Celeb Online

มุราคามิ ทากาชิ 0 องศา เขาผู้แปลงกาย Louis Vuitton




สาวก Marc Jacobs และ Louis Vuitton ชาวไทยที่มีกระเป๋าใบที่ได้รับการดีไซน์โดย มุราคามิ ทากาชิ(MURAKAMI Takashi) อยู่ในคอลเลกชั่น ถ้าคุณอยากเห็นผลงานของเขามากกว่าชิ้นที่ทำให้คุณหลงรักกระเป๋าใบโปรดคุณมากขึ้น ต้องอย่าพลาดไปไปชมนิทรรศการ ผ่านโตเกียว 0 องศา – Trans-Cool TOKYO ณ ห้องนิทรรศการชั้น 9 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ระหว่างวันนี้ – 28 มีนาคม พ.ศ.2553

เพราะในจำนวนผลงานของศิลปินชาวญี่ปุ่น 18 คน ที่ ยูโกะ ฮาเซกาว่า (Yuko Hasegawa) หัวหน้าฝ่ายภัณฑารักษ์ พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยโตเกียว คัดสรรมาจัดแสดง มีผลงานเทคนิคภาพพิมพ์ด้วยตระแกรงไหม ,ภาพพิมพ์หินและภาพพิมพ์ด้วยหมึกของมุราคามิ มากถึง 10 ชิ้น

มุราคามิถือเป็นศิลปินชาวญี่ปุ่นมีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดในวงการศิลปะระดับนานาชาติ แม้ในวงการนักออกแบบแฟชั่นของญี่ปุ่น เขาจะยืนอยู่แถวหน้าเช่นนักออกแบบรายอื่นๆอย่าง Kenzo Takada, Yohji Yamamoto, Jun Takahashi รวมถึง 3 ศรีพี่น้องแห่งตระกูล koshino แต่เขาก็แตกต่างจากคนเหล่านั้นตรงที่ไม่ได้สำเร็จการศึกษาด้าน fashion designer

มุราคามิ เกิดที่กรุงโตเกียว เมื่อปี ค.ศ.1962 สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี,โท และ เอก จาก Tokyo National University of Fine Arts and Music สถานที่ที่บ่มเพาะให้เขามีทักษะและความชำนาญในการผลิตงานศิลปะตามแบบฉบับ classical and traditional painting ของญี่ปุ่น ขณะที่วัยเด็กเขาได้รับอิทธิพลจากการ์ตูน anime ตลอดช่วงทศวรรษที่ 1970 และ 1980 โดยเฉพาะจาก รถด่วนอวกาศ 999 หรือ Ginga Tetsudo 999 (Galaxy Express 999) ซีรีย์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในญี่ปุ่น

ผลงานที่สร้างชื่อให้กับเขาในยุคแรกๆ ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง และส่งผลให้มุราคามิถูกเรียกขานว่าเป็น Otaku King (Otaku : กลุ่มคนที่นิยมและคลั่งไคล้งาน animation หรือ anime แบบญี่ปุ่นที่มีบุคลิกมาจากการ์ตูน Manga)

คือผลงานประติมากรรมสร้างจาก fiber glass ในแบบ Anime-style ชื่อ HIROPON และ My Lonesome Cowboy เพราะสะท้อนสรีระและสัญลักษณ์ทางเพศอย่างชัดเจน

HIROPON เป็นผลงานประติมากรรมรูปปั้นหญิงสาว ในชุดรัดรูปที่มีขนาดเล็กเกินกว่าจะปกปิดเรือนกายและของสงวน มีทรวงอกขนาดมหึมาเกินที่มนุษย์ธรรมดาจะพึงมีได้ ทั้งยังมีน้ำนมไหลเป็นสาย ก่อนที่จะขัดเป็นเกลียวให้หญิงสาว HIROPON ใช้เป็นเชือกกระโดด

My Lonesome Cowboy เป็นผลงานประติมากรรมรูปปั้นชายหนุ่มในรูปร่างกำยำ ขณะกำลังใช้มือยึดกุมองคชาติที่แข็งเกร็งและกำลังหลั่งน้ำอสุจิเป็นทางยาว โดยมีมืออีกข้างหนึ่งถือสายน้ำอสุจิที่กำลังพวยพุ่งขึ้นแกว่งไกวไว้เหนือศีรษะประหนึ่งเป็นบ่วงบาศก์

และต่อมาในปี ค.ศ. 1996 นิทรรศการ “Konnichiwa, Mr. DOB” ได้ท้าทายความเป็นไปของสังคมญี่ปุ่นอีกครั้ง เมื่อมุราคามินิยามความหมายของ DOB ที่สื่อออกมาในรูปแบบของตัวการ์ตูนว่า

DOB is a self-portrait of the Japanese people… cute but has no meaning and understands nothing of life, sex, or reality. และ DOB is always confused, and in a daze, like he was drunk or stoned.

ก่อนที่ DOB จะถูกนำเสนอผ่านงานศิลปะในรูปแบบอื่นๆและกลายสภาพเป็นสินค้านานาชนิด



ชื่อเสียงของ มุราคามิ มิได้จำกัดอยู่เฉพาะในบริบทของสังคมญี่ปุ่นเท่านั้น หากแต่สถาบันศิลปะทั้งในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ก็ต่างยอมรับว่าเขาเป็นศิลปินระดับแนวหน้าที่กำหนดทิศทางใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นในแวดวงศิลปวัฒนธรรมของญี่ปุ่น

โดยที่ผ่านมาเขาเคยได้รับเกียรติให้เป็นผู้ออกแบบและสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับสินค้าแบรนด์ดังหลายยี่ห้อ โดยเฉพาะภาพลักษณ์ของ Louis Vuitton ใน collection ประจำฤดูใบไม้ผลิ และฤดูร้อนปี 2003 ที่ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกงุนงงระคนสงสัยในความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

เพราะอักษรย่อ (monogram) LV สีน้ำตาล -ทอง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ Louis Vuitton มาเนิ่นนานได้รับการปรุงแต่งให้มีสีสันมากกว่า 33 เฉดสีทั้งบนพื้นผิวสีดำและสีขาว

ขณะเดียวกันลวดลายของดอกซากุระ (Sakura : Cherry Blossom) และ characters ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น LV Hands, Flower Hat Man, Onion Head และ Panda ที่มุราคามิเป็นผู้ออกแบบ ได้พลิกโฉมหน้าใหม่ให้เกิดขึ้นไม่เฉพาะกับ Louis Vuitton เท่านั้น แต่รวมถึงแวดวงแฟชั่นโดยรวมด้วย

มุราคามิเคยได้รับเชิญไปเป็นผู้สอนและบรรยาย New Genre Course ที่ UCLA ,เคยจัดแสดงเดี่ยวผลงานและร่วมแสดงกลุ่มหลายครั้งนับไม่ถ้วน ทั้งในโตเกียว,ลอสแองเจลิส,บอสตัน,นิวยอร์ก,ปารีส ฯลฯ ตลอดจนทำหน้าที่ภัณฑารักษ์แนะนำผลงานศิลปะของศิลปินรายอื่นๆที่น่าสนใจสู่สายตาชาวโลก

ส่วนผลงานของเขาที่ถูกนำมาจัดแสดงที่เมืองไทยในครั้งนี้ เป็นผลงานที่สร้างสรรค์ขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1999 เรื่อยมาจนถึงปี ค.ศ.2009 แม้จะใช่การแสดงเดี่ยวครั้งใหญ่ ของศิลปินที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นแอนดี้ วอร์ฮอล แห่งเอเชีย แต่เป็นการแสดงร่วมกับเพื่อนศิลปินจากชาติเดียวกัน เพื่อให้ผู้ชมชาวไทยได้ลิ้มรสศิลปะแบบญี่ปุ่น ณ จุดเยือกแข็ง O องศา

จุดที่เหล่าศิลปินบริโภควัฒนธรรมป็อบคัลเจอร์เข้าไปแล้วย่อยมันออกมาเป็นผลงานศิลปะที่ทั้งสวย เท่ และ cool และสะท้อนความจริงที่เกิดขึ้นกับสังคมญี่ปุ่น









หมายเหตุ : ภาพที่ 1-10 ผลงานของ มุราคามิ ทากาชิ ในนิทรรศการ ผ่านโตเกียว 0 องศา – Trans-Cool TOKYO