คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม
ณ ร้านขายส้มตำอันเป็นเพิงไม้เล็กๆ หน้าสถานีตำรวจภูธรแห่งหนึ่งในเขตจังหวัดนครสวรรค์
ฉันรู้สึกหิว เมื่อขับรถออกไปจากบ้านจนถึงบริเวณนั้น ด้วยเพราะเมื่อก่อนออกจากบ้านความรีบเร่งในการจัดข้าวของลงกระเป๋า ทำให้ไม่มีอะไรตกถึงท้อง
ในเวลาก่อนหน้านั้น..ฉันพยายามมองหาร้านอาหาร ร้านใดร้านหนึ่งที่จะลงไปนั่งกินเพื่อบรรเทาความหิว แต่ติดที่เมื่อพอจะมองเห็นหรือได้พบร้านเหล่านั้น กลับเป็นร้านที่ตั้งอยู่ในเขตตัวเมืองซึ่งมีรถราคราคร่ำ ฉันจึงขับรถเลยเรื่อยมาบนถนนสายใหญ่ ร้านรวงริมทางเริ่มทิ้งระยะห่างจนไม่ปรากฏให้เห็น
จนกระทั่งถึงชุมชนเล็กๆ อันเป็นทางผ่านแห่งนี้ฉันจึงได้มองเห็นเพิงขายส้มตำที่ข้างถนน ฉันรีบชะลอรถเข้าจอดชิดริมฟุตบาทหน้าร้านโดยไม่รอช้า
ด้วยความหิวและกลัวว่าหากเลยไปก็อาจจะยังอีกไกลจนกว่าจะพบร้านอาหารอีกสักร้านหนึ่งในเส้นทางข้างหน้า..
ฉันยืนมองไปข้างในตู้กระจกของร้านเพิงขายริมทางแห่งนั้น เห็นมีผักสดๆ และมะละกอสับกองโตบรรจุอยู่ในตู้ เห็นครกใบใหญ่และแม่ค้าเจ้าของร้านได้เอื้อนเอ่ยเชิญชวนให้กินส้มตำ ฉันจึงสั่งส้มตำไทยใส่ปูไปหนึ่งจาน..”กินส้มตำรองท้อง” ไว้ก่อนแหละ จะได้ไม่ง่วง ฉันบอกกับตนเอง..
เพียงชั่วครู่ เมื่อสิ้นเสียงป๊อกๆ แม้ค้าก็นำเอาจานส้มตำอันมีน้ำสีดำๆ ที่เจือไปด้วยกุ้งแห้งฝอยตัวสีแดงๆ มาวางตรงหน้าฉัน ฉันชะงักมือเล็กน้อยเมื่อมองเห็นกุ้งแห้งฝอยตัวสีแดงๆ เหล่านั้น ก่อนจะลองตักส้มตำในจานเข้าปาก รสชาตินั้นเปรี้ยวและหวาน แม้จะต่างกับรสชาติที่ฉันคาดหวังแต่ก็อร่อยไปอีกแบบ ด้วยความมันของถั่วลิสงที่ถูกโขลกรวมอยู่ในนั้น..ในที่สุดฉันก็กินไปจนหมดจาน จากนั้นฉันสั่งเกาเหลาลูกชิ้นเนื้อจากร้านก๋วยเตี๋ยวที่อยู่ในบริเวณเพิงเดียวกันมากินต่ออีกหนึ่งชาม…..
บนโต๊ะไม้ตัวยาวตัวเดียวกัน ถัดไปจากฉัน เสียงตำรวจชั้นผู้น้อยคนหนึ่ง กำลังนั่งกินไปคุยไปกับชายหนุ่มนักศึกษาอีกคน ถึงลู่ทางแห่งการศึกษาและการต่อยอดการเรียนเพื่อไปสู่อนาคต
ตำรวจชั้นผู้น้อยคนนั้นได้แนะนำหนทางการศึกษาดังที่เขาได้เคยเรียนผ่านมา ให้กับคนหนุ่มรุ่นน้องผู้นั้นที่กำลังฟังอย่างใจจดใจจ่อ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมของผู้คนชนบทผู้หาเช้ากินค่ำ ณที่แห่นั้น
ฉันรู้สึกถึงความห่วงใยอาทรต่อกันของคนร่วมชุมชน สิ่งที่ตำรวจชั้นผู้น้อยคนหนึ่งที่ไม่ได้มากไปด้วยดาวบนบ่า หรือมีบารมีที่จะชี้เป็นชี้ตายให้กับใครได้ เขาได้กำลังทำหน้าที่ปลูกความหวังในอนาคตให้กับเด็กหนุ่ม แม้นว่าอาชีพรับราชการไม่ใช่อาชีพที่ใครจะเป็นกันได้ง่ายๆ แต่มันก็คือความหวังของคนในชนบทที่ไม่มีเงิน ไม่มีเส้นสาย
ถึงแม้มันจะดูเลือนลางแต่มันก็ช่างเรืองรองในหัวใจ ตำรวจชั้นผู้น้อยคนนั้นเขากำลังปั้นความหวังในหัวใจของเด็กหนุ่ม..
แม้ค้ากล้วยปิ้งผู้มีใบหน้าหมองไปด้วยฝ้า อีกคนหนึ่งในเพิงเดียวกันเอ่ยชวนให้ซื้อกล้วยปิ้งจากเธอ ตำรวจชั้นผู้น้อยผู้นั้นไม่ปฏิเสธ..เธอรีบกุลีกุจอหยิบกล้วยปิ้งของเธอใส่ลงในถุงให้จนเกือบเต็ม..
ฉันเรียกเก็บเงิน ในเวลาไล่เลี่ยกัน ความอิ่มจากเพิงไม้ข้างถนนในมื้อนั้นของฉันคิดเป็นเงินราคา 55 บาท
ฉันก้าวขึ้นรถและขับต่อไปยังจุดหมายปลายทางของตนเอง
บนถนนสายเดิม..ไปยังจังหวัดเดิม.. ที่เคยผ่านมาหลายต่อหลายปี ภาพแห่งความทรงจำของฉันได้ผุดขึ้นมาอย่างฉับพลัน..
ก็บนถนนสายนี้ ที่ฉันเคยมีทั้งรอยยิ้ม และการร้องไห้
ก็บนถนนสายนี้ ที่ฉันเคยมีทั้งความสุขและความทุกข์
ก็บนถนนสายนี้ ที่ฉันเคยมีทั้งความหวังและความรู้สึกพลาดหวัง
แต่วันนี้ บนถนนสายเดิม คนขับรถคนเดิม ฉันกลับมองเห็นตัวเอง และมองเรื่องต่างๆ ของตัวเองในวันที่ผ่านมาเหล่านั้น เป็นเพียงเรื่องเก่าๆ ที่ได้ผ่านไป
เรื่องต่างๆ ที่เคยทำให้ทุกข์และสุขเหล่านั้น เปรียบดังสายลมที่พัดผ่านเพียงผิวกาย หาได้เข้าไปกระทบถึงในจิตใจของฉันได้อีกต่อไป
เหตุการณ์และเรื่องราวต่างๆ ที่ฉันเคยสำคัญว่าเป็นตัวเป็นตนและเคยจับยึดเหล่านั้น ช่างไม่จีรังเที่ยงแท้…
ห้าร้อยเก้าสิบกว่ากิโลเมตรผ่านไป ฉันจึงได้นำพาตัวเองมาถึงยังสถานที่อันสงบงาม ทั้งบ้านเรือนและทิวทัศน์ป่าเขา ทั้งไม้ดอกประดับสีสดสวย และไม้หอมนานาพรรณ ทุกๆ คนที่มายังที่นี่ต่างทักทายกันด้วยกิริยาของคนผู้มีความสุข ต่างยิ้มแย้มและยกมือพนมไหว้ต่อกัน..
หญิงชราผู้มีสง่าและภูมิฐานท่านหนึ่ง เมื่อมองเห็นฉัน เธอได้กวักมือเบาๆ เรียกให้ฉันเข้าไปใกล้ๆ พลางหยิบไอแพดของเธอขึ้นมาเปิดให้ฉันดูอย่างตั้งอกตั้งใจ
ฉันได้พบเห็นภาพบุคคลของครอบครัวใหญ่ครอบครัวหนึ่งที่ดูแสนจะอบอุ่น คนในภาพต่างๆ นั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มอันเบิกบานสดใส
บ้านอันใหญ่โตโอ่อ่าและทันสมัยในภาพ ที่ล้อมรอบด้วยทิวทัศน์ของทุ่งหญ้ากว้างใหญ่เป็นปุยฟ่องสีทอง และทะเลสาปสีฟ้าคราม
แทบทุกมุมในบ้านหลังนั้นประกอบไปด้วยงานศิลปะทั้งภาพเขียนและงานประติมากรรมติดตั้งไว้อย่างผสมกลมกลืน เข้าเป็นส่วนหนึ่งส่วนเดียวกัน อีกทั้งบนทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่สีทองนั้นเล่า ก็มีประติมากรรมขนาดใหญ่อันทรงคุณค่า ของบรรดาเหล่าศิลปินมากมาย ได้ถูกจัดวางไว้อย่างเหมาะเจาะ งดงามสุดที่จะพรรณา
หญิงชราผู้ใจดีเลื่อนนิ้วมือเพื่อให้ภาพเคลื่อนไปในแต่ละหน้า..แต่ละหน้า พร้อมทั้งกล่าวคำอธิบายในเนื้อหาของงานศิลปะ ในภาพต่างๆ ให้ฉันฟัง
“คุณยายได้ไปชมงานแสดงผลงานของศิลปินแต่ละท่านๆ มาโดยตลอดเลยหรือคะ” ฉันเอ่ยปากถาม..
หญิงชราผู้ใจดีกล่าวอย่างแย้มยิ้มว่า “เปล่าหรอกค่ะ ลูกสาวของยายอธิบายให้ฟังอีกทีหนึ่งค่ะ”
ด้วยเธอเห็นฉันเป็นคนผู้ทำงานศิลปะนั่นเอง เธอจึงเรียกให้ฉันไปชื่นชมภาพเหล่านั้น
เพียงแค่ได้เห็นภาพจากในไอแพด ฉันเห็นถึงคุณค่าอันสูงส่งของงานศิลปะที่มีต่อจิตใจของมนุษย์ ฉันเห็นถึงคุณค่าแห่งเนื้องานที่ได้ถูกรังสรรค์ออกมาจากก้นบึ้งในหัวใจของผู้สร้างงาน
เมื่อเห็นความเบิกบานใจและแววตาของหญิงชรา ฉันรับรู้ถึงหัวใจที่พองโตไปด้วยความสุข ในบทบาทของความเป็นแม่ผู้ภาคภูมิใจกับความสุขและความสำเร็จของชีวิตคนผู้เป็นลูก
ในวันถัดมา ขณะที่ฉันกำลังยืนล้างมือ และมองเข้าไปในกระจก ใบหน้าอันปราศจากการแต่งแต้มใดๆ ทำให้ฉันนึกขอบคุณบุคคลที่เป็นผู้คิดค้นเครื่องสำอางค์ ขึ้นมาบนโลกใบนี้ คิดถึงแก้มอันแดงระเรื่อ และริมฝีปากอันมีสีสดสวย ที่ช่วยสร้างความมีชีวิตชีวาให้กับใบหน้าของสตรียิ่งนัก
ในยามบ่าย…บนแนวเส้นทางแห่งการเดินจงกรมนั้น ช่างดูเวิ้งว้างและแสนไกลในความรู้สึก สายตาของฉันจับต้องอยู่เพียงปลายเท้าของคนที่เดินอยู่ข้างหน้า บนผืนดินที่กำลังเหยียบย่ำนั้นเต็มไปด้วยใบไม้ที่ร่วงหล่น มีทั้งใบสีเหลือง สีเขียว และสีน้ำตาลเข้ม
การตายของคนเราก็ไม่ต่างจากใบไม้ร่วงเหล่านี้ ไม่ว่าวัยเด็ก วัยหนุ่มสาว และวัยชรา ทุกๆ คน มีโอกาสแห่งความตายเทียบเท่ากัน…
ในช่วงเวลาที่ฉันได้พาตนเองมายังสถานที่อันสงบสบายแห่งนี้เพื่อจำกัดตนเองให้พ้นจากความอิสระที่เคยมีในชีวิตประจำวันอันเป็นปกติ เพื่อจำกัดตัวเองให้อยู่ในกรอบของการรักษาศีลและการภาวนา
รอบกายของฉันไร้เสียงแห่งการพูดคุยใดๆ ต่อกันอีกต่อไป
ฉันกำลังมาเพื่อปฏิบัติธรรม อันเป็นสิ่งที่ฉันได้กระทำมาในทุกๆ ปี
ฉันเห็นเรื่องต่างๆ ที่หมุนเวียนเข้ามาในความคิดของตนเองเรื่อยๆ อย่างไม่จบสิ้น
ฉันรับ อาการของความคิด เหล่านั้น และดึงจิตใจกลับมาสู่คำภาวนา
คอยให้ฉันออกไปจากที่นี่ก่อนเถอะ!!!! เจ้าความคิดต่างๆ นานา ทั้งหลายเอ๋ย… เมื่อถึงตอนนั้นฉันจะจับเจ้าลงไปในงานปั้นของฉัน ฉันจะปั้นงานใหม่ๆ ให้เต็มตู้ของรักของฉันเชียวละ!!!
ถ่ายภาพโดย : มณีดิน
รู้จัก… องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews