คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม
ที่บ้านชั้นเดียวหลังเล็กๆ หลังหนึ่ง ในอำเภอหางดง ซึ่งมีพี่ผู้หญิงคนหนึ่งเป็นเจ้าของ และเธอมีลูกชายวัยเด็กอยู่หนึ่งคน
ภายในบ้านหลังนั้นประกอบไปด้วยห้องสามห้อง มีห้องน้ำ อยู่ด้านหน้าสุดของบ้าน ซึ่งเป็นลานปูนเปิดโล่งใต้ชายคามุงจาก
เพื่อนใจของฉันได้ไปอาศัยอยู่ในห้องๆ หนึ่งที่บ้านหลังนี้ ซึ่งอยู่ในหมู่บ้าน ใกล้กันกับหมู่บ้านเหมืองกุง ซึ่งเคยเป็นแหล่งผลิตหม้อน้ำดินเผาแบบโบราณของล้านนา มาแต่ครั้งอดีต
เมื่อเพื่อนใจของฉันได้จบการศึกษาจากคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เขาได้เดินทางมาเรียนรู้วิชาปั้นหม้อและการทำเตาเผาแบบโบราณจากช่างปั้นเก่าๆ ที่หลงเหลืออยู่ในแหล่งดินเผาโบราณแห่งนี้ และต่อมาได้คลี่คลายมาสู่การปั้นตุ๊กตารูปเด็กและเณร อันเป็นรูปแบบเฉพาะตัวของเขา
และชาวบ้านหลายต่อหลายหลัง ที่เป็นบ้านใกล้เรือนเคียงกับบ้านที่เพื่อนใจของฉันอาศัยอยู่ ก็ได้เข้ามาช่วยทำงานและศึกษาวิชาการปั้นดินจากเขา
เพื่อนใจของฉันเป็นผู้มีจิตใจอารีต่อบุคคลเหล่านั้น รวมทั้งเจ้าของบ้านเอง ก็ยังได้ฝึกฝีมือการทำดินเผา ด้วยวิธีการขึ้นรูป ในวิธีการเดียวกัน กับเพื่อนใจของฉัน แต่ก็มีรูปทรงแยกย่อยออกไปตามความถนัดของแต่ละคน
พี่เจ้าของบ้านนั้นถนัดในการปั้นช้าง น้องบ้านข้างๆ ถนัดในการปั้นควาย บ้านอื่นๆ ถนัดในการปั้นหมู และบางคนก็ชอบที่จะปั้นเด็กและเณร ตามแบบเพื่อนใจของฉัน
ที่หมู่บ้านมีทั้งแหล่งดิน คือบ้านที่ขายดินเหนียวซึ่งร่อนเศษผงต่างๆ นานาออกจนหมดแล้ว พร้อมในการปั้นได้ทันที เพียงซื้อเอามาเป็นผงๆ และทำการนวดกับน้ำให้เข้ากัน ก็จะได้ดินเหนียวนุ่มมือพร้อมปั้น
ฉันเป็นคนชอบตื่นแต่เช้าตรู่ แรกเริ่มที่ไปอยู่ที่นั่น ฉันศึกษาเส้นทางที่จะไปตลาดเช้า ใกล้ๆ หมู่บ้านนั้น แล้วก็ขับรถคันเดียวที่มีอยู่นั้น ออกไปเที่ยวยังตลาดเช้าของเชียงใหม่อย่างเป็นสุขใจ
ฉันชอบและสนใจในผักพื้นบ้านที่มีลักษณะแปลกตา และไม่เคยเห็นมาก่อน ชอบทดลองกินกับข้าวและขนมพื้นเมือง ที่ถูกนำมาวางขายโดยแม่อุ๊ยทั้งหลายเป็นยิ่งนัก
เมื่อเดินตลาดจนอิ่มในความรู้สึกแล้ว ฉันก็จะขับรถกลับบ้าน พร้อมด้วยของกินซึ่งเป็นอาหารเช้าเพื่อนำมาฝากเพื่อนใจของฉัน
ในเวลากลางวันฉันมักอาบน้ำแต่งตัวสวยๆ ด้วยผ้าถุง ผ้าซิ่น และผัดหน้าทาปาก มานั่งทำงานปั้นของตัวเองอยู่เงียบๆ ที่ข้างในห้อง ซึ่งเป็นห้องเดียวกันกับห้องที่อาศัยอยู่และนอน
นิสัยการชอบปั้นดินอยู่อย่างเงียบๆ ในห้องหับนั้น เป็นความเคยชินของฉัน ตั้งแต่ครั้งยังอยู่กรุงเทพฯ นั่นเอง
ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ เพื่อนใจของฉัน มีกำหนดที่จะแสดงงานอีกครั้งหนึ่งที่กรุงเทพฯ และเขาจะรวบรวมผลงานอันหลากหลายของเหล่าชาวบ้าน ผู้ซึ่งได้มาเรียนรู้และปั้นงานอยู่กับเขาไปร่วมแสดงด้วยกัน พร้อมทั้งจะนำหญิงสาวดินเผาของฉันไปร่วมแสดงด้วย
บ่อยครั้งที่มีพี่ๆ ผู้ชื่นชอบ และซื้อหาผลงานในรูปแบบต่างๆ ของเพื่อนใจของฉัน และผลงานรูปสัตว์ต่างๆ อันน่ารักของชาวบ้านไปครอบครอง จะเดินทางมาซื้อกัน ถึงในหมู่บ้าน
หลายคนเดินทางมาจากกรุงเทพฯ และบ้างเป็นผู้คนที่แวะเวียนมา พวกเขาเคยได้พบฉันในงานแสดงต่างๆ ที่เพื่อนใจของฉันไปแสดงงานที่กรุงเทพ ฯ ที่ผ่านๆมา
เมื่อพี่ๆ คนกรุงเทพฯ เหล่านั้น ได้พบฉันลาออกไปเป็นคนปั้นดินที่เชียงใหม่ ก็มักจะมีเสียงอุทานด้วยความทึ่งตามมาว่า
“โอ..องุ่น นี่เก่งจัง มาอยู่อย่างนี้ได้” และได้เล่าถึงฉันกับบรรดาญาติมิตรของพวกเขาที่ติดตามมาด้วย อย่างชื่นชม
เหล่าพวกพี่ๆ ที่เป็นผู้สนับสนุนซื้องานเหล่านั้น ต่างเป็นบุคคลที่มีอัธยาศัยไมตรีอันน่ารักและเอื้อเฟื้อต่อเพื่อนใจของฉัน รวมทั้งฉันด้วย
ฉันยิ้มรับด้วยใจที่ชื่นบานและเป็นสุข รู้สึกมีกำลังใจในหนทางสายนี้ ทั้งๆ ที่เราไม่ได้มีหลักประกันอันใดเลย นอกจากการสร้างผลงานขึ้นมาเท่านั้น
สิ่งที่ทำให้ฉันสามารถดำรงอยู่ได้ใน ช่วงแรกนั้น คือความรักและความมั่นใจในตัวเพื่อนใจของฉันนั่นเอง
แต่ก็บ่อยครั้งอีกเช่นกัน ที่ในช่วงเวลาแห่งการเริ่มต้นชีวิตใหม่นั้น ฉันมักจะมีคำถามกับเพื่อนใจของฉันเสมอๆ ว่า ถ้าเงินหมด..จะทำอย่างไร…เนื่องด้วยฉันเคยเป็นคนที่มีเงินเดือนรองรับตัวเองในทุกๆ เดือน และการลาออกมานั้นก็ไม่ได้เป็นการเออลี่รีไทร์ที่จะทำให้ได้เงินจากนั้นแต่ประการใด ฉันมีเพียงเงินสะสมก้อนเล็กๆ ที่เคยถูกหักจากบัญชีเงินเดือนในแต่ละเดือนเท่านั้นที่ได้รับมา
เมื่อถูกฉันถาม เพื่อนใจของฉันก็มักจะตอบซ้ำๆ ดังเดิมว่า “เดี๋ยวมันก็มาเอง”
ในช่วงระยะเวลานี้นั้น ฉันจึงได้เริ่มทำงานปั้นอย่างจริงจังมากขึ้นไปจากเดิม อาจด้วยสิ่งแวดล้อม ที่เมื่อเช้ามา เพื่อนใจของฉันและเหล่าชาวบ้านก็มักจะนั่งปั้นงานในแบบที่ตัวเองมีความถนัดกันแต่เช้า ณ ลานปูนใต้ชายคาหน้าห้องของฉัน
แม้จะเป็นการปั้นที่จริงจังขึ้น แต่ด้วยลักษณะนิสัยที่ชอบออกจากบ้านไปเที่ยวดูตลาดในทุกๆ เช้า ฉันจึงมิได้นั่งทำงาน ตั้งแต่เช้าจรดเย็นได้เหมือนคนอื่นๆ
ฉันจะทำงาน ก็ต่อเมื่อฉันมีความพร้อมทางอารมณ์และความรู้สึก และจะไปเก็บเกี่ยวแรงบันดาลใจจากสิ่งแปลกใหม่ที่พบเห็น..แล้วจึงมานั่งทำงานในเวลากลางวัน
เมื่อฉันได้ทดลองปั้นงานในลักษณะวิธีเดียวกันกับเพื่อนใจของฉันและเหล่าชาวบ้าน โดยขึ้นดินขึ้นมาเหมือนปั้นหม้อ..แทนที่ฉันจะได้ผลงานเป็นรูปเด็กหรือสัตว์ต่างๆ ตัวอ้วนกลมน่ารักเหมือนพวกเขา
ฉันกลับได้งานเป็นรูปตุ๊กตาผู้หญิงอุ้มท้องเก๋ไก๋ น่ารักและมีลีลาต่างๆ กัน อย่างไม่เหมือนใคร…
บ้านที่เราอาศัยอยู่นั้นอยู่ในชุมชนอันใกล้ๆ กับวัด ในบางวันฉันก็จะนำดินไปนั่งปั้นที่วัดด้วยเช่นกัน ฉันปั้นเป็นรูปคนตายนอนมัดตราสังข์ ซึ่งดูเศร้าและน่ากลัว และได้มอบงานชิ้นนั้นให้กับหญิงสาวคนหนึ่งผู้มีความเศร้ามากมาย ซึ่งได้มานั่งคุยอยู่กับฉัน เมื่องานผ่านการเผาเสร็จ ฉันจึงมอบให้เธอไป เพื่อเป็นอนุสรณ์เตือนใจในความเศร้าโศกบางอย่างที่เกิดขึ้นกับเธอ
ในบางวันฉันได้ชักชวนเพื่อนใจของฉันออกไปปั้นงานกันนอกสถานที่ เรานำดินเหนียวขึ้นใส่รถและขับไปยังสถานที่ท่องเที่ยวตามธรรมชาติ เช่น น้ำตกต่างๆ
เราจัดที่และนั่งปั้นอยู่ใกล้ๆ กัน บ่อยครั้งที่มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติได้ผ่านมาพบเห็นและนั่งดูการทำงานของเราด้วยความสนใจ
เมืองเชียงใหม่ในช่วงเวลานั้น ช่างเป็นเมืองที่สมกับเป็นเมืองในฝันของฉัน
ฉันชอบภูเขาและทุ่งนา ชอบตลาด ชอบอาหาร ชอบวัด ชอบผู้คน ชอบภาษาและวัฒนธรรมเก่าๆ ของคนล้านนา ชอบนิสัยที่ร่าเริงสนุกสนานอันเป็นเสน่ห์ ของผู้คนที่นั่น
ฉันได้รู้จักผู้คนหลายต่อหลายคนที่มีใจรักและมีฝีมือในการทำงานศิลปะ และที่เกี่ยวเนื่อง มากมายหลายแขนง ได้รู้จักผู้คนหลายคน ซึ่งเป็นผู้รักในวัฒนธรรมและเฝ้าบำรุงรักษาวัฒนธรรมอันงดงามเหล่านั้นมิให้เลือนหายไป…
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าฉันจะรักและชอบเมืองเชียงใหม่และอุปนิสัยที่สนุกสนานร่าเริงของคนที่นั่น แต่ฉันก็ชอบเพียงการได้เฝ้ามองอยู่ใกล้ๆ อย่างผิวเผิน ด้วยฉันไม่ชอบสนิทสนมคลุกคลีกับใครๆ มากเกินไปนัก
ฉันเหมือนคนที่มักจะมีม่านบางๆ กางกั้นไว้ระหว่างตัวเองกับใครๆ เสมอๆ
เมื่อเวลามีคนมาชื่นชอบงาน ฉันพบว่าตนเองกลับอายและขัดเขินที่จะบอกราคาของงานต่างๆ กับพวกเขา หากเป็นบรรดาผู้ที่มาซื้องานของเพื่อนใจของฉันไปแล้ว ถ้าเป็นไปได้ ฉันมักจะบอกยกงานของตัวเองให้เป็นของแถมเสมอๆ และเป็นเช่นนี้อยู่ตลอดมา จนในที่สุดหน้าที่ของการตั้งราคางาน หรือบอกราคางานกับผู้ที่สนใจ จึงตกเป็นของเพื่อนใจของฉันแต่เพียงผู้เดียว
ในระยะนั้นฉันได้ทดลองทำงานชิ้นใหญ่ๆ ขึ้นมาด้วยเช่นกัน ฉันรู้สึกได้ถึงการที่ต้องใช้พลังอย่างมากมายในการขึ้นงานชิ้นใหญ่เป็นรูปหญิงสาวที่มีสัดส่วนผิดเพี้ยนมากไปจากชิ้นเล็กๆ ที่ฉันคยทำ ในช่วงแรกๆ
เมื่อเพื่อนใจของฉันได้เข้ามาเห็นงานในขณะที่ฉันกำลังปั้น และมองเห็นความผิดเพี้ยนที่ขัดหูขัดตา จนไม่อาจปล่อยไปได้ เขาก็มักจะมาช่วยจับโน่นบิดนี่ ปรับแขนปรับขาฯลฯ เพื่อช่วยให้งานดูดีขึ้นและไปในทิศทางที่ควรจะเป็น
ซึ่งฉันก็ไม่ได้ห้ามปรามอะไร แต่คอยมองและศึกษาวิธีการปรับจับชิ้นงานให้ถูกต้องขึ้น จากเขา แต่ในเวลาต่อมา ฉันกลับรู้สึกว่างานชิ้นนั้นได้จบลงแล้วสำหรับฉัน และมักจะปล่อยไว้อย่างนั้น ไม่ได้ปั้นมันต่อ
จนเมื่อเพื่อนใจของฉันสังเกตุเห็น เขาจึงได้ปล่อยให้ฉันทำงานไปอย่างอิสระ ครั้นเมื่องานจวนเสร็จแล้ว ฉันจึงจะเอ่ยปากถามเขาว่า เป็นอย่างไร พร้อมกับฟังคำชี้แนะ ถ้าปรับได้ในตอนนั้นก็จะปรับด้วยตัวเอง
หากงานแห้งเสียแล้ว ก็จะจดจำความรู้นั้นๆ ไปใช้ในงานชิ้นต่อไป
ถ่ายภาพโดย : บริดา บุชลี ,นายดี และ มณีดิน
>>วันพฤหัสบดี ที่ 1 สิงหาคม เวลา 22.00 น. โดยประมาณ รายการเคาะข่าวบันเทิง ช่อง ASTV นำเสนอ เทปสัมภาษณ์ที่ทีมข่าว ศิลปวัฒนธรรมและบันเทิง เดินทางไปสัมภาษณ์ ชีวิตประติมากร ของ องุ่น เกณิกา สุขเกษม ที่ 'บ้านเขียวสำลี 2556' จ.สิงห์บุรี
รู้จัก… องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews