คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม
หลายวันก่อนฉันไปช่วยจัดห้องสมุดที่วัด
ฉันไปสะดุดตากับหนังสือเล่มสีเขียวหน้าปกขลิบทองเล่มหนึ่งและนั่งอ่านจนจบ
ฉันได้พบใครคนหนึ่งในนั้นที่อบอุ่น..สง่างาม
ได้เห็นภาพของเขาตั้งแต่วัยเยาว์..เติบโต..แต่งงาน
พบความสำเร็จในชีวิต
เริ่มป่วย..และตาย
ฉันหวนนึกถึงชายผู้วายชนม์ในหนังสืองานศพ
ระลึกถึงกลิ่นอายของเมืองชนบทอันเป็นบ้านเกิดของเขา
คืนนี้…ฉันจะไปที่นั่นในความฝัน
จากวันที่ได้พบหนังสือเล่มนั้นในห้องสมุดของวัด ผ่านไปนานนับปี แต่ทว่าเรื่องราวอันงดงามในชีวิตและร่องรอยแห่งอดีตของชายผู้วายชนม์ในหนังสือเล่มนั้นไม่ได้จางไปจากความรู้สึกของฉัน คุณงามความดีของบุคคลในหนังสืองานศพเล่มนั้นยังคงติดตรึงในดวงใจทุกตัวอักษรที่ประกอบขึ้นเป็นเนื้อหาในหนังสืองานศพเล่มนั้น ได้ทรงไว้ซึ่งความดีความงามของบุคคลที่ได้เคยมีชีวิตอยู่ และเมื่อจากไปสิ่งเหล่านั้นได้ถูกจารึกย่นย่อไว้ ในตัวอักษรให้ชนรุ่นหลังได้สัมผัสจากการเปิดอ่าน
การกระทำคุณงามความดีใดๆ ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่นั้น ช่างเปรียบเสมือนการกำลังลงมือเขียน “ต้นฉบับ” ของหนังสืองานศพ ให้กับตัวเองในวันหนึ่งที่ต้องจากไปเป็นอย่างยิ่ง
ณ ทุกตารางนิ้วในแผนที่บนแผ่นกระดาษ และ ณ ทุกตารางกิโลเมตรของพื้นดินที่ถนนจะพาเราไปถึง เมื่อเราเลือกที่จะหยุดอยู่ตรงที่ใดที่หนึ่งในที่แห่งนั้นล้วนเคยมีอดีตและความเป็นมาที่ย้อนลึกลงไปอย่างไม่จบไม่สิ้น เราได้กำลังยืนอยู่ระหว่างความเป็นปัจจุบันที่ตามองเห็น กับสิ่งที่เป็นอดีตกาลผ่านมา และทั้งสองสิ่งนั้นได้ถูกเชื่อมโยง กันเป็นกระแสแห่งนานาชีวิตและสรรพสิ่งเอาไว้ด้วยกันอย่างแนบแน่น…
ราวห้าร้อยกว่ากิโลเมตร จากบ้านของฉัน และแล้วฉันก็ได้นำพาตัวเองไปยืนอยู่ที่นั่น…ในอีกหนึ่งปีถัดมา
ณ ดินแดนที่ถูกเรียกว่า “รุ่งอรุณแห่งความสุข” ดินแดนอันเป็นบ้านเกิดของชายชาตินักรบ ในหนังสือเล่มนั้น
แม้ในบางขณะของช่วงเวลาแห่งการเดินทางฉันจะพบกับความแห้งแล้งของธรรมชาติ บวกกับความคดโค้งของถนน หรือเส้นทางตรงในระยะยาวอันน่าเบื่อหน่าย ความรู้สึกหลากหลายได้ที่วิ่งเข้ามากระทบใจอย่างประจวบเหมาะ ซึ่งช่างคล้ายกับอารมณ์และความรู้สึกในวันเวลาที่ไม่อยากจดจำ ในบางช่วงของชีวิตที่ผ่านมา จนเคยรู้สึกอยากจะถอยหนีในอดีตนั้น
เมื่อฉันได้มาถึงยังจุดหมายปลายทาง ณ ดินแดนแห่งนี้
ความสำเร็จของการที่ได้มาถึงและได้อยู่ท่ามกลางวิถีของผู้คนที่ใจของฉันดั้นด้นค้นหา นั้นคือการตอบแทนต่อความรู้สึกอ้างว้างที่เข้ามาแผ้วพานจิตใจและเติมต่อความฝันให้งอกงามขึ้นท่ามกลางความแปลกใหม่ที่รอการค้นพบ..
หรือแท้ที่จริงแล้วชีวิตนั้นเต็มไปด้วยความว่างเปล่าและน่าเบื่อหน่าย.. คนเราจึงต้องสร้างต้องทำสิ่งต่างๆ ให้แก่การมีชีวิตอยู่เสมอๆ การงาน การกินอยู่ การดำรงชีวิต การสร้างวัฒนธรรมของสิ่งต่างๆ ได้ถูกกำหนดขึ้นมาเพื่อให้ความเป็นไปของชีวิตอันว่างเปล่าและน่าเบื่อหน่ายนั้น ไม่ไร้ค่าเปล่าดายอย่างที่มันเป็น????
นั่นสิ..หรือจะเป็นด้วยสิ่งนี้ ที่เป็นแรงผลักลึกๆ ให้ฉันเกิดทำการงานออกมาได้…การงานที่มาจากความรู้สึกของการอยากหนีจากความว่างเปล่าอันเป็นสิ่งแท้จริง ของการมีชีวิต
และฉันมักใคร่ครวญในชีวิตของตนเองอยู่เช่นนี้เสมอๆ…
ท่ามกลางเสียงดังฉับ..ฉับ..ของการก้าวเท้าอยู่บนแผ่นอิฐโบราณ..อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ความยิ่งใหญ่ของอดีตที่ยังคงอยู่ และความงดงามแห่งองค์พระปฏิมา สิ่งที่หลงเหลือจากอดีตนั้นช่างแสนงาม แล้วผู้คนในยุคนั้นซึ่งเป็นผู้สร้างเล่าจะงามสักปานใด….
สิ่งที่ทำให้ฉันตื่นเต้นไม่น้อยไปกว่าสิ่งอื่นๆ นั่นคือการได้สดับฟังสำเนียงเสียงของชาวเมืองสุโขทัย สำเนียงเสียงพูดของคนสุโขทัยนั้นช่างเต็มไปด้วยเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากเมืองอื่นๆ ที่ฉันเคยได้ยินมาและฉันชื่นใจที่ได้ยินได้ฟังเป็นอย่างยิ่ง
สำเนียงเสียงเหน่อแบบพิเศษนั้นช่างไม่เหมือนแม้นในแดนไหน….
ทว่าในบางอำเภอที่ติดกันกับจังหวัดในภาคเหนือ เพียงไกลจากกันไม่กี่สิบกิโลกลับมีสำเนียงเสียงพูดที่แตกต่างออกไป คือคล้ายกับสำเนียงพูดในจังหวัดแพร่น่านซึ่งอยู่ใกล้เคียงกันนั่นเอง
ในยามเย็น..ฉันเห็นเด็กๆ นักเรียนได้ถีบจักรยานพากันกลับบ้าน ฉันได้เห็นรอยยิ้มอันสดใสและเสียงหัวเราะพูดคุยของพวกเขา อันคือคนรุ่นใหม่ที่กำลังจะเติบโตของที่นี่และเป็นผู้ที่จะสืบทอดความมีชีวิตและวงศ์ตระกูลของความเป็นคนในดินแดนแห่งนี้แทนคนที่ได้จากไป…ชายผู้วายชนม์ในหนังสืองานศพ…
การเดินทางเป็นส่วนหนึ่งในการต่อเติมความฝันในจิตใจของฉัน…เสมอมา
ที่ๆน่าค้นหาอย่างที่สุด คือที่ๆเราถวิลหานั่นเอง
ถ่ายภาพโดย : มณีดิน
รู้จัก… องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews