Celeb Online

ลูกสาวเล่า "ประเทือง เอมเจริญ" เคยกล่าว "พ่อเหมือนแค่หมาตัวนึง"


ART EYE VIEW—เป็นลูกสาวคนสุดท้อง ที่เกิดมาลืมตาดูโลกในปีที่พ่อเริ่มมีชื่อเสียงแล้ว จึงไม่ทันได้สัมผัสกับช่วงเวลา ที่ชีวิตศิลปินของพ่อกำลังลำบากสุดๆ

แต่กระนั้นเธอก็เป็นลูกเพียงคนเดียวในจำนวนลูกทั้งหมด 12 คน ของ ประเทือง เอมเจริญ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ ปี 2548 ที่ถูกมอบหมายให้รับผิดชอบภารกิจอันใหญ่หลวง

นั่นคือ หอศิลป์เอมเจริญ อาณาจักรแห่งความฝันของพ่อ บนเนื้อที่กว่า 8 ไร่ ที่ อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี

เพราะในจำนวนพี่น้องทั้งหมด เธอเป็นคนเดียวที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุด ด้วยเรียนจบมาทางด้านศิลปะ

5 ปีที่ผ่านมา หลังจากที่เรียนจบปริญญาโทด้านจิตรกรรรมสากล จากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร

น้ำ – ศรีศิลป์ เอมเจริญ จึงต้องทิ้งเป้าหมายที่จะเป็น อาจารย์สอนศิลปะในรั้วมหาวิทยาลัย เพื่อไปเป็นผู้จัดการหอศิลป์ฯ ที่ต้องทำทุกอย่าง นับตั้งแต่ จับพร้าดายหญ้า ทำความสะอาดอาคาร ไปจนถึงจัดนิทรรศการ และขับรถพาพ่อ ออกไปเขียนภาพนอกสถานที่

มิหนำซ้ำ นอกจะเป็นภารกิจใหม่ที่เธอต้องเริ่มนับหนึ่งเพื่อเรียนรู้ ยังเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่พ่อเริ่มล้มป่วยลง เพราะโรคมะเร็งลำไส้

เธอจึงได้สัมผัสทั้งสภาพของพ่อที่ท้อแท้หมดกำลังใจ และขณะฟื้นกำลังใจขึ้นมาได้ใหม่ ครั้งแล้ว ครั้งเล่า


>>> “พ่อเหมือนแค่หมาตัวนึง”

ตัวอย่างเช่น ช่วงเวลาที่ผ่านการแสดงนิทรรศการชุด “ลมหายใจสร้างสรรค์” ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย อันเป็นผลงานที่สร้างขึ้นระหว่างที่ป่วย ไปแล้ว 1 ครั้ง ก่อนที่จะมีนิทรรศการ “บทเพลงแห่งลมหายใจ” ณ หอศิลป์จามจุรี ติดตามมา

“พ่อเคยแสดงออกถึงความท้อแท้ ในช่วงที่ป่วย จะครบ 1 ปี และพูดกับแม่ (บุญยิ่ง เอมเจริญ) ว่า แม่หนู พ่อเหมือนกับคนที่มันไร้ค่าแล้ว ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้เลย พ่อเหมือนแค่หมาตัวนึง

พอแม่ได้ยินเค้าเสียใจมาก แล้วบอกพ่อว่า พ่ออย่าพูดอย่างนั้น อย่าคิดอย่างนั้น เพราะว่าลมหายใจของพ่อคือสิ่งที่ทำให้เราอยู่ตรงนี้ได้ ถึงพ่อจะนอนแบบนี้ ไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ แต่แม่และทุกคนก็ดูแลพ่อได้ แล้วพ่อก็ยังมีค่าต่อลูกๆทุกคน เพราะลมหายใจของพ่อสำคัญกับทุกๆคน

ถึงแม้ว่าตลอดชีวิตที่ยังเหลืออยู่ พ่อจะทำงานศิลปะไม่ได้อีกเลย เพราะพ่อทำมาตลอดชีวิตแล้ว ประมาณ 50 ปีที่พ่อมาอยู่ตรงนี้ ทำงานศิลปะ เลี้ยงดูครอบครัว มีบทบาทแม้กระทั่งว่า เป็นแรงบันดาลใจให้กับคนในสังคมอีกเยอะแยะมากมาย นั่นคือสิ่งมีค่าที่พ่อทุ่มเทมาตลอดแล้ว เพราะฉะนั้นหลัง จากนี้ไป แม้ว่าพ่อจะไม่สามารถเขียนภาพได้อีก ไม่ได้หมายความว่าคุณค่าของพ่อจะลดลง”

เวลาผ่านไป ความท้อแท้ที่เคยมีของประเทืองก็เปลี่ยนไปมีกำลังใจเพิ่มขึ้น หลังจากที่มีเพื่อนศิลปินหาซีดีเพลงลูกทุ่งมาเปิดให้ฟัง แม้จะไม่ใช่แนวคลาสสิคที่เคยฟังอยู่แต่เดิม รวมถึงการได้ออกไปเขียนภาพนอกสถานที่ ได้มองวิวทิวทัศน์ที่ไกลสุดลูกหูลูกตา แบบที่เคยชอบมอง แม้จะทำให้ทุกคนรอบข้างได้รับรู้ความจริงอย่างหนึ่งในเวลาต่อมาว่า

“ครั้งล่าสุดพาไปที่ ที่บึงบอระเพ็ด จ.นครสวรรค์ ฝั่งที่เป็นอุทยานนกน้ำ สามารถลงเรือไปดูบัว เราเหมาเรือเพื่อที่ให้เค้าได้ไปนั่งเขียนภาพกลางน้ำแบบไม่ต้องกังวล

แต่พ่อเขียนออกมา ดูแล้วงงไปหมดเลย ทั้งๆที่เวลานั้น บัวบานสะพรั่งเต็มน้ำ เขียนดูไม่เป็นระยะ สีในภาพตีกันไปหมดเลย พ่อบอกว่าเค้ามองไม่เห็นสี แต่ไม่ได้หมายความว่าตาบอดสี แต่เค้าไม่เห็นสีในสมอง ไม่เห็นสีในหัวเค้า ไม่สามารถที่จะถ่ายทอดออกมาได้ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม แต่ไม่ถึงขั้นทำให้เค้าต้องกังวล หรือกลุ้มใจ ไม่ทุกข์ไม่ร้อน

พวกเราก็โอเค ไม่เป็นไร ถ้าพ่อยังร้องเพลงได้ ต่อมาเราก็เลยจัดนิทรรศการ ครั้งที่ 2 ให้ ตั้งชื่อนิทรรศการ บทเพลงแห่งลมหายใจ ตามช่วงเวลาที่พวกเรารู้สึกว่าพ่อเค้ามีความสุขกับการร้องเพลง”




>>>งดให้สัมภาษณ์สื่อ

เวลาผ่านไป 5 ปี นับจากที่เริ่มป่วย ศรีศิลป์ บอกเล่าถึงสุขภาพในปัจจุบันของพ่อ ให้เรารับฟังว่า

“ถ้าดูเวลานั่งจะรู้สึกว่า แข็งแรง 1,000 เปอร์เซ็นต์ หน้าตาสดใสเบิกบาน เพราะว่าอาจจะเป็นผลจากยา ที่ทำให้หน้าแดงนิดหน่อย ไม่เป็นอันตราย แต่พอลุกปุ๊ป อาจจะมีเดินเซ เพราะว่าขาไม่แข็งแรง บวกกับน้ำหนักตัวค่อนข้างเยอะ เวลาเดินไกลๆจะไม่ไหว

ถ้าต้องออกจากบ้านไปตรงที่จอดรถ ซึ่งค่อนข้างไกล ประมาณ 400 เมตร เพราะบ้านอยู่ในสวน ต้องใช้รถเข็น ดังนั้นเวลาไปหาหมอ จะค่อนข้างลำบาก แม้จะใช้รถเข็น เนื่องจากมันมีจุดนึงที่เราต้องพยุงพ่อเดินเพื่อไปขึ้นรถ เพราะว่าทางไม่เชื่อมถึงตัวรถเลยทีเดียว”

จึงเป็นเหตุให้เธอและแม่ต้องบอกปฏิเสธการไปร่วมงานหลายๆงานที่มีจดหมายเรียนเชิญมายังพ่อ

“ศิลปินหลายๆท่าน เราเข้าใจว่าทุกๆท่าน รักพ่อ อยากให้พ่อไปร่วมงาน แต่ว่ามันติดปัจจัยตรงนี้ แล้วเวลาไปงานแสดงศิลปะ ซึ่งส่วนใหญ่จะเปิดแสดงตอนเย็น จนถึงค่ำมืด ขากลับจะยิ่งลำบากมาก

มีอยู่ครั้งหนึ่ง เราก็พาพ่อออก เพราะเห็นว่าเขาแข็งแรงขึ้นนิดนึง ขากลับเกือบตกคลอง เพราะว่ารถเข็น เข็นไปได้ระยะนึง ล้อมันหลุด แล้วน้ำใส่ไม่เป็น ล้อมันหลุดทั้งสองฝั่งเลย แล้วพ่อก็ตัวหนักมาก(หัวเราะ)แค่เข็นธรรมดา เราก็จะแย่แล้ว มันทุลักทุเลมาก แล้วน้ำจะมีปัญหาเรื่องข้อมือ ที่เจ็บอยู่ตลอด แต่เราต้องพยุงเค้า เวลาพ่อเดินเซ บางครั้งพอไม่ถนัด น้ำก็จับแม่ เพื่อช่วยกันพยุง แต่สุขภาพแม่ เวลานี้ก็เดิน 3 ขา เหมือนกัน ต้องถือไม้เท้า ขณะที่ความกว้างของทางปูนเลียบคลองเข้าบ้านก็กว้างแค่ 2 เมตร

เดินไปเดินมา ตอนแรกๆก็ตรงดี พอ 3-4 ก้าวก็เริ่มเป๋ จะตกคลองหลายทีมาก ถ้าเผื่อว่าพ่อไม่ตก แม่ก็ตกก่อน เพราะว่าเค้าจะเบียดไปเรื่อยๆ วันนึงน่าสงสารมาก ฝนก็ตกพรำๆ พื้นก็ลื่น เราก็กลัวว่าเค้าจะล้ม แล้วรู้สึกว่าแค่ 400 เมตร ทำไมมันไกลจังเลย ไม่ถึงซักที ตอนหลังเวลาที่มีงานเชิญมา จึงปฏิเสธ

แต่สำหรับพ่อแล้ว สมมุติเค้ารู้ว่าศิลปินคนนี้จะแสดงงานนะ จะโอ้.. ไม่ได้ๆ เดี๋ยวพ่อต้องไปให้ เรื่องแสดงงานศิลปะ มันต้องไปเป็นกำลังใจให้กัน เดี๋ยวพ่อไปให้ แม่หนูเตรียมตัวออก

จนแม่ต้องบอก พ่อ…นี่พ่อลืมหรือเปล่า ว่าเราไม่ได้อายุเท่าเดิมแล้ว พ่อจะออกที มันไม่ใช่ง่ายๆนะ มันลำบาก มันอะไร นอกจากว่างานไหนที่ไม่สามารถขัดได้จริงๆ นั่นแหล่ะถึงจะออก”

ครั้งหนึ่ง ART EYE VIEW เคยเปิดโอกาสให้ผู้อ่าน ส่งความคิดเห็นมาร่วมสนุกว่า ต้องการให้เราไปสัมภาษณ์ชีวิต ณ ปัจจุบัน ของศิลปินท่านใดมานำเสนอมากที่สุด

ปรากฏว่าชื่อของศิลปิน ประเทือง เอมเจริญ มาแรงแซงโค้ง ศิลปินท่านอื่นๆ แต่เมื่อเราติดต่อไปยังทายาท จึงได้ทราบว่าเจ้าตัวไม่อยู่ในสภาพที่พร้อมจะให้สื่อสัมภาษณ์ได้ แม้แต่เวลาชมละครโทรทัศน์ ก็ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าใครเป็นใคร ทราบแต่เพียงว่า ใครสวยใครหล่อ

“เพราะข้อมูลที่พ่อจะให้สัมภาษณ์ออกไป ไม่ว่าใครจะสัมภาษณ์กี่รอบ ๆ มักจะเป็นข้อมูลเดียวกันกับตอนที่พ่อเคยพูดตอนอายุ 50 ปี ที่เค้าจะบอกว่า การทำงานศิลปะมันจะต้องฉับไว ต้องเฉียบคม มันจะมีหน้าใหม่เข้ามาเสมอ ดังนั้นเราคนทำงานศิลปะจะทำซ้ำๆเหมือนเดิมไม่ได้ เพื่อที่คนจะได้ไม่เบื่อ อะไรอย่างนี้

แต่ว่างานปัจจุบันของพ่อมันไม่ใช่อย่างนั้น เพราะพ่อกว่าจะทำงานได้ชิ้นนึงต้องใช้เวลา ชิ้นอาจจะเขียนครั้งนึง 2 ชั่วโมง แล้วพักนอนหลับไป ค่อยมาเขียนต่ออีกวันนึง อะไรอย่างนี้ ไม่ใช่ระบายแบบฉับพลันทันทีแล้ว แต่ค่อยๆระบายไปเรื่อยๆ บางที เช็ดออกมั่ง เพิ่มตรงนั้นแต่งตรงนี้ อะไรอย่างนี้ วิธีการมันเปลี่ยน แต่ถ้าให้สัมภาษณ์ เค้าก็ยังจะให้สัมภาษณ์เหมือนเดิม ถ้าเราฟัง มันฟังดูดี แต่มันไม่ใช่ ณ ปัจจุบันของพ่อ

เราก็ไม่อยากให้คนดูงานไขว้เขว เอ้า… ไหนบอกว่าทำฉับพลัน มันฉับพลันท่าไหน เพราะฝีแปรงมันแสดงออก เมื่อก่อน พ่อสามารถเขียนวงกลมโดยการปาดแปรงแค่ครั้งเดียว แล้วกลมดิ๊ก แต่วันนี้พ่อไม่สามารถทำแบบนั้นได้แล้ว ที่พ่อยังสามารถพูดแบบนั้นได้ เพราะว่าความทรงจำบางส่วนของเขายังจำแบบนั้นอยู่ ดังนั้น ถ้าให้สัมภาษณ์ มันจะก็กลายเป็นว่าพ่อพูดไม่จริง”

>>>แวะเมืองกาญฯ ชมนิทรรศการศิลปะครั้งสุดท้าย

ทว่าเร็วๆนี้ ประเทืองกำลังจะมีนิทรรศการแสดงเดี่ยวศิลปะชุด สื่อศิลปะจากใจของประเทือง เอมเจริญ ซึ่งทายาทกล่าวว่า นี่อาจจะเป็นนิทรรศการครั้งสุดท้ายของพ่อ

“เพราะน้ำไม่แน่ใจว่าพ่อจะสามารถเขียนงานสีน้ำมัน หรือว่าทำงานที่เป็นลักษณะสร้างสรรค์ ได้อีกหรือเปล่า งานที่เลือกมาแสดงครั้งนี้ เป็นงานที่พ่อเขียนขึ้น ช่วงปี 53 -55 ยังมีความแตกต่างกันอยู่ ยังดูรู้ว่า เค้ายังมีเรื่องของการสร้างสรรค์อยู่ วันข้างหน้า น้ำไม่แน่ใจว่า แต่ ณ วันนี้ ตอนนี้ ไม่สามารถ

ตอนแรกเราตั้งชื่อกันไว้แล้ว แต่พอลองให้พ่อตั้งดู เค้าก็บอกออกมาทันทีว่า สื่อศิลปะจากใจของประเทือง เอมเจริญ เราจึงเลือกใช้ ชื่อนี้ เพราะตรงกับตัวเค้าที่สุด คือสิ่งที่เค้าต้องการถ่ายทอดออกมาจากใจเค้าจริงๆ ณ เวลานี้ แม้ไม่ได้มาจากการครีเอททุกอย่าง แต่มันมาจากหัวใจที่รักในการทำงานศิลปะของเค้า

เป็นงานที่ไม่เชิงว่าไม่สวยนะ เพราะเมื่อดูแล้วก็จะเป็นงานแอบแสตรคเหมือนกัน แล้วเรื่องสี ถึงแม้ว่าจะต่างจากที่เคยทำมา แต่ว่ามันก็ยังมีความเป็นประเทืองอยู่ในนั้น เหมือนกับเสือที่ไม่ว่ายังไง มันก็ไม่ทิ้งลายของมัน ถึงแม้ว่ามันอาจจะเขี้ยวกุดไปบ้าง หรือเล็บอาจจะทู่ไปบ้าง แต่เสือก็คือเสืออยู่อย่างนั้นเอง

ถ้ามองเปรียบเทียบ งานมันสู้อดีตไม่ได้อยู่แล้ว แต่การจัดนิทรรศการครั้งนี้ เราต้องการสื่อสารกับผู้ชมว่า ทุกวันที่เค้าทำงานศิลปะ นั่นคือลมหายใจที่เค้ายังอยู่ นั่นคือสิ่งที่ทำให้เค้ายังมีความหวังสำหรับวันต่อไป เค้ายังมีความสุขที่จะต้องตื่นมาในวันพรุ่งนี้ ตรงนี้มันทำให้น้ำยิ่งรู้สึกว่า งานทุกชิ้นของพ่อมีค่า

ถ้าเรื่องขายมันอาจจะขายไม่ได้เลย เพราะว่าคนก็คงอยากจะได้งานที่เป็นซีรีย์เก่าๆ งานที่ใช้เวลา มีรายละเอียด ช่วงที่บูมของเค้า แต่น้ำเห็นว่าตรงนี้ มันคือตัวอย่างของคนๆนึง ที่ไม่ว่าจะถึงวันไหน เค้าก็ต้องเป็นศิลปิน เค้าต้องวาดรูป เพราะนั่นมันคือตัวของเค้า คือชีวิตของเค้าที่ทำให้เค้าสามารถที่จะมีลมหายใจต่อไปในทุกๆวันได้

น้ำเห็นว่า ไม่ว่าคนจะในสาขาอาชีพอะไรก็ตาม ต้องมีสิ่งหนึ่งที่ยึดเหนี่ยวตัวเค้าไว้ และเป็นสิ่งที่ทำให้มีพลังที่จะต่อสู้กับทุกๆสิ่งที่มันเข้ามาในแต่ละวัน

และในยุคนี้ของเราเอง มันมีหลายอย่างที่ทำให้หลายๆคน เกิดความท้อแท้ บางคนเคยทำงาน ถูกไล่ออก บางคนเคยมีเงินเยอะแยะ แต่วันนี้เค้าไม่มี เพราะทุกอย่างมันถูกกระทบไปหมดเลย บางคนหมดสิ้นกำลังใจ

ตรงนี้มันสามารถที่จะเติมกำลังใจให้สำหรับคนที่หมดกำลังใจได้ เพราะว่าชีวิตของพ่อไม่ได้ผ่านมาด้วยกลีบกุหลาบ แต่มันผ่านมาด้วยหนามของกุหลาบ และมันดำเนินมาจนเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้เค้าจะมีอายุครบ 77 ปีเต็มแล้ว”





>>> 4 ชิ้น ไม่ขาย ของ ประเทือง เอมเจริญ “ใครเอาไปขายกินพ่อจะแช่ง”

ในอนาคต ถ้าคุณพ่อไม่อยู่แล้ว ลูกๆมีแนวทางที่จะจัดการกับผลงานศิลปะของคุณพ่อและดูแลหอศิลป์ต่อไปอย่างไร ?

ไม่ง่ายที่จะถามคำถามนี้ออกไป แต่เราเชื่อว่าแฟนผลงานของ ประเทือง เอมเจริญ อยากจะรู้

“ก่อนหน้านี้ เราพยายามจะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาหลายๆฝ่าย เพื่อให้เกิดความเป็นกลาง เพื่อให้ทุกคนมั่นใจว่า น้ำไม่ได้เอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง หรือว่าอะไรหลายๆอย่าง

ลูกพ่อมีทั้งหมด 12 คน ต่างคน ก็ต่างจิต ต่างใจ แล้วงานของพ่อก็มีราคาสูง ไม่ว่าจะยังไง มันก็คือเงิน ถ้ามันสามารถเปลี่ยนสภาพเป็นเงินได้ แต่ว่าพวกเราโชคดีตรงที่ว่า ลูกๆทุกคนรักพ่อ เพราะฉะนั้นเราสามารถคุยกันได้ว่า งานศิลปะ สมมุติว่ามีทั้งหมด 100 ชิ้น เราจะแบ่งส่วนไว้ส่วนหนึ่ง 20 ชิ้นหรืออะไรก็ตาม สำหรับเปลี่ยนไปเป็นเงินเพื่อนำมาใช้จ่ายดูแลหอศิลป์

แล้วพ่อก็จะมีงานอีกส่วนหนึ่งที่พ่อมีไว้ให้เป็นมรดกของลูกๆ คนละ 1 ชิ้น เพื่อเป็นตัวแทนพ่อ ส่วนใครอยากขายกินไม่มีปัญหา แต่นี่คือตัวแทนของพ่อที่พ่อสร้างมาให้ลูก

แล้วงานอีกส่วนหนึ่งก็คือส่วนที่เราต้องติดตั้งไว้ที่หอศิลป์ไปตลอด ห้ามขาย พ่อบอกด้วยว่าห้ามขาย ใครเอาไปขายกินพ่อจะแช่ง ให้มันชิบหายไปเลย

ตัวอย่างเช่น ภาพเขียนชิ้นที่ชื่อว่า ‘ธรรม’ ที่นับว่าเป็นเงาของพ่อเลย เขียนขึ้นเมื่อปี 2513 ซึ่งสมัยนั้นคุณพ่อมี คุณเสถียร เสถียรสุต เข้ามามีบทบาทในเรื่องของการอุปถัมภ์ ในอดีตคุณเสถียรเป็นผู้ที่มีงานของพ่อสะสมไว้เยอะที่สุด และท่านก็ได้งานในชุดนี้ของพ่อไปชิ้นนึง

เป็นงานที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทุกอย่างดูแล้วลงตัว และดูแล้ว รู้ว่าเป็น ประเทือง เอมเจริญ ด้วย คุณเสถียรชอบภาพนี้มาก แต่ว่าในที่สุดท่านได้อีกภาพนึงในชุดเดียวกันไป

พ่อบอกว่า คุณเสถียร ผมขอเถอะนะ ภาพนี้มันคือเงาของผม ผมใส่วิญญาณทุกอย่างไว้ในภาพชิ้นนี้ ถ้าคุณเสถียรเอางานชิ้นนี้ของผมไป ผมก็อยู่ไม่ได้นะ

ซึ่งคุณเสถียรก็โอเคเข้าใจ แต่สำหรับงานชิ้นนั้นที่คุณเสถียรได้ไป แม่เคยเล่าให้ฟังว่า หลังจากนั้นคุณเสถียรตั้งเงินเดือนขึ้นมาให้พ่อนาน 2- 3 ปี เพราะเห็นถึงคุณค่าของงานศิลปะชุดนี้ที่พ่อทำ

และยังมีอีก 3 ชิ้นคือ ชิ้นที่เกี่ยวกับการเมือง ชื่อว่า ‘ธรรม อธรรม’ บันทึกเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลา 2519

และภาพ 'สมาธิ' กับภาพของ 'พระพุทธเจ้าขณะบำเพ็ญทุกรกิริยา'  ที่เคยเป็นภาพท็อปฮิตมากเลยสมัยก่อน เพราะมักจะมีองค์กรที่ทำงานเกี่ยวกับงานทางด้านศาสนาขอลิขสิทธิ์ไปตีพิมพ์”

ศรีศิลป์ยืนยันว่า ไม่ว่าในอนาคต ชีวิตของคนในครอบครัวจะขัดสนแค่ไหน แต่ 4 ภาพเหล่านี้ จะเป็นเสมือนเงาของผู้เป็นพ่อ ที่อยู่คู่หอศิลป์ตลอดไป

Text by ฮักก้า Photo by วรวิทย์ พานิชนันท์




>>>กองทุนส่งเสริมงานวัฒนธรรม กรมส่งเสริมวัฒนธรรม และหอศิลป์เอมเจริญ

เชิญชมนิทรรศการ “สื่อศิลปะจากใจของประเทือง เอมเจริญ”

เปิดนิทรรศการ วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ.2555 เวลา 14.00 น. ณ อาคารสามเหลี่ยม (อาคารนิทรรศการหมุนเวียน) หอศิลป์เอมเจริญ จ.กาญจนบุรี

จากนั้นนิทรรศการจะแสดงไปจนถึง 30 พฤศจิกายน พ.ศ.2555 เวลา 9.00 – 17.00 น. ทุกวัน (หยุดอังคารและพุธ) สอบถาม โทร. 086-813-9616

ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW เซคชั่น Celeb Online www.astvmanager.com และ M-Art เซคชั่น Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com