้าฯ จึงได้มีการเปลี่ยนวัตถุจัดแสดงทั้งหมด และติดตั้งวัตถุจัดแสดงชุดใหม่ซึ่งไม่เคยจัดแสดงมาก่อน โดยในงานเปิดตัวผ้าบาติกชุดใหม่วันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๖๓ เอกอัครราชทูตอินโดนีเซียประจำประเทศไทย ฯพณฯ อะฮ์หมัด รุสดี ได้ให้ความอนุเคราะห์ทั้งการแสดงและอาหารว่างแบบอินโดนีเซียสำหรับแขกผู้มีเกียรติผู้มารวมงานทุกท่าน
ปิยวรา ทีขะระ เนตรน้อย ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ผ้าฯ กล่าวถึงรายละเอียดของนิทรรศการ ผ้าบาติกในพระปิยมหาราช : สายสัมพันธ์สยามและชวา ชุดที่ ๒ ว่าระหว่างการเสด็จฯ เยือนชวา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรการเขียนผ้าบาติกอันเป็นหัตถศิลป์ที่เลื่องชื่อและเป็นที่พอพระราชหฤทัยอย่างยิ่ง จึงทรงซื้อผ้าบาติกกลับมาเป็นจำนวนมาก และมีผู้ทูลเกล้าฯ ถวาย รวมทั้งสิ้นกว่า ๓๐๐ ผืน ซึ่งมีความโดดเด่นทั้งในแง่ความงดงามของศิลปะ และองค์ความรู้ทางประวัติศาสตร์การแต่งกายของชวา ผ้าเหล่านี้เก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี มีการให้หมายเลขกำกับผ้าแต่ละผืน และบันทึกข้อมูลรายละเอียดของผ้าแนบไว้ ถือเป็นหลักฐานสำคัญยิ่ง เนื่องด้วยผ้าบาติกที่ทรงสะสมมีจำนวนถึง ๓๐๗ ผืน และนำออกแสดงได้ประมาณครั้งละ ๔๐ ผืน จึงมีการเปลี่ยนชิ้นงานผ้าบาติกจัดแสดงใหม่ ๒ ครั้ง ในเดือนมกราคม และกันยายน ๒๕๖๓ เพื่อให้ประชาชนได้มีโอกาสชื่นชมผ้าบาติกทรงสะสม พร้อมเรื่องราวเชิงประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรมอย่างทั่วถึง โดยปัจจุบันองค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติหรือ ยูเนสโก (UNESCO) ได้ประกาศให้ผ้าบาติกเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของอินโดนีเซียอีกด้วย
ปิยวรา กล่าวเสริมถึงอีกกิจกรรมพิเศษที่กำลังจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนตุลาคมว่า “เนื่องจากปีนี้เป็นปีครบรอบ ๗๐ ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐอินโดนีเซีย พิพิธภัณฑ์ผ้าฯ มีอีกหนึ่งกิจกรรมอันสืบเนื่องมาจากการลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูล รวมถึงเรื่องราวต่าง ๆ ในพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่พระองค์ท่านได้ทรงกล่าวถึงหลายสถานที่ไว้อย่างน่าสนใจ จึงจะมีการจัดทริปตามรอยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในการเสด็จประพาสเกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อให้ผู้ที่สนใจได้ลงพื้นที่จริง เมื่อครั้งที่พระองค์ท่านเสด็จฯ เยือนประเทศอินโดนีเซีย อาทิ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอินโดนีเซีย ซึ่งพระองค์ท่านเสด็จฯ ไปถึง ๓ ครั้ง รวมถึงพระราชวังเมืองยอร์กยาการ์ตา, บุโรพุทโธ, ทามัน สารี หรือพระราชวังน้ำ นอกจากตามรอยการเสด็จฯ แล้ว สำหรับผู้ที่ชื่นชอบผ้าจะได้ไปเยือนพิพิธภัณฑ์ผ้าที่จาการ์ต้า ซึ่งจัดแสดงผ้าประเภทต่าง ๆ และมีแกลเลอรี่ที่จัดแสดงเฉพาะผ้าบาติกที่น่าสนใจมาก รวมถึงพิพิธภัณฑ์ผ้าบาติกดานาร์ฮาดี ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองสุราการ์ตา และตลาดขายผ้าในแหล่งสำคัญต่าง ๆ อีกด้วย โดยทริปพิเศษดังกล่าวนี้จะจัดขึ้นในช่วงเดือนตุลาคม รับจำนวนจำกัดเพียง ๒๐ คนเท่านั้น”
ศาสตรัตน์ มัดดิน ภัณฑารักษ์ประจำนิทรรศการ กล่าวถึงความพิเศษของผ้าชิ้นไฮไลต์ที่นำมาจัดแสดงในครั้งนี้ว่า พิพิธภัณฑ์ผ้าฯ ได้เปลี่ยนวัตถุจัดแสดงชุดเดิมออกทั้งหมด เพื่อติดตั้งวัตถุจัดแสดงชุดที่ ๒ ประกอบด้วย ผ้าบาติกในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ จำนวน ๓๗ ผืน และผ้าบาติกลายสิริกิติ์ จำนวน ๑ ผืน ออกแบบขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถพระบรมราชชนนีพันปีหลวง เมื่อครั้งโดยเสด็จพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรไปทรงเยือนสาธารณรัฐอินโดนีเซียอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ ๘ – ๑๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๓ ตรงกับสมัยของประธานาธิบดีซูการ์โน เพื่อสื่อถึงพระสิริโฉมและพระจริยวัตรอันงดงามของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง
รวมทั้งมีไฮไลต์เป็นผ้าบาติกผืนพิเศษที่ไม่เคยจัดแสดงมาก่อน อาทิ ผ้าบาติกลายมิกาโด ที่ได้มาจากเมืองยอกยาการ์ตา ซึ่งได้รับอิทธิพลจากศิลปะแบบญี่ปุ่นที่เริ่มเข้ามามีบทบาทในเกาะชวา ช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ จึงมีการนำลวดลายพัดญี่ปุ่นรูปแบบต่าง ๆ มาเขียนลงบนผ้าบาติก โดยพื้นหลังช่างเขียนลายกาวุง ซึ่งเป็นลายดั้งเดิมของชวากลาง ส่วนบริเวณหัวผ้าเขียนลายพัดญี่ปุ่นสลับกับลายพรรณพฤกษาได้อย่างประณีตงดงาม และผ้าโพกศีรษะเขียนทอง (ปราดา) สันนิษฐานว่า มาจากเมืองจิเรบอน ชวาตะวันตก ใช้เฉพาะในโอกาสพิเศษสำหรับพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายหน้า พบเพียงหนึ่งผืนจากผ้าบาติกสะสมทั้งหมด
นิทรรศการผ้าบาติกในพระปิยมหาราช : สายสัมพันธ์สยามและชวา แบ่งเป็น ๒ ห้องจัดแสดง โดยห้องแรก จัดแสดงผ้าบาติกที่มาจากพื้นที่บริเวณชายฝั่งตอนเหนือของชวากลางและพื้นที่ชวาตะวันตก และห้องที่สอง จัดแสดงผ้าบาติกจากพื้นที่ชวากลาง ประกอบไปด้วยเมืองยอกยาการ์ตา และเมืองสุราการ์ตา รวมถึงแสดงวีดิทัศน์ตลอดจนภาพอธิบายขั้นตอนการทำผ้าบาติก เพื่อให้ผู้ชมมีความรู้ความเข้าใจดียิ่งขึ้น
นิทรรศการผ้าบาติกในพระปิยมหาราช: สายสัมพันธ์สยามและชวา ชุดที่ ๒ เปิดให้เข้าชมตั้งแต่ ๒๔ มกราคม ๒๕๖๓ เป็นต้นไป ณ ห้องจัดแสดง ๓ – ๔ พิพิธภัณฑ์ผ้าในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในพระบรมมหาราชวัง เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา ๙.๐๐ – ๑๖.๓๐ น. ปิดจำหน่ายบัตรเข้าชมเวลา ๑๕.๓๐ น. บัตรเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่ ราคา ๑๕๐ บาท ผู้สูงอายุ (๖๕ ปีขึ้นไป) ราคา ๘๐ บาท นักเรียนหรือนักศึกษา (โปรดแสดงบัตรประจำตัว) และเด็กอายุ ๑๒ – ๑๘ ปี ราคา ๕๐ บาท เด็กอายุต่ำว่า ๑๒ ปี ไม่เสียค่าใช้จ่าย