Celeb Online

ค้นหา 50ข้อคิด สู่อิสรภาพแห่งชีวิตในหนังสือ "งานไม่ประจำ ทำเงินกว่า"


>>มาค้นหา 50ข้อคิด สู่อิสรภาพแห่งชีวิตใน “งานไม่ประจำ ทำเงินกว่า” หนังสือเล่มนี้ไม่ได้ชวนให้คุณลาออกจากงานประจำ แต่ถ้าคุณคิดแบบนั้นอยู่แล้ว หรือกำลังอยากจะมีชีวิตอิสระ หนังสือเล่มนี้มีวิธีคิดและวิธีการอะไรบางอย่างที่ช่วยคุณได้ หรือแม้กระทั่งถ้าหากคุณยังรักที่จะทำงานประจำอยู่

มนุษย์ต้องการอิสรภาพ แค่ได้ยินคำว่า “อิสระ” ความฝันของแต่ละคนก็ผุดออกมา ทุ่งหญ้าสีเขียว ทะเลในวันแดดสวยและคนไม่พลุกพล่าน เวลาว่างสำหรับออกกำลังกาย ได้นอนตื่นสาย หรือการได้ทำงานในชุดนอน

เรื่องบางเรื่อง “งานประจำ” ทำไม่ได้ แต่กับ “งานไม่ประจำ”กลับทำได้ เทรนด์โลกเริ่มเทมาทางฟรีแลนซ์ ใครถนัดอะไรก็ทำในสิ่งที่รัก แล้วโชว์ออกมา ผลงานคือเนื้องานและคือค่าตอบแทน ไม่ได้มองกันที่เวลาเข้า-ออกงาน หรือเครื่องแต่งกายเวลาทำงาน

ผู้เชี่ยวชาญในงานเฉพาะด้านต่างออกมามีอิสระในการทำงานมากขึ้น แถมตามมาด้วยรายได้ที่มากขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกๆคนจะต้องทำงาน “ไม่ประจำ” หากเป็นพนักงานประจำ ก็ไม่ต้องรีบร้อนลาออกมาเพื่ออิสรภาพ แต่ลองมองหาอะไรบางอย่างในใจ แล้วดึงออกมาทำคู่กัน และเมื่อถึงจุดหนึ่งที่เรามั่นใจว่า “งานไม่ประจำ ทำเงินกว่า” เมื่อนั้นทุ่งหญ้าสีเขียวก็จะเข้ามาในชีวิต

:: ทำความรู้จัก วิสูตร แสงอรุณเลิศ (บอย) ผู็เขียน “งานไม่ประจำ ทำเงินกว่า”

คำถามที่ผมมักจะถูกถามประจำก็คือ “มาทำงานที่ทำอยู่ทุกวันนี้ได้อย่างไร?” และผมก็มักจะตอบว่า “คุณมีเวลาจะฟังใช่มั้ยครับ?” ที่ตอบแบบนั้นเพราะเส้นทางชีวิตของผมมันสนุกและเหลือเชื่อน่าดู

ผมเป็นเด็กต่างจังหวัด (พิษณุโลก) ผมเป็นเด็กเนิร์ด สอบได้ที่หนึ่งของโรงเรียน จบมาด้วยเกรดเฉลี่ย 3.95 ผมสอบคณิตศาสตร์ได้ที่ 2 ของประเทศ ผมเอนทรานซ์ติดคณะวิศวะ จุฬาฯ ทั้งๆ ที่ตอนมัธยมผมไม่รู้จักด้วยซ้ำว่าจุฬาฯ คือมหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ ของประเทศ แล้ววิศวะเขาเรียนอะไรกัน ผมก็ไม่รู้ รู้อย่างเดียวว่าชอบฟังเพลง ชอบเล่นกีตาร์ ชีวิตมหาวิิทยาลัยของผมก็เลยอยู่ในห้องซ้อมดนตรีมากกว่าห้องเรียน จับกีตาร์บ่อยกว่าปากกา อ่านวรรณกรรมมากกว่าตำราเรียน และมีเทปคาสเส็ตสูงเป็นตั้งแทบจะชนเพดาน

รู้ตัวอีกทีผมก็จะจบปริญญาตรีแล้ว ทำยังไงดี? ผมถามตัวเอง เพราะไม่อยากไปทำงานอยู่ในไซต์งานก่อสร้างเหมือนเพื่อนๆ ที่จบวิศวะมาด้วยกัน ผมตัดสินใจซื้อเวลาด้วยการเรียนต่อปริญญาโทที่สถาบันเดิม คณะเดิม ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่ชอบเลย ตอนนั้นผมอยากเป็นนักดนตรี นักแต่งเพลง หรือนักอะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับเพลง คิดว่าถ้าเรียนจบโทแล้วยังหาช่องทางไปสู่วงการดนตรีไม่ได้ ก็จะขอยอมแพ้แล้วไปทำงานวิศวะแต่โดยดี

แต่อกหักก็มีประโยชน์ของมัน เจ็บปวดจากอกหักในครั้งนั้นผมกลั่นมันออกมาเป็นเพลง ในห้องน้ำของห้อง 514 ชั้น 5 ราชเทวีอพาร์ทเมนท์ คือจุดกำเนิดความเป็นนักแต่งเพลงของผม ผมเดินเข้าไปในห้องน้ำพร้อมกีตาร์โปร่งและซาวนด์เบาท์ ปิดประตู ปิดฝาชักโครก นั่งบนโถส้วม กดปุ่มบันทึกเสียงซาวด์เบาท์ (พูดตอนนี้แล้วเชยมาก) แล้วก็เริ่มบรรเลงเพลงที่แต่งขึ้นมาเอง ผมส่งเพลงเหล่านี้ไปที่จีเอ็มเอ็มแกรมมี่ ทั้งที่ไม่รู้จักใคร มีเพียงชื่อที่คุ้นๆ ในปกเทปที่เห็นอยู่แทบทุกอัลบั้มว่า “นิติพงษ์ ห่อนาค”

หนึ่งเดือนผ่านไป (แต่เหมือนหนึ่งปี) โฟนลิงค์ดังขึ้น (อันนี้เชยกว่าซาวด์เบาท์อีก) มีข้อความเรียกให้ผมเข้าไปพบทีมนักแต่งเพลงย่านอโศก แปดเดือนหลังจากที่ผมต้องมาเรียนแต่งเพลงทุกสัปดาห์ ผมก็ได้ทำงานที่จีเอ็มเอ็มแกรมมี่ในฐานะนักแต่งเพลงประจำ งานสบาย เงินดีพอใช้ เข้างานแค่ 2 วันต่อสัปดาห์ นอกนั้นจะไปนั่งแต่งเพลงที่ไหนก็ได้ ถือว่าช่วงนั้นเป็นชีวิตที่ใช้ได้ทีเดียว เพราะได้ทำงานที่รักและได้เงินจากงานที่รัก

สิบปีผ่านไปไวเหมือนโกหก แต่วงการเพลงตกต่ำคือเรื่องจริง ไม่มีใครซื้อเพลงฟังอีกต่อไป แล้วนักแต่งเพลงจะเป็นอาชีพได้อย่างไร? แต่ถึงวงการเพลงจะตกต่ำ แต่เราก็ไม่ควรให้ชีวิตตกต่ำไปด้วย ผมคิดอย่างนั้น จึงออกหาโอกาสครั้งใหม่ แล้วชีวิตก็ลากผมขึ้นรถไฟเหาะตีลังกา ผมได้ไปทำงานเป็นครีเอทีฟคลื่นวิทยุให้กับคลื่นที่ดังมากๆ ในตอนนั้นอย่าง the radio 99.5 ของ พี่หมึก วิโรจน์ ควันธรรม (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น โรจ ควันธรรม) โดยที่พี่หมึกคงไม่รู้ว่าผมเป็นคนไม่ฟังวิทยุเลยไม่นานผมก็ได้ทำงานเขียนสคริปต์รายการโทรทัศน์ของ พอล ภัทรพล ทั้งๆ ที่ผมเป็นคนไม่ดูโทรทัศน์เลย ในเวลาต่อมา ผมก็ได้ทำงานเป็นบรรณาธิการของนิตยสารเซ็กซี่มีระดับอย่าง MiX Magazine ของคุณชโลทร ศิวารัตน์ ทั้งๆ ที่ผมไม่เคยทำงานนิตยสารมาก่่อนเลย

จากนั้นก็จับพลัดจับผลูได้ไปเป็นบรรณาธิการหนังสือพ็อกเก๊ตบุ๊กด้านการลงทุนให้กับสำนักพิมพ์ Stock2morrow ซึ่งเป็นสำนักพิมพ์ที่พิมพ์งานระดับ Bestseller ทุกเล่ม ทั้งๆ ที่ผมไม่ใช่นักลงทุนอะไรเลย ตอนนั้นไม่รู้เรื่องหุ้นเลยสักนิด (แต่ตอนนี้ก็พอจะรู้ขึ้นมาบ้าง)
แถมปัจจุบันผมยังได้ไปเป็นบรรณาธิการให้กับนิตยสารในตำนานอย่าง “บันเทิงคดี” (ซึ่งกลับมาผงาดบนแผงอีกครั้ง) โดยมีเงื่อนไขที่สุดจะมันส์ว่า เราเป็น Virtual Office ทุกคนต่างทำงานอยู่ที่บ้าน ส่งงานผ่านอีเมล ไม่ต้องมาทำงานจันทร์-ศุกร์ และจะมาเจอกันเมื่อมีเรื่องจำเป็นต้องเจอกันเท่านั้น

ปัจจุบันผมลาออกจากงานประจำทั้งหมดแล้ว ที่ทำงานใหม่ของผมคือ “ที่บ้าน” หัวหน้าคนใหม่ของผมคือ “ตัวผมเอง” และงานใหม่ของผมเรียกว่า “งานไม่ประจำ” ไม่ต้องตื่นเช้า ไม่ต้องฝ่ารถติด ไม่ต้องเปลืองค่าน้ำมัน ไม่ต้องตอกบัตร มีเวลาออกกำลังกาย มีเวลาไปรับลูกที่โรงเรียน ไปเดินห้าง ไปดูหนังตอนที่คนน้อยๆ จะตื่นหรือนอนตอนไหนก็แล้วแต่ออกแบบเอง ที่ดีกว่านั้น ปรากฏว่า “งานไม่ประจำ” ของผมนั้น “ทำเงินกว่า” ตอนที่ทำงานประจำเสียอีก

หนังสือ “งานไม่ประจำ ทำเงินกว่า” ที่ผมเขียนขึ้นมาไม่ได้จะเชิญชวนให้ใครลาออกจากงานประจำ แต่ถ้าใครอยากลาออก ผมมีวิธีคิดและวิธีการให้คุณ หรือถ้าใครยังอยากที่จะทำงานประจำอยู่ ผมก็มีข้อคิดที่จะทำให้คุณทำงานประจำได้ดีขึ้น เพราะผมอยู่มาแล้วทั้งโลกของงานประจำและงานไม่ประจำ :: Report by FLASH