คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม
ในเวลาเย็นของวันเสาร์ ฉันขับรถกลับจากตลาดนัด กับข้าวที่ฉันได้มามีเพียงไม่กี่อย่าง เป็นจำพวกผักต่างๆ ที่นำมาไว้ประกอบอาหาร
ฉันผ่านวัดอันเป็นสถานที่ทำบุญเป็นประจำของตนเองในแทบทุกวันพระ ที่จริงวัดในหมู่บ้านนั้นมีด้วยกันถึงสามวัด แต่สาเหตุที่ฉันเลือกมาทำบุญกับที่วัดแห่งนี้ เพราะชอบศาลาไม้ในแบบเก่าๆ ที่เคยใช้กันมาตั้งแต่ครั้งปู่ย่าตายาย และยังคงเปิดให้ใช้และได้ขึ้นไปทำบุญกันอยู่จนถึงทุกวันนี้..
ที่วัดแห่งนี้ยังมีชื่อเสียงร่ำลือให้รู้ทั่วกันไปว่า เป็นวัดที่มี เตาเผาโบราณแห่งลุ่มแม่น้ำน้อย อีกด้วย นับตั้งแต่จำความได้เมื่อครั้งวัยเด็กที่ได้มาเติบโตและอยู่ที่นี่กับย่า ฉันมีภาพความทรงจำของการเดินลัดเลียบริมตลิ่งชายน้ำ ในยามหน้าแล้งที่น้ำลง พื้นที่ที่เคยเป็นน้ำนั้นได้แห้งผากเป็นเนินทราย ฉันก้มเก็บเศษกระเบื้องสีสวยที่ฝังจมอยู่ในดิน จ้องมองดูมัน สงสัยในใจว่า ใครหนอ…มาทิ้งจานลายดอกไม้สวยๆ เหล่านี้ไว้ในแม่น้ำ
ในวัยวันเหล่านั้นฉันไปโรงเรียนด้วยการเดิน.. สองขาเล็กๆ ของเหล่าเด็กๆ คือฉันและญาติๆ จะพากันเดินจากบ้านที่อยู่ริมน้ำขึ้นไปเรื่อยตามทางเดินที่เรียกว่า “หลังกองดิน” ราวๆ เกือบหนึ่งกิโล ก็ถึงวัดอันเป็นสถานที่ตั้งโรงเรียนของพวกเรา
“หลังกองดิน” ที่ถูกกล่าวขานนั้น คือทางลูกรังเล็กๆ ที่ขนาบไปด้วย เนินดินสูงยาวทอดเป็นแนวราวกับภูเขาเตี้ยๆ ยาวนับกิโล เนินดินเหล่านั้น ถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้และป่าล้มลุกข้างทาง จากคำบอกเล่า สิ่งที่ถูกปกคลุมอยู่นั้นเป็นเตาเผาโบราณมากมาย…
เตาเผาโบราณแห่งแม่น้ำน้อย เป็นเตาเผาที่มีขนาดใหญ่ ก่อด้วยอิฐเป็นรูปเรือประทุน จึงถูกเรียกตามรูปลักษณะที่คล้ายๆ นั้นว่า “เตาประทุน”
เตาเผาแม่น้ำน้อยนี้ ได้มีผู้สันนิษฐานว่า น่าจะเกิดขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ระหว่าง พ.ศ.1914-1921 สมเด็ดพระบรมราชาธิราชที่ 1 (ขุนหลวงพะงั่ว) ได้ยกทัพไปตีหัวเมืองฝ่ายเหนือ ที่อยู่ในความปกครองของสุโขทัย โดยกวาดต้อนผู้คนซึ่งอาจจะมีช่างเตาเผารวมอยู่ด้วยและได้มารวมกลุ่มกันที่บริเวณลุ่มแม่น้ำน้อยแห่งนี้…
เมื่อฉันกลับมาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ ฉันได้แวะเวียนไปที่แหล่งเตาเผาที่ยังคงหลงเหลืออยู่แห่งเดียวคือ ที่วัด ซึ่งในขณะนั้นได้มีโครงการจัดการรื้อฟื้น ให้ชาวบ้านชาวนาที่มีใจรักและมีหัวในทางการทำศิลปะ มานั่งปั้นดินเป็นรูปไหสี่หู ซึ่งเป็นงานในรูปแบบเดิมที่ขุดค้นพบ ณ ที่นี้ มีลุงผู้หนึ่งเป็นคนปั้นหลักๆ และมีผู้ช่วยอีกสองสามคน อยู่ช่วยกันทำงาน แต่ก็เพียงไม่นาน กลุ่มชาวบ้านที่ได้ก่อตั้งขึ้น ก็กระจัดกระจายหายไป คงเหลือแต่เตาเผาร้าง..ให้เป็นที่เยี่ยมชมของ ผู้ผ่านทางแต่เพียงเท่านั้น
และเช่นเดียวกันเมื่อฉันย้อนระลึกนึกไป ตั้งแต่วัยเด็กนั้น ในแถบถิ่นแถวนี้ ก็หาได้มีครอบครัวใด แม้เพียงครอบครัวเดียวที่ทำงาน อันเกี่ยวกับการปั้นให้ได้ข่าวคราวเลยแม้แต่น้อยนิด…จากเตาเผาอันเคยยิ่งใหญ่มาแต่ครั้งอดีตของบรรพบุรุษที่ยังหลงเหลืออยู่นั้น ได้ขาดช่วงห่างร้างไปนานแสนนาน จนไม่มีผู้ใดได้สืบทอดไว้เลย บางทีพวกเขาอาจจากกันไปในสงครามครั้งใดครั้งหนึ่งจนหมดหมู่บ้าน…ฉันแอบคำนึง
ก่อนที่จะเข้าบ้าน ฉันได้ขับรถเลยเรื่อยไปถึงทุ่งนาแห่งบ้าน “หอมกระจุย” นอกจากจะมีทุ่งนาที่แสนสวยแล้ว ฉันยังชอบชื่อของหมู่บ้านแห่งนี้อีกด้วย ท่ามกลางไออุ่นจากแสงอาทิตย์ยามเย็นนั้น ฉันพบลุงวัยชราผู้หนึ่ง ทีมักจะยืนคร่อมอยู่บนรถจักรยานของตนเอง แล้วใช้ขาทั้งสองข้างค่อยๆ ไสไปกับพื้นถนน เพื่อให้รถและร่างกายของแกเคลื่อนไปอย่างช้าๆ ด้วยกัน
ภาพชีวิตหลายต่อหลายภาพเหล่านี้ ได้ถูกบันทึกไว้ในความทรงจำของฉัน
เสียงตำน้ำพริกดังแว่วมาจากครัวของบ้านใกล้ๆ เสียงตำน้ำพริกนี้ช่างเป็นเสียงที่ให้ความรู้สึกอันอบอุ่นสำหรับฉัน เพราะมันบ่งบอกถึงความเป็นครอบครัว เพียงแค่ได้ยินเสียงตำน้ำพริก ฉันก็เกิดจินตนาการได้ถึง หญิงสาวที่เป็นแม่ หรือเป็นเมียผู้กำลังนั่งโขลกน้ำพริกอยู่ท่ามกลางบ้านเรือนและลูกหลาน…
สิ่งแวดล้อมในดินแดนของบรรพบุรุษเหล่านี้ ค่อยๆ หลอมรวมอยู่ในความทรงจำของฉัน ราวกับต้นไม้ ที่ได้ดื่มกินปุ๋ยและอาหารจากผืนดิน จนกระทั่่งผลิดอกออกผลของมันเมื่อถึงเวลา…
ฉันกลับมาถึงบ้าน…นั่งมองงานของตนเองในชิ้นเดิมๆ ที่เก็บไว้ในตู้ และนั่งมองดินที่ถูกขึ้นเป็นโครงงานไว้ล่าสุดในห่อผ้าพลาสติค ที่ยังคงวางอยู่กับพื้น
ในยามที่หัวใจห่อเหี่ยวเช่นไร สิ่งเดียวที่จะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นคือการทำงานออกมาให้จงได้…และในยามที่มีความสุขอิ่มเอมใจเช่นไร มันก็ถูกแบ่งปันไปยังผู้อื่นด้วยการทำออกมาเป็นงานเช่นกัน…
นี่คือชีวิต คือหน้าที่ของฉัน ฉันบอกกับบรรพบุรุษของตนเองอยู่ในใจ
ถ่ายภาพโดย : มณีดิน
รู้จัก… องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews