ART EYE VIEW—ใครที่มีอาการกำเริบ เหตุเพราะ “ภูมิแพ้กรุงเทพฯ” ดังเพลงของนักดนตรีเพลงร็อก ป้าง – นครินทร์ กิ่งศักดิ์ ยามนี้อาจกำลังมองหาสถานที่โล่งๆ ในชนบทที่ไหนสักแห่งช่วยเยียวยาอาการ
ในทางกลับกัน หลายคนที่กำลังเกิดอาการ “ภูมิแพ้น้องขมิ้น” ทายาทคนเดียวของป้าง ผู้กำลังกุมหัวใจพวกเขาไว้ด้วยหน้าตาที่น่ารักน่าชังตามวัยและผลงานภาพวาดอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวซึ่งทยอยให้ชมทางหน้าเพจ Kamin gallery ได้ส่งสารมาทาง ART EYE VIEW ว่า ช่วยไปทำเรื่องราวของน้องขมิ้นมานำเสนอได้ไหม เพราะอยากรู้จักให้มากกว่าที่เคยรู้จักผ่านหน้าเพจ หลังจากที่ติดตามผลงานมาแล้วระยะหนึ่ง
ด.ญ.ขมิ้น กิ่งศักดิ์
ในวันที่ผลงานภาพวาดแมว วาดด้วยเทคนิค ระบายสี 2 มือของน้องขมิ้น เริ่มเปิดประมูลทางหน้าเพจ เพื่อนำรายได้ไปช่วยเหลือแมวเจ็บ แมวจร ผ่านโครงการรักษ์แมว
เราได้มีโอกาสไปพบน้องขมิ้น ขณะที่เพิ่งกลับมาจากโรงเรียน ณ หมู่บ้านคฤหาสน์ทายาท ย่านเมืองทองธานี
เด็กหญิงวัย 9 ขวบ ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ชั้น ป.4 โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยรังสิต ได้ออกมาต้อนรับพร้อมคุณแม่ (อนุตรา กิ่งศักดิ์) ซึ่งมีอาชีพเป็นครูสอนเปียโน
ดวงตาและรอยยิ้มบนใบหน้าของเด็กหญิงบอกให้รู้ว่า เธอรู้สึกดีใจและเต็มใจเป็นยิ่งนักกับการที่จะมีคนไปพูดคุยกับเธอเรื่องการวาดภาพ
เพราะการวาดภาพเป็นหนึ่งในงานอดิเรกที่น้องขมิ้นชื่นชอบมาตั้งแต่เล็กๆและขลุกอยู่กับมันได้ทั้งในยามที่ร่างกายสบายดีหรือไม่สบาย ดังที่คุณแม่คนสวยผู้เป็นคนทำหน้าที่อัพโหลดผลงานของลูกขึ้นหน้าเพจ แต่ไม่ชอบเปิดเผยใบหน้าออกสื่อ เคยเล่าให้แฟนเพจได้ทราบว่า
“เมื่อตอน 6 ขวบกว่า ศิลปินน้อยเคยท้องเสียมากจนต้องเข้าไปนอนให้น้ำเกลือที่โรงพยาบาลหนึ่งคืน แล้วเธอก็ขอวาดรูปทั้งๆที่เข็มน้ำเกลือติดอยู่ที่แขน พ่อแม่ถึงกับอึ้ง ทั้งสงสารทั้งภูมิใจ”
หรือในครั้งล่าสุดที่ไม่สบาย ไม่สามารถไปโรงเรียนได้ต้องพักอยู่บ้าน แต่น้องขมิ้นก็ยังหยิบปากกาขึ้นมาวาดภาพ และมีอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อรู้ว่ามีแฟนเพจจำนวนมากรอชมผลงานของเธออยู่
บทสนทนาแรก คุณพ่อป้างซึ่งในวันนั้นว่างอยู่บ้านเป็นเพื่อนลูกเช่นกัน ได้บอกถึงเหตุที่ตั้งชื่อลูกสาวว่า “ขมิ้น” ซึ่งเป็นทั้งชื่อจริงและชื่อเล่นว่า
“ผมคุยกับภรรยาว่าอยากได้ชื่อไทยๆ ที่ออกเสียงหรือเขียนเป็นภาษาอังกฤษแล้วไม่เยิ่นเย้อ เพราะกะว่าจะให้เค้าเข้าเรียนในโรงเรียนที่มีการเรียนการสอนภาษาอังกฤษครึ่งหนึ่งด้วย เวลาครูฝรั่งเรียกจะได้ไม่งง จึงอยากตั้งชื่อลูกเป็นชื่อไทยๆที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษได้ง่ายๆแล้วกัน”
ขณะที่จุดเริ่มต้นของความชอบในการวาดภาพ คุณแม่เล่าว่า “ตั้งแต่เขาจับปากกาเป็น เขาก็วาดมาตลอด วาดทุกวัน และชอบมากๆ ตอนแรกๆ ก็วาดไม่ได้สวยอะไร แต่ก็จะวาดทุกวันเลยค่ะ”
พ่อป้างยอมรับว่าเห่อผลงานลูก อยากจะอวดให้คนอื่นได้ชม และอยากจะใช้เป็นอีกทางเลือกในการสร้างความสุขให้กับแฟนเพลงของตนเอง จึงได้ทยอยอวดผลงานลูกผ่านหน้าแฟนเพจของตนเองก่อน
Kamin gallery อ้างอิงผลงานในอนาคต
จนกระทั่งในเวลาต่อมา เมื่อหน้าแฟนเพจของตนเองมีแฟนคลับน้องขมิ้นมากขึ้น จึงได้ตัดสินใจทำหน้าเพจอวดผลงานลูกโดยเฉพาะ
“ผมมีความรู้สึกว่า การมีแฟนเพจให้เขา มันเป็นเหมือนที่ไว้อ้างอิงผลงานเขาในอนาคตด้วย สมมุติว่าเขาจะไปศึกษาต่อ ไปทำงานอะไรก็แล้วแต่ สิ่งนี้มันช่วยอ้างอิงผลงานเขาด้วยอีกทางหนึ่ง
แต่ก่อนหน้านี้ผมได้แนะนำผลงานเขามาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ช่วงอายุ 5-6 ขวบ ก็จะชอบเอาทั้งภาพเขาและผลงานไปลงในแฟนเพจของผมเอง ลงมาเรื่อยๆ จนถึง 8 ขวบ
ตอนแรกก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะทำเป็นหน้าเพจผลงานเขาอะไรจริงจัง แค่อยากอวดผลงานลูกในหน้าเพจของเราเอง พออวดไป คนตามเยอะ คนเป็นพ่อก็รู้สึกดี และในเวลาต่อมาเริ่มรู้สึกด้วยว่า การวาดภาพ เป็นสิ่งที่เขาโดดเด่นมาก ในบรรดางานอดิเรกที่เขาทำทั้งหมด จึงคิดว่าเราน่าจะส่งเสริมเขาด้วยหน้าเพจนี้ไปเลย”
หน้าเพจ Kamin gallery ซึ่งเปิดมาเพียง 2 อาทิตย์ แต่ในเวลานี้มีแฟนเพจมากกว่า 10,000 คนแล้ว ซึ่งพ่อป้างบอกว่าส่วนหนึ่งอาจเป็นคนที่เคยเป็นแฟนคลับน้องขมิ้นในหน้าเพจของตนเองอยู่แล้วด้วย
เด็กหญิงช่างสังเกต
และเมื่อถูกถามว่า คิดว่าลูกสาวได้รับอิทธิพลหรือแรงบันดาลใจในเรื่องการวาดภาพมาจากใคร ทั้งที่ตัวคุณพ่อเองก็วาดภาพไม่เป็น แม้ว่าที่ผ่านมาจะเป็นคนออกแบบหน้าปกอัลบั้มเพลงทุกชุดด้วยตนเอง
“มันมาจากตัวเค้าเองเลยครับ และจากที่ผมคอยสังเกตทุกสิ่งที่เค้าวาด เค้าวาดจากจินตนาการเค้า ไม่มีแบบ ผมชอบตรงนี้ เพราะเหมือนเค้าสร้างอะไรใหม่ขึ้นมา ไม่ได้วาดโดยมีแบบจากรูปภาพ ไม่ได้วาดจากสิ่งที่เห็น เค้าวาดจากสิ่งที่เป็นจินตนาการของเค้า
ภาพของเค้าหลายๆภาพ เลยเป็นภาพนกที่มีหางแปลกๆ เป็นคนที่มีหัวเป็นต้นไม้ เหมือนเป็นสิ่งที่เค้าสร้างขึ้นมาอีกที”
ขณะที่คุณแม่แสดงความเห็นว่า สิ่งที่ลูกสาววาด น่าจะเป็นผลมาจากความเป็นเด็กช่างสังเกตและรักธรรมชาติ
“ตั้งแต่เล็กๆ เห็นมด เห็นแมลง เห็นไข่ หรือเห็นอะไร เค้าจะเข้าไปจ้อง บอกเราว่าแมลงชนิดนี้มันแปลกนะแม่ หรือมันเป็นยังงี้ๆ เค้าจะชอบไปสังเกตตลอด ชอบสังเกตสิ่งเล็กๆน้อยๆมาก และ จะเป็นคนที่ชอบดอกไม้มาก คุณแม่มีความรู้สึกว่า เค้าจะชอบในสีสัน ในความสวยงามของมัน แล้วเค้าก็จะจดจำ
และเค้าจะชอบวาดอะไรที่แปลกๆ ถ้าเป็นเด็กปกติทั่วไป อาจจะชอบวาดภาพการ์ตูนญี่ปุ่น หรือ บ้าน นก คน ฯลฯ ที่มีหน้าตาปกติอย่างที่เรามองเห็น แต่ของเค้าจะต้องแปลกกว่านั้น แล้วบางทีก็มีรายละเอียดของลายเส้น หรือสีสันที่โดดเด่นมาก”
แมวน่ารัก น่าสงสาร
เมื่อหันไปถามเด็กหญิงเจ้าของผลงานบ้างว่า ชอบวาดภาพอะไรมากที่สุด
น้องขมิ้นตอบทันทีว่า “ชอบวาดสัตว์ค่ะ”
และเมื่อส่งคำต่อไปว่า “น้องขมิ้นชอบสัตว์ชนิดไหนมากที่สุดคะ” เพราะล่าสุดนอกจากภาพแมวที่ประมูล คุณแม่ของเธอเพิ่งจะโพสต์ภาพแพนด้าร้องไห้ ผู้มาจากเมืองจีน แต่เดินทางไปทั่วโลก ที่น้องขมิ้นวาดตอนอายุ 8 ขวบ 8 เดือนให้ชม
“แมวกับหมาค่ะ เพราะว่ามันน่ารัก”
พ่อป้างและคุณแม่เล่าว่าที่มาของการประมูลภาพช่วยแมว เพราะมีคนของโครงการรักษ์แมว เข้ามาเห็นภาพแมวอีกภาพของน้องขมิ้นที่โพสต์ไว้ทางหน้าเพจ จากนั้นจึงได้ส่งข้อความมาขอภาพ หรือจะให้ซื้อก็ยินดี เพื่อนำไปประมูลช่วยแมวต่อไป
“ก็เลยบอกขมิ้น เค้าเลยบอกว่า เดี๋ยวเค้าวาดให้ใหม่ และบอกว่าไม่คิดสตางค์ เพราะเค้าชอบที่จะช่วยสัตว์อยู่แล้ว”
ดังนั้นภาพวาดแมวของน้องขมิ้น ซึ่งวาดเพื่อประมูลหารายได้ช่วยแมว ด้วยเทคนิคระบาย 2 มือ และ 2 สี คือเหลืองอ่อนและเหลืองเข้ม เพื่อให้สีเบรนกันจนเกิดเป็นมิติในภาพ จึงวาดออกมาด้วยความรู้สึกสองด้านที่น้องขมิ้นมีต่อแมว สัตว์ที่เด็กหญิงรักและชอบวาดมากกว่าภาพตุ๊กตาบลายด์ ของสะสมของคุณแม่ เสียอีก
“หนูสงสารเพราะว่ามันลำบาก แต่ที่หนูชอบมันเพราะว่ามันน่ารัก”
และแม้น้องขมิ้นจะบอกว่าที่ผ่านมา “หนูไม่เคยเลี้ยงแมวแต่หนูเคยเห็นตัวจริง”
วาดจินตนาการ ด้วยปากกาปลายพู่กัน
ส่วนอุปกรณ์ที่น้องขมิ้นใช้สำหรับวาดภาพในตอนนี้ คือ Brush Pen หรือ ปากกาปลายพู่กัน
“เริ่มมาจากการทดลองใช้ในวิชาศิลปะที่โรงเรียน ปรากฎว่าเค้าชอบ พอที่บ้านไม่มี เค้าก็เลยมาบอกคุณแม่ว่าอยากให้ซื้อ ก็เลยถามคุณครูว่าเป็นแบบไหน หลังจากนั้นเค้าก็ใช้สิ่งนี้วาดมาตลอด และวาดด้วยความมันมาก(หัวเราะ)
แต่ว่าสีอะคริลิคเค้าก็เคยใช้วาด แต่ไม่ค่อยได้วาดค่ะ น้อยมาก สีน้ำก็เคย แต่เหมือนว่า Brush Pen เค้าถนัดมากกว่า หลักๆตอนนี้เค้าเลยใช้สิ่งนี้ อาจจะง่ายสำหรับพกพาด้วย” คุณแม่อธิบาย
อยากเป็นศิลปิน
แม้จะรู้ดีว่าเด็กหญิงมีความสุขและสนุกกับการวาดภาพมากแค่ไหน และเชื่อว่าทั้งคุณพ่อและคุณแม่ของเธอพร้อมจะให้การสนับสนุนหากวันหนึ่งวันหน้าเธออยากจะเป็นศิลปินทางด้านนี้ขึ้นมาจริงๆ แต่เราก็อดที่จะย้ำถามไม่ได้ว่า
“พอถึงตอนนี้ หนูวาดภาพ เพราะว่ามันสนุก มีความสุข หรือว่าก็นึกอยากเป็นศิลปินอยู่บ้างเหมือนกัน”
น้องขมิ้นตอบอย่างมั่นใจว่า “อยากเป็นศิลปินค่ะ”
เพราะอะไรน่ะหรือ เด็กหญิงตอบว่า “เพราะว่าหนูชอบวาดรูป และหนูชอบใช้ความคิด”
นอกจากนี้เธอยังบอกอีกด้วยว่านอกจากโชว์ผลงานทางหน้าเพจ มีโอกาสยังอยากจะจัดนิทรรศการด้วยเหมือนกัน ขณะที่คุณแม่บอกว่า
“ยังไม่คิดถึงขั้นนั้น พอเค้ามีหน้าเพจ ยอมรับว่าเค้าสนุกมากๆเลย เพราะว่าที่ผ่านมาใครมาบ้าน ก็ต้องจูงมาดูผลงาน หรือว่าเวลาที่คุณพ่อเค้าเอาไปลงหน้าเพจของตัวเอง ขมิ้นก็จะบอกว่า อย่างนี้สวย เค้าอยากจะโชว์ อยากจะให้คนเห็นภาพเค้า และแสดงความเห็นว่าเค้าวาดสวยไม๊
อย่างตอนนี้พอมีหน้าเพจ เหมือนกับเค้ามีความมั่นใจ เค้าอยากวาดให้คนเห็น วาดทุกวัน”
อย่างไรก็ตาม น้องขมิ้นก็ยังมีงานอดิเรกอื่นๆที่ต้องทำควบคู่กันไปด้วยเช่นกัน อาทิ เล่นเปียโน เล่นไวโอลิน ตีแบด ว่ายน้ำ ฯลฯ
และเมื่อถูกถามว่า “ไม่อยากเป็นนักดนตรีเหมือนคุณพ่อบ้างหรือคะ” น้องขมิ้นส่ายหน้าพลางตอบว่า “ไม่สนุก หนูแค่อยากเล่นๆเฉยๆ”
“คุณพ่อมีคนชื่นชอบเยอะเลยนะ” เด็กหญิงยังคงมีคำตอบที่ชัดเจน “หึ.. หนูไม่อยากเป็น”
“แล้วหนูเคยฟังเพลงคุณพ่อบ้างหรือเปล่า ตั้งหลายเพลง ชอบเพลงไหนคะ”
เด็กหญิงหยุดคิด แล้วเฉลยออกมาว่า “แค่ล้อเล่น”
และเมื่อถามถึงเพลง “ภูมิแพ้กรุงเทพฯ” ที่แม้จะไม่ใช่เพลงที่เธอชอบที่สุด แต่เวลาที่ได้ฟังเธอรู้สึกอย่างไร และคิดว่าคุณพ่ออยากบอกอะไร
“ภูมิใจ” เด็กหญิงตอบ
ก่อนที่เราจะหันมาถามพ่อป้างอีกครั้งว่า ที่ผ่านมาเคยแต่งเพลงที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากลูกบ้างหรือไม่
“เคยคิดจะแต่งเพลงสำหรับเขาโดยเฉพาะเลยครับ อยู่ในหัวนานแล้วครับ แต่ว่าอยากให้เค้าโตพอที่จะซึมซาบมัน ตอนนี้เค้ายังเด็ก แต่งให้เค้าฟัง อาจจะซึมซาบได้ยังไม่มากพอ คิดว่าถ้าเค้าโตพอที่จะซึมซาบแล้ว ผมจะแต่งให้เค้า”
และบอกด้วยว่าไม่รู้สึกเสียใจเลยสักนิดที่ลูกไม่ชอบเป็นนักดนตรีเหมือนตนเอง
“ผมคิดว่า อะไรคือความสุขของเค้า เราต้องให้เค้าเป็นตัวเอง ไม่มีการไปตีกรอบใดๆ ทั้งสิ้น
และในการเลี้ยงดู Concept หลักๆที่ผมพูดกับแม่เค้าไว้คือ ด้วยความที่ผมเป็นนักดนตรี แม่เค้าเป็นครูเปียโน ผมจะบอกแม่เค้าว่า อย่าตีกรอบให้ลูกนะ ว่าลูกต้องเป็นนักดนตรีด้วย แต่สอนดนตรี สอนเปียโน สอนไวโอลินให้ลูกได้ ตามสบาย แต่อย่าตีกรอบให้เค้า ไม่รู่สิ ผมอยากทำดนตรีมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว ถ้าแม่ของผมฝืน ป่านนี้ผมคงมีความทุกข์มากเลย แต่แม่สนับสนุนไงครับ
ผมก็เลยเป็นพ่อที่ต้องสนุบสนุนในสิ่งที่ลูกเค้ารัก ส่งเสริมเค้าให้มากที่สุด อะไรที่เค้าทำ แล้วรู้สึกว่ามันเป็นการฝึกจินตนาการเค้า ผมจะปล่อยให้เค้าทำนะ ถ้าเค้าชอบทดลองวิทยาศาสตร์มาก บางทีก็ซื้อหนังสือเกี่ยวกับการทดลองทางวิทยาศาสตร์มาให้ หรือเค้าชอบประดิษฐ์ เราก็ให้เค้าทำ บางทีมันอาจจะเลอะบ้านบ้าง แต่ถ้าเค้ากำลังใช้จินตนาการ เราต้องปล่อยเค้า”
และหากต้องขลุกอยู่กับลูกในเวลาที่ลูกทำงานศิลปะ คุณพ่อนักดนตรีก็จะมีวิธีให้คำแนะนำ หรือสร้างบรรยากาศให้ลูกในแบบของตนเองว่า
“สมมุติว่าเราดูทีวี หรือไปเที่ยว แล้วเห็นศิลปะอะไรที่สวยๆ จะเรียก จะชี้ให้เค้าดู ว่าอันนี้สวยนะลูก ถ้าถูกใจ เค้าก็จะจ้องมอง เก็บรายละเอียด และบอกเค้าว่าอะไรที่เรามีความสุข เราทำไปเลย พ่อไม่บังคับใดๆทั้งสิ้น ส่งเสริมและแนะนำบ้าง แต่หลักใหญ่ๆแล้ว มันมาจากข้างใน ของเค้าเองเลย สิ่งเหล่านี้
เค้าเคยไปเรียนศิลปะบ้าง ครั้งเดียวเองมั้ง คอร์สนึง ช่วงปิดเทอม แต่จริงๆแล้ว ส่วนใหญ่ ก่อนไปเรียน หรือกลับจากเรียน เค้าวาดรูปอยู่แล้ว”
และเมื่อใดก็ตามที่มองไปเห็นมุมนี้ของลูกสาว พ่อป้างยอมรับว่ายังเห่อเหมือนช่วงแรกๆ
“เห่อครับ เห่อแน่ๆ เรารู้สึกว่าสิ่งที่เค้าทำ มันโดดเด่นกว่าเด็กในวัยเดียวกัน แล้วเราก็ไม่คิดหรอกว่า ลูกจะมาเป็นนักร้องอย่างพ่อไม๊ เล่นดนตรีไม๊ ไม่ๆ ลูกมีความสุขตรงนี้ พ่อสนับสนุนเต็มที่ ก็จะเป็นอย่างงั้น“
ไม่อยากให้ลูกดังเพราะพ่อดัน
กระนั้นก่อนให้สื่อสัมภาษณ์ พ่อป้างก็พยายามที่จะให้ภรรยาสอบถามหรือตรวจสอบก่อนว่า ผลงานของลูกสาวน่าสนใจพอที่จะนำไปเผยแพร่ให้คนทั่วไปรับรู้ จริงๆไหม เพราะไม่อยากให้ลูกดังเพราะพ่อดัน
“ ใช่.. เราอยากให้ผลงานเขาพูด อยากให้คนคอยสนับสนุนผลงานเค้าทางแฟนเพจผมบ้าง นอกนั้น เราอยากให้ผลงานเค้าเดินด้วยตัวเค้าเอง ควรจะเป็นอย่างนั้น”
ขณะที่งานอีเว้นต์ต่างๆที่อาจจะมีตามมา ครอบครัว “กิ่งศักดิ์” ก็ได้กำหนดขอบเขตเอาไว้ว่า
“แค่ให้เค้ารู้สึกพอใจที่จะไป แล้วสบายใจ ที่ไปร่วมกิจกรรม (ไม่อยากให้เค้าโต ดังเร็ว) ใช่… ให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ สมมุติว่ามีคนจะเอาไปออกทีวี ถ้าหนูยังไม่อยากออก ก็ไม่ต้องออก ยังอยากวาดรูปอยู่บ้าน เราจะเช็คความรู้สึกเค้าตลอด”
ส่วนแนวทางในการสนับสนุนน้องขมิ้นทางด้านศิลปะหลังจากนี้เป็นต้นไป
“ผมจะพยายามเช็คความรู้สึกเค้าตลอด เค้าอยากเป็นอะไร ยังไง อยากวาด เพราะอะไร คือจะพยายามให้มันลิงค์กับคามรู้สึกเค้า หรือสิ่งที่เค้าอยากเป็น คือผมไม่ตีกรอบไว้ให้เค้า ต้องอย่างนั้นอย่างนี้นะลูก ต้องเช็คความรู้สึกเค้าตลอด
ตอนนี้ผมจะไม่คิดอะไรมาก ต้องรอให้ความคิดเค้าโตขึ้นเรื่อยๆ การคิดอะไรมาก คือการไปตีกรอบเค้า”
และอีกไม่นานอาจจะต้องพาลูกสาวออกไปเปิดหูเปิดตาชมงานศิลปะของศิลปินคนอื่นๆตามนิทรรศการต่างๆบ้าง แต่ไม่ได้เน้นมาก เพราะทั้งพ่อป้างและคุณแม่เชื่อว่า ศิลปะมีให้พบเห็นได้ในชีวิตประจำวันของทุกคนอยู่แล้ว
“ชีวิตประจำวันทุกอย่าง มันมีศิลปะแฝงอยู่ บางทีไปเที่ยวทะเล ระหว่างทาง เห็นตึกรามบ้านช่องสวยๆ หรือเชฟต้นไม้อันนี้ นกพันธุ์นี้ คางคกพันธุ์นี้ ทุกอย่างเป็นศิลปะหมด สามารถชี้ให้เค้าเห็นได้หมดเลย
ส่วนเรื่องการออกไปชมงาน คิดไว้เหมือนกัน แต่อยากให้เค้าโตอีกสักนิดนึง เพราะแม่เค้าก็เป็นคนชอบศิลปะ อีกสักพัก ผมคิดว่าแม่เค้าน่าจะพาไปดูงานศิลปะ และถ้าว่างผมก็จะไปด้วย”
ขณะที่คุณแม่เสริมว่า “เค้าชอบดูงานศิลปะทางโซเชียลมีเดียต่างๆอยู่แล้ว เพราะว่าเดี๋ยวนี้มันง่ายมาก ไม่งั้นเค้าก็จะเห็นงานแต่พวกการ์ตูนในทีวี แต่เดี๋ยวนี้งานระดับโลก ทั้งอดีตและปัจจุบันไปถึงไหนเค้าได้รู้”
ก่อนลากลับเราถามน้องขมิ้นอีกครั้งว่า “อยากบอกไปถึงคนที่ตามดูผลงานของหนูไม๊ว่าพวกเขามีส่วนทำให้หนูมีความรู้สึกอย่างไร”
“มีความสุขค่ะ”
สั้นๆเพียงเท่านี้ แต่เชื่อว่าน่าจะทำให้ทุกคนที่ติดตามผลงานของเด็กหญิงผู้นี้อยู่ “ยิ้มกว้าง”
Text : อ้อย ป้อมสุวรรณ Photo : อนุตรา กิ่งศักดิ์
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews