Celeb Online

เจ้าสาวผู้โดดเดี่ยวในงานวิวาห์เดียวดาย


ART EYE VIEW—งานวิวาห์งานนี้ แตกต่างจากทุกงานที่หลายๆคนเคยถูกเชิญให้ไปร่วมเป็นเกียรติ เพราะในงานมีเพียง ‘เจ้าสาว’ ซึ่งก่อรูปขึ้นจากดอกกุหลาบสีขาว ยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยว ไร้เงาเจ้าบ่าวข้างกาย

เจ้าสาวคนนี้ คือส่วนหนึ่งของนิทรรศการ Bride งานแสดงเดี่ยวศิลปะของ ข้าวเม่า – ปุณยวีร์ เอี่ยมสกุล ซึ่งใช้ดอกไม้กระดาษ โดยเฉพาะกุหลาบสีขาว มาประดับตกแต่งทั้งนิทรรศการ


จาก MY FRIEND WEDDING สู่ THAI PAPER ART

ข้าวเม่าเรียนจบในระดับปริญญาตรี สาขาภาพพิมพ์ คณะจิตรกรรม ประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ทว่านับตั้งแต่เรียนจบมาเธอแทบไม่มีโอกาสได้แสดงผลงานศิลปะของตัวเอง แต่ทำหน้าที่ดูแลการจัดนิทรรศการให้กับศิลปินอื่นๆ ในฐานะนักวิชาการศึกษา หอศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร

และในช่วงสองปีที่ผ่านมานี้เธอได้ร่วมกับเพื่อน ก่อตั้ง MY FRIEND WEDDING รับทำ Backdrop หรือ ฉาก ซึ่งเน้นประดับด้วยดอกไม้กระดาษ ให้กับงานแต่งงานต่างๆ

ซึ่งจุดเริ่มต้นของอาชีพเสริมนี้ มาจากการที่เธอได้ร่วมทำการ์ดแต่งงานทำจากกระดาษแฮนด์เมดกับ เพื่อนผู้เป็นหุ้นส่วนนั่นเอง กระทั่งมองเห็นช่องทางที่จะทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับงานแต่งงานร่วมได้

ฉากแต่งงานที่เธอทำให้กับลูกค้ารายแรก ยังเป็นแค่เพียงฉากอิงค์เจทตกแต่งด้วยผ้าและลูกปัด ดังที่พบเห็นได้ทั่วไป

หลังจากนั้นเมื่อเธอได้ชมความสวยงามของ แฟชั่นโชว์คอลเลกชันหนึ่ง ของ CHANEL ผ่านเวบไซต์ ซึ่งตกแต่งงานและแคทวอร์คด้วยดอกไม้กระดาษทั้งหมด เป็นแรงบันดาลใจให้เธอและเพื่อนคิดทำฉากแต่งงานด้วยดอกไม้ที่ทำจากกระดาษร้อยปอนด์เสนอลูกค้ารายที่สอง จนนำมาสู่อีกหลายๆราย ต่อเนื่องกันมา

“เห็นในเวบไซต์ แล้วเราก็มาสันนิษฐานว่า เขาจะใช้กระดาษอะไรทำได้บ้าง โดยทั่วไปกระดาษที่ไซต์ใหญ่ๆมันค่อนข้างจะแกรมหนา เราทดลองกระดาษมาทุกชนิดแล้วล่ะ แต่กระดาษที่ทำแล้วสวย เก็บทรงเก็บรอยพับได้ดีเป็นกระดาษร้อยปอนด์”

และยังทำให้ข้าวเม่านึกถึงเรื่องของการทำงานศิลปะ ที่ส่วนใหญ่กระดาษมักจะมองว่าเป็นแค่ตัวรองรับอิมเมจของงาน ถูกวาดภาพลงไป จนท้ายที่สุดก็ถูกบดบัง

“แต่ว่าการที่เรานำกระดาษมาทำอย่างนี้ มันได้โชว์เนื้อกระดาษ โชว์ลักษณะโปร่งแสงของมัน มีงานที่ข้าวเม่าทดลองทำ แสงมันสามารถทะลุออกมาจากดอกไม้ได้ ซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนดอกไม้สามารถเปล่งแสงได้

ถ้าเป็นดอกไม้ที่ทำจากผ้ามันก็ทำได้ แต่ผ้าไม่จำรอยม้วน ขณะที่กระดาษมันม้วนให้อยู่ทรงสบายมาก และทุกคนที่ได้เห็นงานของเราก็จะรู้สึกว่า กระดาษที่ใช้ทำมันคงจะบอบบางมาก ดอกใหญ่ขนาดนี้ทำได้ยังไง”

ซึ่งความใหญ่ขนาด OVER SIZE และสามารถจัดให้มีองค์ประกอบที่หลากหลาย ราวกับว่าสามารถเสกได้นี่แหล่ะ ที่ทำให้เจ้าของงานแต่งงานหลายๆงาน เลือกที่จะใช้บริการดอกไม้กระดาษทดแทนดอกไม้สด

“มันทำให้คนรู้สึกตื่นเต้น เพราะว่าขนาดของดอกไม้ปกติ คนทั่วไปจะเห็นจนชินตาแล้ว แต่ดอกไม้กระดาษของเรา เราดึงทักษะทางศิลปะมาใช้ ทำให้มันใหญ่ขึ้น มีการจัดองค์ประกอบแบบนั้นแบบนี้ แปลกตาแต่สวยงาม เร้าใจให้คนรู้สึก ด้วยขนาดที่ใหญ่เวลาคนถ่ายรูปด้วย มันน่าตื่นเต้น ขณะเดียวกันมันก็ดูสวยงาม ประณีต ใกล้เคียงกับดอกไม้จริง”



ปัจจุบันนอกจากข้าวเม่าและหุ้นส่วนมีธุรกิจ MY FRIEND WEDDING เพื่อรับจัดดอกไม้กระดาษให้กับงานแต่งงานแล้ว เวลานี้ยังมีอีกธุรกิจคือ THAI PAPER ART ที่รับทำงานศิลปะที่ทำจากกระดาษให้กับงานอีเว้นท์อื่นๆด้วย

“มุ่งไปในทางสร้างสรรค์ ไปในทางศิลปะมากขึ้น งานหลักๆที่เราทำให้คืองานแต่งงาน งานอีเว้นต์ และงานของออแกไนซ์ ที่เขาให้เราไปทำดอกไม้ให้ หรือแม้แต่งานของ WWF ที่ทำเรื่องการรณรงค์ไม่ค้างาช้าง เราก็เคยไปทำช้างกระดาษให้

ตอนนี้ก็เลยกลายเป็นว่า ถ้าเป็นงานกระดาษ จะโยนมาให้ทางเรา เพราะเราสามารถจัดการให้ได้หมด และหาคนมาทำให้ได้”

โดยทีมงานของเธอก็คือบรรดากลุ่มเพื่อนที่เรียนศิลปะมาด้วยกันนั่นเอง




เจ้าบ่าวของฉันอยู่ที่ไหน ?

ข้าวเม่าบอกเล่าว่า นับตั้งแต่เรียนจบมา ความรู้สึกที่อยากทำงานศิลปะเพื่อจัดแสดงต่อสาธารณชนมีอยู่ตลอด และธุรกิจดอกไม้กระดาษนี่เองทำให้เธอได้มีโอกาสกลับมาทำงานศิลปะ เพราะมันทำให้เธอมีทุนที่จะทำงาน และเป็นช่วงเวลาที่เธอได้รับการสนับสนุนจากหลายๆทาง รวมถึงความพร้อมในเรื่องทักษะการนำเสนอชิ้นงาน และที่สำคัญคือ แรงบันดาลใจ

แล้วแรงบันดาลใจใดเล่าทำให้เธอคิดสร้าง เจ้าสาวผู้โดดเดี่ยว ในนิทรรศการแสดงเดี่ยวศิลปะครั้งแรกนี้ หรือเธอไปปิ๊งไอเดียอะไร ในช่วงเวลาที่ไปสร้างสรรค์ความงดงามให้กับบรรยากาศแห่งความสุขของคู่วิวาห์คู่แล้วคู่เล่า

“ขณะที่เรานั่งทำสิ่งที่สวยงามให้กับความรักของคนอื่นอยู่ มันเกิดคำถามกับตัวเองว่า แล้วฉันล่ะ เจ้าบ่าวของฉันอยู่ที่ไหน ไม่มีใช่ไหม ซึ่งมันเป็นความรู้สึกที่เศร้า และเหงา อะไรอย่างนี้”
 

แต่ขณะที่น้ำตาได้แอบร่วงลงบนกลีบดอกไม้กระดาษที่กำลังพับ บางแสงสว่างก็สะท้อนลงบนหยดน้ำตานั้น ให้กลายเป็นหยดน้ำตาของความเศร้าที่แสนจะงดงาม เพราะข้าวเม่าคิดว่า คงไม่ใช่เธอเพียงคนเดียวหรอกที่กำลังตกอยู่ในความรู้สึกแบบนี้

“มันคงไม่ใช่เราคนเดียวหรอกที่มานั่งเหงา เพราะว่ามันไม่ใช่ทุกคนที่สามารถลงเอยที่การแต่งงาน

เราก็เลยถามกับตัวเองว่า เราจะจัดการความเหงาอย่างไร บางคนอาจจะเศร้า ทุกข์ แล้วไปกินเหล้า เที่ยวเสเพล ทำตัวไม่ดี แต่เราไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น เราเข้าใจชีวิตตัวเองดีกว่าไหม ยอมรับและอยู่กับความรู้สึกเศร้าให้ดีที่สุด

บางทีนั่งทำดอกไม้ นึกถึงตัวเองแล้วร้องไห้ ฉันไม่มีเจ้าบ่าวอย่างเขา แล้วความรู้สึกของเราก็เข้าไปอยู่ในนั้นด้วยแหล่ะ แต่พอเห็นงานที่ทำออกมา เอ๊ะ…มันก็สวยนี่หว่า แม้ขณะทำเป็นตอนที่กำลังเศร้า

แสดงว่าชีวิตมันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร เพราะขณะเดียวกันเราก็ทำบางอย่างออกมาได้ดี มีสมาธิอยู่กับบางอย่างมากขึ้น และเราก็เชื่อว่าความรู้สึกอย่างนี้มันต้องผ่านไป อยู่กับตัวเองในช่วงเวลานี้ให้ดีที่สุดแล้วกัน อย่าให้เป็นเหมือนคนอื่นที่เราคิดว่าเขาหาทางออกโดยการเลือกไปทำอะไรที่ไม่ดี”


งานวิวาห์เดียวดาย

งานวิวาห์เดียวดายของข้าวเม่า นับตั้งแต่จุดแรกต้อนรับแขกผู้เข้าไปร่วมงานด้วยกุหลาบสีขาวดอกใหญ่ดอกเดียว พร้อมด้วยข้อความบนฉากหลังว่า ‘กระดาษมีรอยจำ’ ขณะที่บางกลีบของกุหลาบดอกนี้ ข้าวเม่าได้เขียนบันทึกด้วยลายมือของตัวเองลงไปด้วย ซึ่งเธอแง้มว่า เป็นบันทึกในขณะที่เธอกำลังนึกถึงอดีตคนรักของตัวเอง

“ต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่า คนที่มาดูงานศิลปะเขาไม่ได้เข้าใจศิลปะกันทุกคน แต่ว่าสิ่งที่คนจะเข้าใจและรับรู้ได้คือการอ่าน แล้วตีความจากสิ่งที่อ่าน ระหว่างที่เขาเดินชมงาน เขาก็จะได้รับรู้ข้อความของเราไปด้วย

อย่างจุดแรก เราก็พยายามจะเชื่อมโยงให้คนเหมือนเข้าถึงสิ่งที่เราต้องการสื่อให้ง่ายขึ้นผ่านตัวหนังสือ ดอกไม้ดอกหนึ่งมันก็เหมือนชีวิตเรา แต่ละกลีบมันก็จะบันทึกความรู้สึกชนิดนึงเอาไว้ แต่ละความรู้สึกมันอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมกัน แต่มันอยู่ร่วมกันในหนึ่งชีวิต หนึ่งวิญญาณ ดังนั้น บางเรื่องที่เราบันทึกไว้ในบางกลีบ มันจึงเป็นเรื่องที่ไม่ได้หมายถึงทั้งชีวิตของเรา แต่เป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งของชีวิต เหมือนกับกลีบดอกไม้แต่ละกลีบที่ยังอยู่ร่วมกันได้ และทำให้เกิดเป็นดอกไม้ดอกหนึ่งสวยงาม

ผ่านมายังอีกจุด ‘ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ รอยที่ปรากฏ ก็มิอาจลบได้ ’ ข้อความนี้ข้าวเม่าบันทึกไว้บนผนังเพื่อจะแลกเปลี่ยนกับผู้ชม ในเรื่องความเดียวดาย ที่จะค่อยๆถูกบันทึกไว้ในดอกไม้แต่ละดอก เมื่อมากเข้าทุกดอกก็จะก่อตัวเป็น เจ้าสาวผู้ต้อง ‘วิวาห์เพียงลำพัง’ ในจุดถัดๆมา

ระหว่างยืนชมเจ้าสาว หรือหยุดอ่านข้อเขียนบนผนัง เพลงจะถูกเปิดคลอไปทั่วห้องนิทรรศการ ไม่ใช่เพลงอย่างที่คุ้นหูในงานแต่งงาน แต่เป็นเพลงที่เพราะและให้ความรู้เศร้าอยู่ในที

“เป็นเพลงที่ให้ความรู้สึกว่าเรามีชีวิตที่ครบทุกรส ไม่ใช่แค่สุขอย่างเดียว และทำให้นึกถึงงานแต่งงานได้ด้วย”

ข้าวเม่าจงใจให้ดอกไม้ทั้งนิทรรศการเป็นสีขาวล้วน เพราะไม่ต้องให้มีการปรุงแต่ง แต่อยากให้ความรู้สึกถูกบันทึกและสื่อสารกับผู้ชมผ่านรอยพับม้วนต่างๆ

และนอกเหนือจากกิจกรรมสอนพับดอกไม้ ที่มีขึ้นทุกวันเสาร์ตลอดนิทรรศการ ซึ่งได้รับความสนใจเป็นจำนวนมาก ดอกไม้ทั้งหมดในนิทรรศการครั้งนี้ รวมถึงเจ้าสาวผู้โดดเดี่ยวจะถูกแจกให้กับผู้ที่สนใจในวันสุดท้ายของการแสดงงาน ซึ่งเธอถือว่าวันนั้นเป็นวันเปิดนิทรรศการอย่างเป็นทางการ

เมื่อรับดอกไม้ไป ทุกคนก็จะได้พบกับข้อความสุดท้ายที่ว่า “หากผลของความรักคือการแต่งงาน แล้วผลจากการหมดรักคืออะไร เมื่อรับดอกไม้แห่งความรักไป โปรดแบ่งปันสู่ผู้ที่ถูกความรักทอดทิ้ง”

ก่อนที่ทุกคนจะหย่อนสตางค์เพื่อร่วมกันบริจาคตามกำลังศรัทธา โดยเงินทั้งหมดจะถูกนำไปช่วยเด็กกำพร้า ผู้ที่ข้าวเม่าบอกว่าคือผลผลิตหนึ่งของการหมดรัก


ความเศร้าไม่ใช่เรื่องที่ต้องปฏิเสธ

ข้าวเม่าบอกว่า สิ่งสำคัญที่อยากสื่อผ่านนิทรรศการครั้งนี้ เพราะเธออยากจะให้คนที่กำลังมีความรู้สึกใกล้เคียงกับเธอได้มองย้อนว่า ความทุกข์ไม่ใช่เรื่องน่ารังเกียจ ความเศร้าไม่ใช่เรื่องที่ต้องปฏิเสธ

“เพียงแต่ว่าถ้ามันเกิดขึ้น เราก็ยอมรับมันและอยู่กับมันสักพักก็ได้ ความทุกข์ความเศร้า ความเหงา มันก็เป็นความรู้สึกนึงที่มันก็อยู่ร่วมกับความรู้สึกอื่นๆในโลก ไม่เห็นจะต้องรังเกียจมันเลย เพราะว่าทุกความรู้สึกที่มันเกิดขึ้นเดี๋ยวมันก็หายไป เพราะฉะนั้นในขณะที่ทุกข์อยู่กับมัน เราก็อยู่ให้ดีที่สุดดีกว่า และมันทำให้เกิดสิ่งสวยงามได้” ดังดอกไม้ต้องหยดน้ำตาของเธอดอกนั้น
 
และยังบอกด้วยว่า นิทรรศการครั้งต่อไปของเธอจะมีเกิดขึ้นอีกในช่วงเดือนเมษายนปีหน้า ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เพราะแม้ว่าธุรกิจของเธอจะไปได้ดี อีกทั้งเริ่มมีลูกค้าในต่างแดนเรียกใช้บริการ แต่สิ่งที่เธอทำแล้วมีความสุขก็คือการทำงานศิลปะนั่นเอง
 

ขณะที่งานประจำที่ทำอยู่ก็ถือเป็นอีกหน้าที่ที่นำความสุขให้ และถือเป็นการรับใช้ศิลปะทางหนึ่ง เพราะแม้ตัวเองไม่ได้ทำ ก็ถือได้ว่าเป็นการส่งเสริมให้คนอื่นๆได้ทำศิลปะและได้แสดงงาน

“อย่างข้าวเม่า ส่วนตัวเป็นคนที่มีชีวิตอยู่ในเรื่องความทุกข์ ความเศร้าตลอดเวลา และสิ่งนี้เป็นสิ่งทีเยียวยา ดึงเราออกจากมาจากการจมปลักอยู่กับความรู้สึกนั้น เหมือนกับงานศิลปะมันบำบัดเรา

และก่อนหน้านี้ข้าวเม่าก็เป็นเด็กบ้านนอกธรรมดา พ่อแม่ก็ไม่ได้อยู่ด้วยกัน ต้องไปโตกับคนอื่น มีชีวิตเลื่อนลอย เกกมะเหรกเกเร แต่พอทำงานศิลปะ เอ็นทรานซ์ศิลปะได้ ศิลปะมันยกชีวิตเราขึ้นมา ฉันไม่เก่งคณิต ฉันไม่เก่งวิทย์ แต่ว่า สิ่งนี้มันทำให้ฉันหลุดออกจากวังวนของเด็กวัยรุ่นที่แย่ๆ เฮ้ย…มีคนยอมรับ สิ่งนี้มันทำให้คนยอมรับเรามากขึ้น เหมือนกับวัยรุ่นที่ต้องการได้รับการยอมรับ ถ้าเราทำสิ่งนี้ ฉันก็มีค่านะ มาทำศิลปะ ชีวิตฉันดีขึ้น

ทุกครั้งที่รู้สึกอะไรก็ตามแล้วหยิบงานศิลปะมาทำ มันดีมาก ใจเราเหมือนทุกข์แต่ทุกข์แบบเข้าใจ เราเบา เวลาอยู่กับมัน โอเคมากเลย ดีกว่าที่เราจะมานั่งกินเหล้าออกไปเที่ยวเตร่ ไล่จิก ไล่ข่วนใคร อะไรอย่างนี้ เหมือนว่าชีวิตสูงขึ้นมา แม้ว่ามันทุกข์แต่ว่าเราผ่อนคลายมากขึ้น”

นิทรรศการศิลปะดอกไม้กระดาษชุด Bride เปิดแสดงวันนี้ – 31 ตุลาคม พ.ศ.2556 จันทร์ – เสาร์ เวลา 09.00 – 16.00 น. พร้อมอบรมประดิษฐ์ดอกไม้ด้วยกระดาษ ในทุกวันเสาร์ตลอดนิทรรศการ ณ หอศิลป์กรุงไทย ถ.เยาวราช (ตรงข้ามโรงแรมแกรนด์ไชน่า) โทร.0-2222-0137

จากนั้นจะมีการแจกดอกไม้ที่ใช้แสดงในวันสุดท้ายของนิทรรศการ

“ความรู้สึกอันว้าเหว่อ้างว้าง ทำให้คนเราต้องการคนมารักมาคอยดูแลเอาใจใส่ และในที่สุดก็จะปรารถนางานวิวาห์ ความหวังนี้ได้ซ่อนอยู่ลึกๆ ในใจของผู้เดียวดายหลายคน ความรู้สึกที่เงียบเหงาเช่นนี้ คือแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์งานศิลปะของข้าพเจ้า

ความเหงาเศร้า ได้ถูกถ่ายทอดลงบนกระดาษสีขาวบริสุทธิ์ ซึ่งข้าพเจ้าค่อยๆ บรรจงพับและม้วนขึ้นเป็นรูปเจ้าสาวบุปผา ที่ยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้อันงดงาม เจ้าสาวในงานวิวาห์ที่ไร้ซึ่งเจ้าบ่าวเคียงกาย เป็นตัวแทนความเหงา ความเศร้า และความหวังลึกๆ ที่งดงามอยู่ในใจ”


ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW www.astvmanager.com และ เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com

และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews