Celeb Online

“ชวนแม่พ้นทุกข์” หนังสือบันทึกเรื่องราวอันอบอุ่นระหว่างพระลูกชาย กับโยมแม่


>>หนังสือ ชวนแม่พ้นทุกข์ โดย พอ.อานนท์ หรือ พระอาจารย์อานนท์ อัมโรภิกขุ เป็นบันทึกเรื่องราวอันอบอุ่น ระหว่างท่าน (พระลูกชาย) และโยมแม่ ผ่านบทสนทนาที่แฝงธรรมะในชีวิตประจำวัน ที่พระลูกชายและโยมมารดาชวนกันก้าวเดินบนทางสายอันประเสริฐ โดยมีไออุ่นแห่งธรรมโอบล้อมหัวใจทั้งคู่เข้าด้วยกัน ถ่ายทอดเป็นบันทึกที่งดงามและกินใจ ผ่านจิตที่ระลึกถึงบุญคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พ่อแม่ครูบาอาจารย์ และพระคุณของมารดา เชื่อมโยงกับรสพระธรรมที่ซึมซาบลงสู่หัวใจด้วยการปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ 8 บนทางสายกลาง จนเป็นตัวอักษรที่ตราตรึงผู้อ่านมิรู้ลืม

เรื่องย่อ

ใจดวงนี้มอบให้กับผู้หญิงที่ชื่อว่า “แม่”
ลมหายใจและชีวิตถวายแด่ “พุทธองค์”

“…ลูกคนใด พ่อแม่มีอายุ 100 ปี แม้นำพ่อแม่มาประดิษฐานไว้บนบ่าซ้ายและบ่าขวา ปรนนิบัติท่านทั้งสองให้มีความสุขเต็มเปี่ยมด้วยมนุษย์สมบัติ กระทั่งยอมให้ท่านอุจจาระ ปัสสาวะบนบ่าทั้งสอง อาบน้ำ บีบนวด จนวันหนึ่งท่านทั้งสองล่วงไปตามอายุสังขารอย่างสงบ แต่การปรนนิบัติพ่อแม่ตลอด 100 ปีถึงเพียงนั้น ก็นับว่าเป็นการแสดงความกตัญญูอย่างโลกๆ ยังมิอาจเรียกได้ว่า ทดแทนบุญคุณได้

ส่วนลูกคนใดก็ตาม นอกจากปรนนิบัติพ่อแม่ตามที่กล่าวมาข้างต้นปกติแล้ว ยังบำเพ็ญตนเป็นมรรคนายก (ผู้นำทาง) นำพ่อแม่ดำเนินเข้าสู่เส้นทางธรรม ด้วยการนำท่านได้สมาทานประพฤติปฏิบัติอยู่ในทาน ศีล สมาธิ ปัญญา จนพ่อแม่มีศรัทธา มีศีล มีจิต ปราศจากความตระหนี่ และมีปัญญารู้ทั่วถึงธรรม ลูกคนใดทำได้อย่างนี้ นี่คือที่สุดแห่งความกตัญญู จึงได้ชื่อว่า ทดแทนบุญคุณอย่างแท้จริง (พุทธวจน)

คำนำผู้เขียน

การตอบแทนคุณ เกิดจากการ “รู้คุณ”

การรู้คุณ เมื่อก่อนฟังจากโรงเรียนสอนๆ มาก็คิดว่าเข้าใจดีแล้ว แต่วันหนึ่งเมื่ออยู่กับตัวเอง กลางป่าเขา แล้วใจระลึก รู้ ตระหนัก รู้ถึงคุณค่าของแม่ ที่ท่านเคยมีให้ตลอดมา น้ำตามันไหล ที่ว่ารู้คุณนั้น แท้จริงแล้ว เพียงแต่รู้อย่างกะโหลกกะลา (คำที่แม่ชอบดุ ตอนเด็กๆ)

กว่าจะรู้ด้วยใจได้ ก็รู้สึกว่า เสียเวลาไปมากทีเดียว ทุกคน มีฐานะ มีโอกาส มีจังหวะชีวิต แตกต่างกัน หากแต่ใครถึงพร้อมในการตอบแทนคุณในทางใดทางหนึ่งก็พึงทำ ตามฐานะ ตามโอกาสอันควรนั้นเถิด จะได้ไม่รู้สึกเสียใจในภายหลังกับเวลาที่เสียไป

ข้าพเจ้าเชื่อเหลือเกินว่า ผู้ไม่รู้คุณของสิ่งที่มีค่านั้น ในที่สุดธรรมชาติจะไม่มอบสิ่งมีค่าใดๆ ให้แก่เขาเลย เขาย่อมได้รับแต่สิ่งไร้ค่า ตรงกันข้ามหากผู้ใดรู้คุณค่าของสิ่งที่มีค่า เขาย่อมได้มาซึ่งสิ่งมีค่าทั้งปวง เหมือนคนรู้ค่าในของที่เราให้ยืม ดูแลรักษาอย่างดี เราก็เต็มใจจะให้ยืมอีก แม้จะยืมอีกหลายๆ ครั้งก็ยังยินดี

ตอนเป็นเด็กเล็กๆ ข้าพเจ้าช่างซัก จนผู้ใหญ่และโยมแม่เวียนหัว จำได้ว่า ครั้งหนึ่งเคยซักท่านว่า

“แม่ๆ…แม่ของแม่เรียกว่าอะไรครับ”
“ก็ยายน่ะสิ”
“แล้วแม่ของยายล่ะครับ”
“ก็ทวดน่ะสิ”
“แล้วแม่ของทวดล่ะครับ”
“ก็ยายทวดน่ะสิ”
“แล้วแม่ของยายทวดล่ะครับ”
“โอ๊ย…เด็กคนนี้ จะอยากรู้อะไร ถามอะไรนักหนา”
(เอ…แล้วตระกูลเราใครเกิดมาเป็นคนแรก มันสิ้นสุดตรงไหนนะ)
“แม่ๆ…แล้วลูกของลูกเรียกอะไรครับ”
“ก็หลานน่ะสิ”
“แล้วลูกของหลานล่ะครับ”
“ก็เหลนน่ะสิ”
“แล้วลูกของเหลนล่ะครับ”
“ก็โหลนน่ะสิ”
“แล้วลูกของโหลนล่ะครับ”
“เอาอีกละ ไอ้ลูกช่างซัก”
(เอ…แล้วลูกหลานตระกูลเรา มันจะไปสิ้นสุดที่ไหนนะ)

ดูเหมือนโยมแม่และข้าพเจ้า บังเอิญร่วมกันศึกษาธรรมะตั้งแต่ข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ร่วมค้นคว้า ว่าคนที่เกิดมาก่อน ไม่รู้เริ่มต้นตรงไหน คนที่จะมาเกิด ก็ไม่รู้จะสิ้นสุดตรงไหน แล้ววันนี้ข้าพเจ้าก็โชคดีได้ร่วมศึกษา ปฏิบัติธรรมร่วมกับโยมแม่อีกครั้ง

พอ.อานนท์
(พระอัมมโร อานนท์)