Celeb Online

โชคดีในความโชคร้าย “ดวงพร บุณยะจินดา” ประสบการณ์รักษาเนื้องอกในสมอง


>>เซเลบริตีสาวสวย “เอ – ดวงพร บุณยะจินดา” แฟชั่นนิสต้าเจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าสไตล์เก๋ Alisa หลายคนคุ้นชินกับภาพความเป็นสาวเฮลท์ตี้ของเธอ ที่กระฉับกระเฉงและสดใสร่าเริง แต่หารู้ไม่ว่า สาวเอเคยประสบโรคร้ายที่อันตรายถึงชีวิตมาแล้ว โดยวันนี้เราจะให้เธอพาย้อนวันวานไปถึงประสบการณ์ที่ต้องเผชิญหน้ากับการเป็นผู้ป่วยเนื้องอกในสมอง

“ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว เอประสบอุบัติเหตุ ตอนนั้นจำไม่ได้ว่าล้มอย่างไร ตอนแรกก็ไม่เป็นอะไรเลย แต่พอหลังจากนั้นสักพักรู้สึกว่าเจ็บๆ บริเวณชายโครง ไม่ค่อยสบายใจ ก็เลยตัดสินใจว่าไปหาหมอดีกว่า ให้เขาตรวจดูสักหน่อย ทางคุณหมอก็เลยสั่งให้ทำ MRI (การตรวจสแกนด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า) เผื่อดูว่าเป็นอะไรไหม ผลออกมาคือ ซี่โครงปกติดี ไม่เป็นอะไรเลย แต่กลับมีข่าวที่ทำให้เราช็อกคือ คุณหมอตรวจพบเนื้องอกในสมอง สแกนเจอก้อนดำๆ ขนาดประมาณลูกเทนนิส ตรงศีรษะแถวบริเวณด้านขวาของหน้าผาก” ดวงพรเล่าย้อนให้ฟังถึงครั้งแรกที่ได้รับรู้ข่าวของโรคร้ายนี้


“ตอนนั้นก็ตกใจ แล้วก็งง ไม่อยากเชื่อว่าเราจะเป็นเนื้องอก เพราะไม่มีอาการอะไรเลย ปกติดีทุกอย่าง ซึ่งมารู้ทีหลังว่าที่จริงแล้วเรามีอาการแต่เราไม่รู้ตัว เพราะแต่ละคนอาการไม่เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าต้องปวดหัว ตาพร่า เหมือนที่มักจะได้ยินกัน แต่ของเอเป็นเรื่องอารมณ์ คือ ตรงที่เป็น มันไปกระทบกับเส้นที่ส่งผลต่ออารมณ์ คือ คิดเล็กคิดน้อย แล้วก็เจ้าน้ำตา อย่างนั่งดูหนังแล้วก็ร้องไห้ เศร้ามาก อินมาก ซึ่งเมื่อก่อนไม่เคยเป็นเลย แต่เราก็ไม่คิดว่ามันผิดปกติอะไร ก็คิดว่าคนเราก็อารมณ์อ่อนไหวกันได้ เป็นเรื่องธรรมดา…
ต้องบอกว่า โชคดีมากที่เราไปตรวจเจอโดยบังเอิญจากการทำ MRI ครั้งนั้น เพราะถ้าปล่อยไว้ แล้วกว่าจะตรวจเจอ ตอนที่โตกว่านี้ หรือรอให้มีอาการจนเราเอะใจ ตัวเนื้องอกที่โตขึ้นมันอาจจะไปเบียดกับเส้น ส่งผลให้เราชัก เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือมีอาการที่ร้ายแรงต่อชีวิตได้”

เพราะเหตุนี้ คุณหมอจึงแนะนำให้เธอรีบทำการผ่าตัดทันที ก่อนที่เนื้องอกจะทำให้เกิดผลเสียอื่นๆ ต่อร่างกาย “ตอนนั้นทุกอย่างรวดเร็วมาก ไม่มีเวลาเครียดเลย เพราะพอรู้ว่าเป็นเราก็อยากรีบรักษาให้หาย คือในเรื่องฝีมือการรักษาเอไม่ห่วงเลย เพราะทางครอบครัวใช้บริการเครือ BDMS มาโดยตลอด ตั้งแต่สมัยคุณพ่อ (พจน์ บุณยะจินดา) ไว้วางใจอยู่แล้ว มั่นใจว่าหาคุณหมอที่ดีที่สุดให้เรา เครื่องไม้เครื่องมือก็ทันสมัย ไม่มีไรต้องกังวล ตอนนั้นเป็นห่วงอยู่เรื่องเดียวคือ ต้องโกนศีรษะ กลัวเสียโฉม(หัวเราะ)
ยังคุยกับคุณหมอก่อนผ่าตัดเลยว่า ทำให้ดีที่สุดและก็พยายามอย่าให้เสียโฉมนะคะ เพราะเอเป็นตรงหน้าผากด้านหน้า มันเห็นชัด แล้วก็ใกล้กับดวงตาด้วย ซึ่งพอผ่าเสร็จออกมา ต้องขอบคุณคุณหมอมาก เพราะเนี้ยบสุด ไม่เห็นแผลเป็นด้วยซ้ำ ถ้าไม่บอกนี่คือดูไม่ออก ซึ่งที่จริงแล้วที่ผ่าออกไปนี่เนื้อบุบหายเลยนะ เพราะก้อนมันใหญ่อยู่ แต่ทางคุณหมอเขาใช้วัสดุทดแทนมาใส่เสริมให้ โบกให้เรียบเนียนเหมือนเดิม คือ นอกจากผ่าตัดรักษาให้แล้วยังเสริมสวยให้ด้วยเลย(หัวเราะ)”


หลังการผ่าตัด เธอใช้เวลาเพียงไม่นานก็กลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ “ต้องถือว่าเอโชคดีมาก เพราะพักแอดมิทอยู่โรงพยาบาลเพียงเดือนเดียว หลังจากนั้นไปพักฟื้นที่บ้านที่หัวหินต่อ เผื่อจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ พักสมอง ไม่ต้องทำกิจกรรม คุยโทรศัพท์ สังสรรค์ ให้พักอย่างสงบที่สุด ซึ่งแค่ 2 – 3 เดือน ก็หายสนิท กลับมาเป็นเหมือนปกติทุกอย่าง

ในตอนแรกก็แอบกลัวเหมือนกันว่า การผ่าตัดใหญ่อย่างผ่าตัดสมอง มันจะส่งผลอย่างไรบ้าง จะกลับมาทำงานได้ไหม เราจะจำคนรอบข้างได้หรือเปล่า กลัวตื่นมาแล้วจำใครไม่ได้เลย แต่ก็โชคดีที่ไม่เกิดอะไรแบบนั้น อย่างคอร์สในการรักษาตัวหลังผ่าเสร็จ มันมีเรื่องกายภาพด้วย เราก็งงว่ามีทำไม เพราะด้วยความที่เราไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน ที่บ้านก็ไม่เคยมีใครเป็น ไม่รู้เรื่องการผ่าตัดสมองเลย หลังผ่าแล้ว เราก็ทำตัวปกติ ก็ลุกขึ้นเดินเหินได้ปกติ เลยไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำกายภาพ ก็มารู้ที่หลังว่า หลายคนที่ผ่าแล้วกลับมาเดินไม่ได้ก็มี หรือเดินเป๋ เสียบาลานซ์ ทำให้ต้องฝึกเดิน ในเคสของเอนี่คือถือว่าดีมาก ที่ไม่ได้เป็นอะไรเลย
อย่างช่วงหลังผ่า ตามขั้นตอนคือเราต้องกินยากันชักอยู่เกือบ 3 เดือนได้ เพราะในการรักษา ยาที่ใช้มันแรงเพราะการผ่าเกี่ยวกับสมอง กลัวว่าการทำงานของสมองจะผิดปกติ อาจจะหลั่งสารอะไรมากเกินไป อาจทำให้เกิดการชัก หรืออาจจะส่งผลต่างๆ ก็เลยต้องกินยาเผื่อไว้ก่อน ซึ่งก็โชคดีที่ไม่มีมีอาการอะไรให้น่าเป็นห่วง…


ทุกวันนี้ก็มีเพียงนัดเช็กอัพดูอาการอย่างต่อเนื่อง โดยตอนแรกคุณหมอนัดทุกเดือน ก่อนจะขยับมาเป็น ทุก 2 เดือน และ 6 เดือน ตามลำดับ แต่นอกนั้นคือใช้ชีวิตตามปกติเลย มีแค่ไม่อยากให้ออกกำลังกายหนักๆ แล้วก็รักษาสุขภาพตัวเองอย่างสม่ำเสมอก็พอ”

เธอทิ้งท้ายถึงเรื่องราวการประสบกับโรคร้ายนี้ว่า “เอต้องขอบคุณทั้งเรื่องโชคชะตาที่ทำให้เอได้ตรวจพบเจอเนื้องอกโดยบังเอิญ ทำให้เรารักษาได้อย่างรวดเร็ว และที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ต้องขอบคุณเหล่าทีมแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางและโรงพยาบาลที่มีเครื่องมือที่ทันสมัยที่ทำให้หลังการผ่าตัด เราสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ ใครจะไปคิดว่าคนผ่าตัดเนื้องอกในสมองใช้เวลาพักฟื้นแค่ 4 เดือนเท่านั้น ซึ่งถือว่าเร็วมาก เรื่องนี้ ต้องยกเครดิตให้ศูนย์สมอง และระบบประสาทโรงพยาบาล BNH ในเครือ BDMS ที่ทำให้เราได้กลับมาใช้ชีวิตและได้อยู่กับคนที่เรารักอีกครั้งค่ะ”