คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม
ฉันเริ่มเขียนจดหมายถึงตัวเองเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา ช่วงเวลาที่คิดเขียนจดหมายถึงตัวเองขึ้นมานั้น เป็นช่วงเวลาของการที่ได้อยู่กับตัวเองอย่างแท้จริงของฉัน
มันอาจเป็นยามดึกดื่น..ที่ฉันได้ฉุกคิดเรื่องบางเรื่องขึ้นมาอย่างกะทันหัน ไม่ว่าจะสุขทุกข์หรือเหงาเศร้า ฉันก็ทำหน้าที่เฝ้าปลอบโยนให้กับตัวของตัวเอง
จดหมายที่เขียนขึ้นมานั้น เป็นเหมือนเครื่องมือชนิดหนึ่งที่ฉันสร้างขึ้น
เครื่องมือที่จะบอกถึงความ “รักตัว” และอยากจะ “เตือนตัว”
ฉันเป็นคนที่มีใจรักในเรื่องราวของจดหมาย..
ฉันมีความทรงจำเกี่ยวกับจดหมายหลายต่อหลายฉบับที่ได้ส่งมาถึงฉัน จากวัยเด็กเป็นจดหมายจากพ่อและแม่ที่ส่งมาจากกรุงเทพฯ
ครั้นเมื่อไปอยู่กรุงเทพฯ ฉันก็เคยได้รับจดหมายจากย่าที่เขียนเป็นเศษกระดาษน้อยๆ พับแอบไปกับจดหมายที่ย่าเขียนถึงพ่อกับแม่ ย่าเขียนถึงฉันโดยแอบแนบไปในซองเดียวกัน
เมื่อเติบโตขึ้นมาเป็นสาว ฉันก็เริ่มได้รับจดหมายรัก..
จดหมายรักจากเด็กหนุ่มรุ่นพี่ ที่เพียงแค่เดินสวนกันในตอนแรก และฉับพลันก็เปลี่ยนเป็นมาเดินตามฉัน ขอที่อยู่ไปและเฝ้าเพียรส่งจดหมายรักที่โรยด้วยแป้งหอมมาในจดหมายที่พับไว้ ในแทบทุกฉบับ
จดหมายจากเพื่อน จดหมายจากครู ฯลฯ ฉันยังจดจำถึงการเฝ้ารอคอยเสียงรถของบุรุษไปรษณีย์ ที่จะผ่านหน้าบ้าน
จดจำความดีใจเมื่อได้ยินเสียงชะลอรถอยู่ที่หน้าบ้านแล้วทำอะไรบางอย่างที่ตู้จดหมาย
และจดจำความผิดหวังน้อยใจเมื่อรถไปรษณีย์แล่นผ่านไป เพราะไม่มีจดหมายที่ฉันรอคอยมาถึง
นับจากวันนั้นมาถึงวันนี้ ฉันได้รับจดหมายน้อยลง หรือแทบไม่ได้รับอีกเลย
ตู้จดหมายของฉันมีเพียงบิลค่าโทรศัพท์ ค่าน้ำค่าไฟ และจดหมายเชิญไปงานจิปาถะ อีกเล็กน้อยที่ส่งมาถึง
ตู้ไปรษณีย์สีแดงที่หน้าบ้าน ดูอบอุ่นเมื่อถูกห้อมล้อมด้วยเถาของดอกอัญชัน กับบุรุษไปรษณีย์ที่ผ่านมา..และก็ผ่านไป
คนที่เคยรักและคิดถึงฉันเหล่านั้นหายไปไหนกันหมด…
วันเวลาผ่านไป ยุคสมัยเปลี่ยนแปลง เรื่องราวของการเขียนจดหมายดูเหมือนจะงดงามอยู่แค่ในความทรงจำ
ฉันจึงเริ่มเขียนจดหมายถึงตัวเอง..
จดหมายถึงตัวเองทั้งหมดของฉัน ถูกเขียนขึ้นต่างวันต่างเวลา เพื่อเป็นการสนทนากับตัวเอง และปลอบใจตัวเองเมื่อคราวมีทุกข์
หรือบอกเตือนตัวเองในเรื่องบางเรื่อง…
และเป็นการรำลึกถึงการที่จะได้เขียนจดหมายถึงใครสักคน..ซึ่งใครคนนั้นมิได้มีตัวตนที่ฉันจะรู้สึกถึงได้อีกแล้ว
สิ่งที่ฉันจะทำได้ดีที่สุด ก็คือการเขียนมันถึงตัวเอง
(จดหมายถึงตัวเองฉบับที่ ๑)
๒๔ กันยายน ๒๕๕๕
ฉันอยากเขียนจดหมายรักสักฉบับ..
และคนที่ฉันอยากเขียนถึงเป็นที่สุดนั้น
คือ ตัวของฉันเอง
(จดหมายถึงตัวเอง ฉบับที่ ๒)
๙ ตุลาคม ๒๕๕๕
เธอสบายดีไหม..ฉันสบายดี
คืนนี้ที่บ้านของเธอคงมีฝนตก
ฉันเดาว่าเธออาจกำลังนอนฟังเสียงฝน
ที่ตกเปาะแปะลงบนใบไม้รอบๆ บ้าน อย่างอ่อนโยน
หรือเธออาจกำลังหลับฝัน
เรื่องยามหลับฝันของเธอคงมีไม่กี่อย่าง
นอกจากฝันว่า หมาของเธอหายไป ในเวลาที่เธอรู้สึกวิตกกังวล เกิดความไม่มั่นคง
หรือฝันเห็นปลาสีเงินแสนสวยตัวเป็นประกายแสงวิบวับ ที่มานอนอยู่ในอุ้งมือของเธอ ในเวลาที่เธอมักจะพบกับเรื่องดีๆ..
ชีวิต..ก็เป็นอย่างนี้เองแหละ บางเรื่องที่เหมือนจะคาดการณ์ได้ แต่มันก็เอาแน่ไม่ได้
บางเรื่องที่เหมือนจะควบคุมได้ แต่บางทีมันก็ควบคุมไม่ได้เช่นเดียวกัน แม้ว่าเธอจะทั้งอ่อนไหวและเข้มแข็งเป็น
นอนต่อเถอะ..ฉันก็จะนอนต่อแล้วเหมือนกัน
(จดหมายถึงตัวเอง ฉบับที่ ๓)
๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๕
เธอสบายดีไหม..
ฉันสบายดี
ฉันอยากจะบอกกับเธอว่า “ใครๆ ก็ไม่ชอบเรื่องเศร้าๆ หรอกนะ”
แต่คนเราก็ต้องเจอเรื่องเศร้าๆ กันทุกคน
แม้ความเศร้าของเพื่อน ก็กลายเป็นความเศร้าของเราด้วย
จะทำอย่างไรได้ล่ะ คนแต่ละคนต่างก็มีชะตากรรม
ชีวิต..ไม่ได้ยืนยาวนักหรอกนะ
ตั้งใจทำในสิ่งที่เป็นหน้าที่ของเธอให้ดีที่สุดเถอะ
รักษาพลังใจของเธอไว้
เธอช่วยใครไม่ได้
แค่เขาเห็นเธอไม่ทุกข์ นั่นแหละ..ช่วยเขาแล้ว “เชื่อสิ !! “
(จดหมายถึงตัวเอง ฉบับที่๔)
๖ ธันวาคม ๒๕๕๕
เธอสบายดีไหม..
“ฉันสบายดี”
ฉันหยิบกระดาษกับปากกาขึ้นมาเพราะว่าคิดถึงเธอ..
นอกนั้น..ฉันก็ยังไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรถึงเธอเลย
อ้อ..เธอจำลุงจักรยานที่ฉันเคยเล่าให้ฟังได้ไหมล่ะ ??…
พักนี้ ลุงชอบมานั่งที่ร้านหน้าท่า แทบทุกวัน
เวลาเจอกัน ลุงก็จะถามซ้ำเหมือนเดิมว่า
“หมานั่นซื้อมาเหรอ ตัวผู้หรือตัวเมีย มีลูกไหม…”
คนแก่ๆ..ถามซ้ำอยู่อย่างนั้นทุกที
ฉันก็ตอบแกไปซ้ำๆ อย่างนั้นเหมือนกัน
บางทีฉันเห็นคนแก่ๆ ฉันก็อดนึกไม่ได้ว่า เขาจะกลัวความตายไหม
แล้วฉันก็วก กลับมาถามตัวเอง..
ตอนนี้ดอกปีบ และดอกชงโคกำลังออกดอกพราวเต็มต้น ร่วงเต็มไปหมดที่นอกชาน กวาด…จนขี้เกียจจะกวาด
ป.ล. ฉันก็กลัวตายเหมือนกันแหละ แต่ถ้าเลือกได้ ขอให้มีคนที่ฉันรักและรักฉัน มาจับมือและโอบกอดฉันไว้ตอนนั้น..
ฉันว่าจะดีมากๆ นะ
(จดหมายถึงตัวเองฉบับที่ 5)
๒ มิถุนายน ๒๕๕๗
เธอสบายดีไหม…
“ฉันสบายดี”
ฉันว่างเว้นจากการเขียนจดหมายถึงเธอไปเสียเป็นปี..นานมากที่ไม่ได้เขียนถึงกัน แต่ฉันก็คิดถึงว่าจะเขียน..จะเขียนอยู่เสมอ
หมาของเธอตายจากไปแล้วเมื่อปีก่อน..แล้วเธอยังคงฝันว่าหมาของเธอหายไปอีกหรือเปล่า..
ที่บ้านป่าดอกไม้ของเธอตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง ต้นดอกไม้ต่างๆ สูงจนกลายเป็นป่าหรือยัง
ฉันยังจำได้ถึงกาฝากที่ต้นกาหลงหน้าบ้าน ที่นกเอามาฝากไว้ เธอตื่นเต้นดีใจเหลือเกินคอยเดินไปเดินมาเฝ้ามองดูมันอยู่แทบทุกวัน
ผืนดินรอบๆ บ้านของเธอคงเต็มไปด้วยใบไม้และกลีบดอกไม้ที่ร่วงหล่นทุกๆ วัน ชงโคเอย แก้วเอย ลั่นทมเอย พุดน้ำบุศย์สีเหลืองอร่ามเอย
กลีบเล็กจิ๋วๆ ของดอกมะขามนั่นก็อีก..แม้ดินที่บ้านของเธอก็ยังเป็นดินที่ได้มาจากการย่อยสลายของกลีบดอกไม้
แล้วต้นของดอกไม้ก็ได้ดูดกินอาหารจากดินอันหอมอุ่นนั้นกลับเข้าไปอีก แล้วร่มเงาของมันก็กลับมาโอบล้อมบ้านของเธอ..บ้านที่อยู่ในป่าของดอกไม้
แล้วเธอได้เขียนเรื่องสั้นอีโรติก เรื่องใหม่บ้างหรือยังล่ะ..ฉันได้อ่านเรื่องแรกของเธอเมื่อนานมาแล้ว ฉันชอบที่เธอจบแบบหักมุมตอนท้ายเรื่องมากที่สุดเลย แต่ฉันว่ามันคงจะไม่ง่ายเท่าไรใช่ไหม กับการที่จะเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับความรู้สึกทางเพศให้มันสวยงามและน่าติดตาม
แต่ฉันก็จะรอนะ..ฉันไม่ค่อยเห็นใครเขียนเรื่องพวกนี้กันมากมายซักเท่าไร เขียนเถอะ เขียนอย่างที่เธออยากเขียน ฉันขออวยพรให้เธอได้มีหนังสือในฝันเรื่องสั้นอีโรติกเล่มเล็กๆ สักเล่ม มีภาพหน้าปกที่สวยงาม มาวางไว้ในตู้ของรักอยู่คู่กันกับงานปั้นหญิงสาวมากมายของเธอนะ
อีกหน่อย..อาจมีใครๆ มายืนชะเง้อชะแง้มองเข้าไปในตู้ และเมื่อใครหยิบหนังสือนั่นขึ้นมาเปิดอ่าน…ก็เหมือนกับได้ทำความรู้จักกับหญิงสาวดินปั้นเหล่านั้นอย่างลึกซึ้งมากขึ้น…
ผู้หญิงเราจะทำอะไรได้มากไปกว่านี้ล่ะ
แค่การได้คิดถึงเรื่องความรัก กับชายหนุ่มที่แสนงามในความฝัน นั่นก็วิเศษแล้ว..
โอ๊ย..แค่คิด ใจฉันก็กระโดดโลดเต้นไปกับเธอแล้วละ
ป.ล. ฉันกำลังคิดทำโปสการ์ด สวยๆ แล้วเขียนส่งมันไปให้เธอนะ
ถ่ายภาพโดย : ชาญชัย แซ่ฉั่ว
รู้จัก… องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews