คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม
ในยามเช้าของฤดูฝนเช่นนี้ ต้นไม้ใบไม้ชุ่มฉ่ำทั่วไปหมดทั้งต้นและใบ ทำให้ฉันไม่ต้องลงแรงตักน้ำใส่กาละมังเดินไปรดต้นไม้ดังเช่นเคย
และก็เป็นเวลาถึงสามอาทิตย์กว่าๆ ล่วงมาแล้วที่ฉันเกิดหกล้มข้อเท้าแพลงบาดเจ็บ จนเดินไม่สะดวกเหมือนอย่างเคย และเมื่อไปหาหมอก็ได้รับคำสั่งจากหมอว่าให้หยุดเดินและเคลื่อนไหวในส่วนที่บาดเจ็บชั่วคราวให้มากที่สุด
เมื่อคืนที่ผ่านมาอากาศค่อนข้างเย็นสบาย ฉันทายาที่ข้อเท้าที่กำลังจะหายจากอาการบาดเจ็บ และนอนฟังเสียงฝนที่หล่นกระทบลงบนใบไม้รอบๆ บ้านและต้นแก้วข้างห้องนอนอย่างอ่อนโยนที่สุด
พร้อมกับกอดหมอนข้างสีชมพูใบใหม่ที่เพิ่งซื่อมาหลับใหลไปในยามราตรี
หลังจากที่จิตใจของฉันได้พบกับความรู้สึกอันเศร้าสลดหดหู่กับข่าวของการถูกฆ่าข่มขืนสาวน้อยที่แสนน่ารักคนนั้น ฉันเฝ้าติดตามข่าวสารด้วยความสนใจใคร่รู้ และอยากให้เธอได้รับความยุติธรรมให้มากที่สุด เหตุการณ์นี้มันช่างอุกอาจเหลือเกิน กับความโหดร้ายที่ถูกหยิบยื่นมาให้กับสาวน้อยผู้นั้นในขณะที่เธอกำลังนอนหลับและต้องพบกับเหตุการณ์อันเลวร้ายและตายไปอย่างทุกข์ทรมานท่ามกลางความหนาวเหน็บเจ็บปวด..
ข่าวนี้เกาะกินใจและความรู้สึกของฉันจนหดหู่และเศร้าในหลายต่อหลายวัน ฉันรีบไปส่งสำเนาบัตรประชาชนและเซ็นกำกับคาดคำเขียนร้องขอเรื่องกฏหมายและความยุติธรรมให้กับเหตุการณ์ร้ายนี้โดยฝากไปกับดาราสาวที่รับเป็นผู้นำในการเรียกร้องเรื่องนี้ พร้อมกับโทรศัพท์ไปบอกเพื่อนผู้พี่ท่านหนึ่งซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งองค์กรอันเกี่ยวกับเด็กและสตรี ซึ่งถูกละเมิดในเรื่องทางเพศนี้เข้ามาพึ่งพิงในสถานที่ของเธออย่างต่อเนื่อง จนบางวันเธอถึงกับร้องไห้และโทรมาปรับทุกข์กับฉัน
“เราต้องช่วยกันนะ..เราต้องช่วยกันค่ะ” ฉันกล่าวกับเธอทางโทรศัพท์ ด้วยเธอมัวยุ่งอยู่กับการงานจนไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์
“ได้..ได้..ส่งที่อยู่ที่จะส่งบัตรประชาชนมาให้ด้วยนะ..เดี๋ยวจะให้ผู้หญิงที่นี่ส่งกันไปให้เยอะๆ เลย”
เสียงตามสายรับรู้เรื่องราวคร่าวๆ จากฉันและจากนั้นเธอคงไปหาอ่านเรื่องราวอันสะเทือนขวัญนี้ในเวลาต่อไป
จริงอยู่แม้ในแว่บแรกฉันก็อดนึกไม่ได้เช่นกันต่อภาพลักษณ์การแต่งกายถ่ายรูปด้วยเสื้อผ้าน้อยชิ้นที่ปรากฏตามสื่อจนชินตาของดาราสาวผู้รณรงค์ แต่ในขณะนาทีนี้นั้นความสมานสามัคคีต่อกันในสังคมนั้นสำคัญกว่าในความรู้สึกของฉัน
ฉันรู้สึกขอบคุณเธอที่รับรู้เรื่องราวด้วยหัวจิตหัวใจและความรู้สึกของลูกผู้หญิงด้วยกันและในฐานะคนที่เป็นแม่ มากกว่าจะคิดถึงภาพลักษณ์อันควรหรือไม่ควรของตัวเธอเองในตอนแรก
ความรู้สึกเจ็บปวดและสามัญสำนึกที่ต้องการช่วยเหลือนั้นทำให้ฉันรู้สึกรักและชื่นชมในตัวเธอขึ้นมาอย่างฉับพลัน และยิ่งน่าชื่นชมมากขึ้นไปกว่านั้น เมื่อเธอไปร่วมงานศพของเหยื่อสาวผู้เคราะห์ร้ายและประกาศที่จะยอมเสียรายได้ในการเลิกถ่ายภาพในชุดว่ายน้ำอันหวือหวาอีกต่อไป
จากข่าวนี้ทำให้ฉันรู้สึกหวาดกลัวและเริ่มระแวงระวังตัวมากขึ้น เพราะที่ผ่านมาตัวฉันเองก็เป็นคนชอบไปไหนๆ และไปไหนๆ ตามลำพังคนเดียวตลอด ถนนบางสายฉันขับรถไปโดยที่ไม่มีรถ หรือหมู่บ้านต่างๆ ที่ผ่านบ้านเรือนอันไม่มีคนหรือการทักทายต่อคนแปลกหน้า นั่นเป็นสิ่งปกติของฉัน
ความหวาดระแวงทำให้ฉันระมัดระวังล๊อกรถในทันทีทันใดเมื่อเข้ามาอยู่ในรถ และแม้จะอยู่ในบ้านของตัวเองก็ไม่ยอมที่จะเปิดประตูรับลมรับดินฟ้าอากาศอย่างเปิดเผยเหมือนเช่นที่เคยมา และเมื่อยามเข้าห้องนอนก็ไม่วายใส่กลอนประตูที่ติดไว้ทั้งสามอันบนบานประตูไม้จนครบทุกอัน อย่างแน่นหนา นี่นับเป็นข่าวร้ายที่สะเทือนขวัญต่อผู้คนจริงๆ
ฉันภาวนาขออย่าให้มันได้เกิดขึ้นกับใครอีกเลย
เหตุการณ์นี้ทำให้ฉันคิดย้อนไปในเรื่องราวของตัวเองในสมัยที่ฉันยังเป็นเด็กสาวและชอบไปอ่านหนังสือที่หอสมุดแห่งชาติตามลำพังมาโดยตลอด
ในวันหนึ่งที่ฉันกลับจากหอสมุดแห่งชาติและได้แวะลงไปเดินเที่ยวที่ห้างสรรพสินค้าย่านบางลำภูตามลำพัง มีชายคนหนึ่งเดินมาทักทายพูดจาด้วย ฉันพูดจาตอบไปด้วยเรื่องอันใดจำไม่ได้เสียแล้วเพราะเป็นเรื่องราวที่ผ่านมานานมาก
เพียงการทักทายพูดคุยกันไม่นานผู้ชายคนนั้นก็แสดงความปราถนาดีชวนให้กลับบ้านพร้อมกับเขาไหม เขาจะไปส่งให้ถึงบ้าน
ฉันในวัยนั้นรู้สึกกริ่งเกรงใจต่อคนที่พูดจาพาทีด้วยไมตรีดีๆ กับฉัน จึงยอมนั่งรถของคนแปลกหน้ามาได้อย่างง่ายดาย
ฉันนั่งซื่อๆ อยู่ที่เบาะด้านหลัง ผู้ชายหนุ่มคนนั้นกับเพื่อนผู้ชายอีกคนหนึ่งของเขานั่งอยู่ด้านหน้า ระยะทางจากบางลำพูมาถึงสี่แยกพรานนกนั้นไม่ไกลนัก เมื่อเขาจอดรถส่งฉันที่ปากซอย เขาทั้งสองได้พูดกำชับบอกกับฉันว่า ต่อไปน้องอย่าไปขึ้นรถใครและเชื่อใครง่ายๆ อย่างนี้อีกเด็ดขาดนะ ฉันยกมือสวัสดีและขอบคุณผู้ชายแปลกหน้าทั้งสองคนนั้น ฉันลืมเลือนเรื่องนี้ไปเสียสนิท และได้มานึกถึงเมื่อได้อ่านข่าวนี้
ในขณะเวลานั้น ที่ฉันรับปากและขึันรถของคนแปลกหน้ากลับมาง่ายๆ เพราะฉันเชื่อจริงๆ ว่า เขาปราถนาดีอยากมาส่งบ้าน และฉันยังโชคดีที่ไม่เจอะคนที่โหดร้าย ผู้หญิงนั้นเป็นเพศที่สวยงาม ความสวยงามนั้นมีทั้งคุณและโทษ เวลาที่ฉันพบใครที่หน้าตาดีผิวพรรณสะสวย แม้เป็นผู้หญิงด้วยกันฉันเองก็ยังชอบที่จะมองด้วยความชื่นชมในความงามนั้น แต่ความงามนั้นก็กลับเป็นภัยอันใหญ่หลวงด้วย หากไปตกต้องอยู่กับดวงตาของคนผู้มีจิตใจอันโหดร้ายและไม่มีความยับยั้งชั่งใจ
ฉันขอให้ดวงวิญญาณของน้องผู้นั้นไปสู่สุคติพ้นจากภัยและความทุกข์ทั้งมวล ฉันกล่าวคำอธิฐานหลังจากทำบุญในวันพระใหญ่ที่ผ่านมา และต่อหน้าหิ้งพระที่อยู่หน้าห้องนอน..
ฉันใจฝ่อห่อเหี่ยวและไม่นึกอยากโพสต์รูปภาพงานของตัวเองที่เป็นภาพหญิงเปลือยกายลงในเฟสบุ๊คเหมือนเช่นเคย ทั้งที่ในเวลาปั้นหญิงสาวนั้น ฉันเฉพาะเจาะจงจิตใจคิดแต่อยู่ในเรื่องของความเป็นผู้หญิง สรีระผู้หญิงเป็นสิ่งงดงามตามธรรมชาติ
พูดถึงเฟสบุ๊คนั้นก็เป็นที่ระบายอารมณ์ความรู้สึกต่อสิ่งกระทบส่วนตัวของฉันสิ่งหนึ่ง จากแรกๆ ที่ฉันเปิดเฟสบุ๊คขึ้นมาเพราะเมื่อกลับมาอยู่บ้านนอกเช่นนี้ ความเงียบเหงาทำให้ฉันมักออกไปนั่งที่ร้านขายอาหารตามสั่งที่ตลาดบ่อยๆ
พี่เจ้าของร้านที่นั่นเป็นผู้หญิงที่ใจดีและรักสัตว์ แค่ฉันไปนั่งกินข้าวและคุยกันเรือ่งสัตว์เลี้ยงก็พอได้คลายเหงา แต่ร้านที่อยู่ตรงกันข้ามกันนั้นเขาเปิดเป็นร้านซ่อมคอมพิวเตอร์ และมีคอมพิวเตอร์เก่าๆ สองสามเครื่องเปิดบริการให้ใช้ ฉันจึงได้เข้าไปเปิดดูข่าวสารต่างๆ จากในนั้นและในที่สุดก็รู้จักมาเล่นเฟสบุ๊คอย่างนี้
แรกๆ ก็ไป แค่สายๆ เย็นๆ..เปิดเข้าไปดูเพียงวันละแค่ชั่วโมงสองชั่วโมงแล้วก็กลับบ้าน ต่อมาฉันก็ซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์เข้าบ้าน และใช้งานอย่างเต็มเวลาแล้วแต่ใจตัวเองมานับแต่นั้น
แม้ในเฟสบุ๊คก็เช่นกัน ฉันพบเจอทั้งเหตุการณ์ที่ดีและเหตุการณ์ที่ไม่ดี อย่างเช่นเมื่อตอนหัดเล่นใหม่ๆ มีเพื่อนเพียงไม่กี่คน แม้จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่มากแล้วฉันก็ยังมีนิสัยเชื่อคนง่าย และขี้สงสารเห็นใจแม้ในคนที่ไม่รู้จักที่เข้ามาคุยตีสนิท จนถึงกับให้เงินจาการขายงานมาได้และพยายามเก็บหอมรอมริบไว้กับคนที่ไม่เคยพบไม่เคยรู้จักมาก่อนไปได้อย่างง่ายดาย จนหมดที่มี และในภายหลังก็ได้พบความจริงว่าฉันถูกหลอก
เหตุการณ์นั้นผ่านไปแล้วหลายปี เดชะบุญที่จิตใจของฉันนั้นไม่เป็นทุกข์กับเงินที่เสียไป ด้วยการคิดง่ายๆ ว่า เราให้เขาไปด้วยเจตนาที่ดีด้วยความหวังอยากจะช่วยเหลือให้เขาพ้นความทุกข์ เจตนาของฉันนั้นเป็นกุศล จึงได้คุ้มครองดวงจิตของฉันให้ไม่ทุกข์ร้ายรำพันได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ และฉันก็คิดไปเสียว่า เราอาจจะเคยมีวิบากกรรมต่อกันมาตั้งแต่เก่าก่อน
เมื่อคิดอย่างนี้ฉันก็ไม่เป็นทุกข์ และก็ยังคงเล่นเฟสบุ๊คอย่างเรื่อยๆ มา
ที่บ้านของฉันนั้นไม่ได้เปิดโทรทัศน์ และไม่เคยรับข้อมูลข่าวสารจากทางหนังสือพิมพ์ ดังนั้นการรับข่าวสารและติดต่อกับคนภายนอกส่วนใหญ่ก็มาจากทางหน้าเฟสบุ๊คนั่นเอง
เป็นเวลาหลายวันที่ฉันหมกมุ่นขุ่นมัวเมื่อรับทราบข่าวสารอันเต็มไปด้วยความโหดร้ายข่าวนี้ ฉันทั้งเป็นทุกข์ทั้งหดหู่และโกรธเกรี้ยว ความอ่อนไหวต่อการรับรู้ของฉันนั้นช่างมากมาย จนเพื่อนๆ ในโลกออนไลน์นั้นต่างรับรู้ มีบางคนตักเตือนฉันด้วยความหวังดีห่วยใย แต่ฉันก็ยังคงติดตามข่าวสารในโลกออนไลน์เกี่ยวกับข่าวนี้อย่างไม่ลดละ และได้เห็นถึงมุมมองและทัศนคติของคนที่มีต่อเรื่องร้ายเรื่องนี้ที่หลากหลาย
แต่ที่น่าตกใจคือ การได้เห็นคนที่มีความคิดเห็นผิดเป็นชอบ โดยเฉพาะจากคนที่เป็นเพศหญิงด้วยกัน ทำให้ฉันตกใจว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกับสังคมนี้ และคนนั้นมีหลายประเภทจริงๆ
การเล่นเฟสบุ๊คของฉันเมื่อแรกๆ ก็เล่นด้วยความเหงา ต่อมาฉันก็เริ่มเห็นคนหลากหลายในโลกออนไลน์
คนหลายต่อหลายคนที่ฉันรู้จักตัวจริงกันในโลกความเป็นจริงและมาพบเจอกันในนี้ คนอีกมากมายที่ไม่เคยรู้จักพบเจอกันมาก่อน
บางคนร่ำรวยสุขสบายมากมาย และเป็นคนจิตใจดีมีเมตตาน่ารัก ในทุกๆ ครั้งที่ฉันดูข่าวคราวความเคลื่อนไหวในนั้นของเขาฉันก็อดนึกไปในทุกๆ ครั้งไม่ได้ว่า นี่เองเป็นเพราะเขาทำบุญมาดี ทำบุญมาพร้อม ทุกๆ ที่เรากดไลค์หรือรับรู้เรื่องราวของเขานั่นหมายถึงให้เรารับรู้ถึงการเสวยผลบุญจากความดีงามในอดีตและปัจจุบันของเขา
บางคนก็ลำบากและตกทุกข์ จนทำให้ฉันชอบที่จะให้กำลังใจด้วยการสื่อสารความคิดดีๆ ที่เรามีอยู่ภายในส่งออกไปให้เขา บางคนก็ป่วยไข้
และบางคนก็ได้ตายจากไปทั้งที่ไม่เคยได้รู้จักพบเห็นตัวจริงกันมาก่อน หลายครั้งฉันเศร้าและน้ำตาซึมกับการต้องไว้อาลัยต่อเพื่อนที่จากไปในนี้
ในขณะที่ฉันยังหดหู่และเกรี้ยวกราดอยู่กับการรับรู้เรื่องราวของผู้คน และต่อความคิดเห็นอันขาดความเมตตาการุณย์ต่อเหยื่อผู้บริสุทธิ์นั้น
ฉันก็พบกับภาพของเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งมักมาอ่านเรื่องราวต่างๆ ที่ฉันเขียนอยู่เสมอ แต่ฉันไม่ค่อยได้อ่านเรื่องราวของเธออย่างต่อเนื่องนัก จนวันที่ฉันเห็นภาพเธอโกนผม ออกจนหมด และด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นจึงได้ย้อนกลับไปดูเรื่องราวที่ผ่านมาของเธอ จนกระทั่งได้รับรู้เรื่องราวของการเจ็บป่วย จากโรคภัยใหญ่หลวงที่กำลังคุกคาม ฉันนึกเห็นใจเธออย่างจับใจ
อารมณ์ความรู้สึกของฉันเปลี่ยนไปในฉับพลัน นึกขอบคุณที่วันนี้เวลานี้ของฉันยังเป็นวันเวลาที่ดี ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ยังเป็นวันเวลาที่ดีที่ยังมีโอกาส ยังเป็นวันเวลาที่ดีที่จะใช้โอกาสนั้นทำประโยชน์และให้กำลังใจต่อคนอื่นๆ
ฉันรีบเปลี่ยนข้อมูลที่อยู่บนหน้าเพจอันเป็นข้อมูลจากความรู้สึกแง่ลบร้ายและโกรธเคืองออกไปจนหมดสิ้น เปลี่ยนเป็นคำและภาพที่ก่อให้เกิดกำลังใจและสวยงามต่อคนที่ผ่านมาพบเห็นให้ได้ผ่อนคลายสบายใจ คลายจากความทุกข์ได้บ้างไม่มากก็น้อย
เรื่องร้ายๆ และคนที่โกรธเกรี้ยวนั้นมีมากแล้วในสังคม
ฉันรีบถอนตัวออกจากการเป็นคนเช่นนั้นลงไปชั่้วคราว นึกขอบคุณร่างกายที่ยังแข็งแรงและเวลาและโอกาสในชีวิตที่ยังมีอยู่ จะใช้มันอย่างไม่ประมาทและแบ่งปันความดีงามต่อๆ ไป
ถ่ายภาพโดย : ชาญชัย แซ่ฉั่ว และเกรียงไกร ไวยกิจ
รู้จัก… องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews